เรื่องของเฮียดำลง (ที่ไม่ใช่พุตตาล)

เรื่องของเฮียดำลง (ที่ไม่ใช่พุตตาล)

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

เฮียดำลงที่ว่านี้หาใช่คุณดำรง พุฒตาล บิ๊กบอสแห่งคู่สร้างคู่สมไม่ แต่คือเฮียดำลง… เพื่อนสมัยมัธยมของสามีฉันนี่แหละ เรื่องของเฮียดำลงสนุกวายป่วงจนต้องเอามาเขียนถึง เฮียเป็นหนุ่มผิวหมึกดำปื้ดดำปี๋สีไม่ตกหรืออย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘นิโกร’ แต่ที่นี่คำว่า ‘นิโกร’ หรือ ‘นิเก้อ’ ถือว่าเป็นคำไม่สุภาพและเหยียดหยามเชื้อชาติอย่างร้ายกาจ ในอเมริกามีข้อห้ามทางสังคม ทำให้เราไม่ควรเรียกคนผิวดำด้วยคำเหล่านั้น แต่ควรเลี่ยงใช้คำว่า ‘คนผิวสี’ แทน หรือหากจะให้หรูต้องเรียกเต็มยศไปเลยว่าเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน

จะว่าไปแล้วเฮียดำลงเป็นเพื่อนรักต่างสีผิวที่สนิทสนมกับสามีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนทุกวันนี้ จะว่าไปเปรียบเสมือนพี่น้องก็ว่าได้ อาจจะเพราะเฮียชอบแวะมาขอยืมเงินสามีฉันบ่อยๆ ราวกับบ้านเป็น 7-Eleven หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาประมาณนั้น เมื่อเพื่อนพาเมียติงต๊องจากไทยแลนด์มาอยู่ด้วย เฮียดำลงเลยเอื้ออาทรต่อเมียเพื่อนโดยปริยาย

จะว่าไปแล้วเฮียดำลงเป็นหนุ่มผิวสีหน้าตาดี เลยมีแฟนทั้งสาวไม่สาวเข้ามาพัวพันอยู่เนืองๆ ชนิด ‘หัวกะไดไม่แห้ง’ ไม่รู้ว่าใครจีบใครก่อน แต่สรุปง่ายๆ ว่าเฮียขยันพาแฟนใหม่มาแนะนำในอัตราความถี่ทุกสามเดือน โดยหมุนเวียนเปลี่ยนแฟนไปเรื่อยๆ อย่างไม่เคยซ้ำหน้าเลยแม้แต่หนเดียว

หลังจากเรียนจบชั้นมัธยม เพื่อนๆ ในกลุ่มคนอื่นไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันหมด การเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอเมริกานั้นดูเหมือนไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดคือเรื่องของวิตามินมันนี่นั่นแหละ ส่วนมากครอบครัวคนชั้นกลางทั่วไปไม่ค่อยมีปัญญาส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยหรอก ลูกๆ ต้องดิ้นรนทำงานไปส่งเสียตัวเองไปจนเรียนจบ หรือไม่ก็กู้เงินจากหน่วยงานประมาณกองทุนเพื่อการศึกษาบ้านเราแล้วค่อยทำงานผ่อนใช้จนหมดหนี้

สามีหนีหนาวไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โดยส่งเสียตัวเองพลางและกู้เงินเรียนไปพลาง ทั้งนี้เพราะพ่อแม่ไม่มีสมบัติอะไร ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายไปเรียนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ตกลงยอมรับตนเข้าเป็นนักศึกษา ส่วนเฮียดำลงออกมาทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างจนถึงทุกวันนี้

อย่านึกว่ากรรมกรก่อสร้างที่เมืองนอกจะกระจอกและจนนะจ๊ะ อัตราค่าจ้างการทำงานที่นี่จ่ายเป็นรายชั่วโมง กรรมการส่วนมากสังกัดสหภาพแรงงาน ซึ่งสหภาพนี่แหละที่ปกป้องสิทธิของกรรมกรอย่างเข้มแข็งด้วยการตั้งเงินค่าตอบแทนไว้สูงลิบ อย่างต่ำชั่วโมงละประมาณ 1,000 บาทหรืออาจจะมากกว่านั้นหากอาศัยอยู่ในรัฐที่ค่าครองชีพแพง

บอกตรงๆ เลยว่าให้สูงกว่าเงินเดือนครูเสียอีก แล้วแบบนี้หมาที่ไหนจะอยากเรียนมหาวิทยาลัยล่ะ ออกมาแบกๆ หามๆ แป๊บเดียวก็ได้เงิน มิหนำซ้ำยังมีสวัสดิการอีกมายมายที่น่าอิจฉา เช่น การได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องควักกระเป๋ายามเจ็บไข้ได้ป่วย

สังคมคนผิวสีเป็นสังคมที่ประหลาดมากในสายตาของคนเอเชียอย่างเราๆ หรือแม้แต่ในสายตาฝรั่งเอง แม้จะเลื่อนสถานภาพจากทาสมาเป็นพลเมืองอเมริกันเต็มขั้นแล้ว ก็หาได้โดนวัฒนธรรมคนขาวกลืนแบบเต็มร้อยไม่ พวกนี้จะพูดภาษาอังกฤษที่มีสำเนียงเฉพาะของตนเอง ฟังแล้วเหมือนร้องเพลงแร็ป มีท่วงทำนองแปลกๆ ในโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ แต่บอกตรงๆ เลยว่าฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

