ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ดึกสงัดฟ้าโปร่งไร้เมฆ ไร้กระทั่งแสงจันทร์ หากดารานับพันกลับกระจ่างเต็มฟ้า เป็นคืนแรกนับจากออกเดินทางล่องเรือ ที่เขาได้มีเวลานอนดูดาวคนเดียว มิต้องร่วมผูกติดกับใคร ด้วยอ้างเหตุติดพันซ่อมแพที่ใช้เป็นห้องขับถ่าย จึงหาโอกาสปลีกวิเวกได้บ้าง ได้นอนทบทวนเรื่องราวพิสดารที่เกิดขึ้นกับตนเองในห้วงเวลาที่ผ่านมาแล้วก็ตกใจระคนใจหายหน่อยๆ ที่พบว่าตนเองติดอยู่ในโลกอดีตมาร่วมปีเศษ ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพยายามเอาตัวรอดให้ได้ในสมรภูมิการเมืองยุคโบราณ จึงแทบไม่มีเวลาคิดหาวิธีกลับโลกปัจจุบัน หรือกระทั่งโศกเศร้าต่อชีวิตรักที่ล่มสลายเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มทำตัวประหนึ่งคนไร้พันธะ ถึงตกปากรับคำเจ้าชายกัษษกรอย่างง่ายดาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับสิ่งใด และกำลังรับมือกับอะไรอยู่ รู้เพียงต้องมีวิชาและทักษะให้มากที่สุดเพื่อจะอยู่ให้รอด

มาบัดนี้ ขบวนเสด็จทางชลมารคล่องผ่านลำน้ำหลายสายเข้าเดือนที่สาม พร้อมกับที่เขาเริ่มชำนาญการเรือยิ่งขึ้นไปทุกวัน เริ่มสังเกตลมฟ้าอากาศที่มีผลต่อทิศทางเรือ เริ่มเข้าใจความอันตรายของภูมิประเทศที่ใครต่อใครพากันเตือนว่าสาหัส มินับเรื่องการซ่อมเรือที่เขาบังเอิญใช้ทักษะที่คุณตาเคยสอนตอนเด็ก ผสานกับการสื่อจิตยามค่ำคืนจากรัตตกร ทำให้เขากลายเป็นช่างซ่อมเรือมากฝีมือ…

และเรื่องนั้นทำให้เขาไป ‘เตะตา’ เจ้าหญิงชวาลาเข้า หากเขาก็ยังไม่พร้อมเผชิญหน้าพระนาง เพราะรู้ดีว่าสตรีฉลาดหลักแหลมเช่นนั้นย่อมสังเกตพิรุธบนหน้าตาเขาได้ไม่ยาก และประการสำคัญ รัญชน์เชื่อว่าตนคงไม่สามารถควบคุมสีหน้าอาการตื่นตะลึงเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์เจ้าหญิงโฉมงามได้ เพราะขนาดสวามีของพระนางยังทรงมองทะลุอาการเขาได้ แล้วเหตุใดพระนางจะมองมิออก

ชายหนุ่มจึงได้แต่เฝ้ามองพระนางอยู่ไกลๆ นึกเห็นใจในความพยายามทำองค์เข้มแข็งให้สมเป็นผู้นำที่ต้องปกครองบริวารหลายร้อยชีวิต ขณะที่ต้องอุ้มท้องเดินทางอย่างยากลำบากไปด้วย

เวลาจะเศร้าโศกเสียใจต่อโศกนาฏกรรมชีวิตนั้นคงแทบน้อยนิด

รัญชน์มองไปทางเรือประทับ ป่านนี้จักบรรทมไปหรือยังหนอ ได้ยินมาจากเหล่านางกำนัลว่าพระนางบรรทมหลับบนเรือได้ไม่ค่อยสนิทนัก กอปรกับทรงพระครรภ์ทำให้ทรงตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง…

ทว่าเขาเป็นเพียงชายเลี้ยงม้า ถึงเป็นห่วงเพียงใดก็ทำอะไรมิได้

และแล้วก็มีเสียงเรียกปลุกเขาจากภวังค์อันสงบเงียบ

“นี่แน่ะไอ้ม้า…ไปดูแพสุขาของคุณท้าวปทุมวดีเถิด” เขาถูกข้าราชบริพารเรียกชื่อแบบเหมารวมว่า ‘ไอ้ม้า’ ตามตำแหน่งหน้าที่ดูแลม้า “ขั้วหลุด และไม้ไผ่แตกชำรุดจนขาท้าวท่านตกลงไปในน้ำเมื่อครู่”

เขาผู้กลายเป็นชายสารพัดช่างรีบลุกตามข้ามแพไปโดยไม่อิดออด คุณท้าวปทุมวดีเห็นหน้าเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูทีแถบนี้น้ำตื้น โขดหินมากมาย กระแทกแพเล็กเสียหายหลายเรือน แพสุขาขององค์หญิงก็ชำรุด ไอ้ทับกำลังซ่อมอยู่ หากเอ็งซ่อมแพนี้เสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนเอาแรงเถิด”

กลุ่มคุณท้าวกลับเรือประทับไปแล้ว หากรัญชน์ยังอยากตรวจความเรียบร้อยของแพเล็กอื่นๆ ที่ใช้สำหรับอาบน้ำหรือเก็บของว่ามิได้โดนโขดหินจนชำรุดเสียหายอีก ชายหนุ่มง่วนอยู่กับแพอีกครู่ใหญ่ก็ได้กลิ่นหอมหวานเหมือนดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ตามด้วยเสียงสวบสาบเหมือนเสื้อผ้าเสียดสีกัน และเสียงพึมพำแผ่วเบา… “พี่ปทุมกลับไปแล้วก็ไม่บอก ข้ารึก็เป็นห่วง”

ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นผู้พูดเต็มตา สตรีงามเลอลักษณ์ผุดผ่องใต้แสงตะเกียงสลัว ชวนให้หัวใจสั่นระรัว แต่ดูทีท่าพระนางจักมิรู้องค์ว่ามิได้ประทับอยู่ตามลำพัง ทรงเท้าพาหาข้างหนึ่งบนกราบเรือ แหงนพักตร์มองรัตติกาลพร่างดารา…รัญชน์นึกก่นด่าตัวเองที่เผลอจ้องมองอยู่อย่างนั้น

ขบวนเรือล่องผ่านลำน้ำไปอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ เคลื่อนผ่านภูเขาลูกหนึ่งที่ปลายยอดหยักขึ้นลงคล้ายริ้วคลื่น ยิ่งเมื่ออยู่ในเงามืดใต้แสงดาววับวาวเห็นเป็นรูปเงาประหลาดตา

เจ้าหญิงชวาลายืดวรกายขึ้น นัยเนตรไหวระริกคล้ายมีหยาดน้ำคลอคลอง

“ช่างเหมือนภูเขาเทียมดาวในละโว้เหลือเกิน” พระนางรำพึงอย่างเศร้าสร้อย “ป่านนี้ เจ้าพี่เขนจักเป็นอย่างไรบ้างหนอ”

ภาพที่เห็นทำให้เขาพลอยรับรู้ถึงความโศกเศร้าอาวรณ์ของผู้หญิงที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองและชายผู้เป็นที่รัก หัวใจเขาก็พลอยสะท้านสะเทือนไปด้วย

จึงเฝ้ามองดาวกับภูเขาลูกนั้นเป็นเพื่อนพระนางในความเงียบ

(1)นั่งมองดูดวงดาว ช่างสวยงาม

ส่องแสงประกายเต็มฟ้า เวลาค่ำคืน

อยากให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

อยากให้เธอมองมาที่ฉัน…คนเดียว

         

นั่งมองไปเพลินๆ เริ่มง่วงนอน

ดาวก็ยังอยู่เต็มฟ้า เวลาหมุนไป

ก็แค่เพียงดวงดาวก็เท่านั้น

ก็มันเป็นเพียงแค่แสงดาว

ต่อให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

แต่ว่าฉันยังเหงา ก็เท่านั้น…เท่านั้นเอง

 

ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ยังคงเป็นแค่แสงดาว

ต่อให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

แต่ว่าฉันยังเหงาก็เท่านั้น…เท่านั้นเอง

 

บทเพลงนั้นดังขึ้นในห้วงคำนึง สะท้อนความรู้สึกของเขาที่มีต่อภาพตรงหน้า

และพระนางยังคงเหลียวทอดพระเนตรภูเขาลูกนั้นอยู่จนลับสายตา

อันเป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจชายจากโลกอนาคตไปอีกนานเท่านาน

 

เชิงอรรถ : 

(1) เพลง “เหงา” ของศิลปินวง Pause อัลบั้ม Mild



Don`t copy text!