อย่าว่าแต่ฉันซึ่งเป็นแม่นางผิวเหลืองหน้าซีดเลย ฝรั่งเองก็ฟังสำเนียงคนผิวสีไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ตัวอย่างง่ายๆ คำว่า “ออไรท์” (Alright) พวกนี้ย่อจนเหลือแค่ “ไอ๊” หรือ aight เท่านั้นเอง คนผิวสีที่มีการศึกษาจะไม่พูดด้วยสำเนียงแบบคนผิวสีทั่วไป แต่จะพูดด้วยสำเนียงแบบคนขาวเป๊ะ ไม่มีสำเนียงคนผิวสีเจือปนแม้แต่น้อย คนผิวสีที่พูดด้วยสำเนียงคนขาวแบบนี้ มักถูกคนผิวสีด้วยกันเองถากถางว่า ‘โอริโอ้’ มีที่มาจากคุกกี้โอริโอ้ซึ่งสีดำข้างนอกแต่ไส้ครีมสีขาวอยู่ข้างใน

เฮียดำลงมีสามนามสกุลและสามพ่อ ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าพ่อแท้ๆ ของแกคือคนไหน เพราะแม่ไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นบ้างคนนี้บ้างจนเปรอะไปหมด แถมแม่จำไม่ได้เสียด้วยว่าเฮียดำลงเป็นลูกที่เกิดจากผู้ชายคนไหน พอมาได้กับสามีคนล่าสุด ก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าเป็นคนที่เท่าไหร่ เลยให้เฮียดำลงซึ่งหอบหิ้วมาจากผัวเก่า (คนที่เท่าไหร่อีกไม่รู้) ใช้นามสกุลพ่อคนล่าสุดเป็นการตัดปัญหา

เฮียดำลงไม่เคยมีเมียเป็นตัวเป็นตน แต่มีลูกชายสี่คนจากสี่เมีย และไม่มีเมียคนไหนอยู่กับเฮียดำลง คือพอมีลูกขึ้นมา เมียก็เอาลูกไปเลี้ยงเอง แกเลยลอยตัวร่อนไปร่อนมาแบบชายโสด ไม่ทุกข์ร้อนอะไร และแกก็ไม่อยากหาเงินเท่าไหร่ เพราะหาได้เท่าไหร่ต้องเอาไปส่งเสียเป็นค่าเลี้ยงดูลูกตามคำสั่งศาลจนหมด เลยลอยชายไปวันๆ ทำงานบ้างไม่ทำบ้างตามสบาย ซ้ำเปลี่ยนแฟนไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเกือก

สามีกับเฮียดำลงนัดกินเบียร์กันทุกคืนวันอังคาร แต่ละหนสามีเหน็บเมียไทยปากมากไปด้วย ส่วนเฮียดำลงก็ควงแม่สาวผิวสีมาแบบไม่ซ้ำหน้ากันจนเบื่อที่จะจำ สาวๆ ไม่ซ้ำหน้าของเฮียดำลงนี่แหละที่บางหนนำความเดือดร้อนมาให้ถึงที่ เพราะเฮียแกไปกว้านหามาทุกแห่ง แม้กระทั่งไปเอามาจากมาในคุก เช่นในกรณีของแม่แฟรนซีนคนนี้

นางแฟรนซีนเป็นสาวผิวสี วัยค่อนไปทางดึกที่หน้าตาสวยไม่ปรึกษาใครหรือสวยไปตามยถากรรม ฟันห่างและหลอ นิ้วกุด กลิ่นตัวแรง ผมเผ้าแข็งกระเซิงเหมือนกากมะพร้าว ตามปกติเฮียดำลงจะค่อนข้างพิถีพิถันกับการเลือกเมียชั่วคราวทุกหน แต่คาดว่าหนนั้นคงหน้ามืดไปนิด เลยไปคว้าแม่แฟรนซีนที่เพิ่งออกจากคุกหมาดๆ ด้วยข้อหาซื้อขายยาเสพติด แม้จะออกจากคุกแล้ว แต่นางแฟรนซีนยังติดยางอมแงม

คืนหนึ่งเราตกใจตื่น เพราะมีคนเคาะประตูบ้านตอนตีสาม เปิดประตูออกไปเจอแม่แฟรนซีนยืนตัวสั่นดุกๆ กลางหิมะเอ่ยปากขอยืมเงินประมาณ 160 บาท บอกว่าลูกป่วย โถ… แม่คุณ 160 บาทหรือสี่ดอลล์นี่เท่ากับค่าเบียร์ขวดนึงพอดีเลยนะ ช่างน่าเชื่อ… แต่เราก็ให้ไปแบบไม่คิดอะไรมาก เช้าวันรุ่งขึ้น เฮียดำลงโผล่หน้ามาแต่เช้าเลยเล่าเรื่องนี้ให้แกฟัง เลยสรุปว่านางต้องขอเงินไปซื้อยาอย่างแน่นอน

ว่าแล้วเฮียดำลงผลุนผลันให้เราขับรถไปส่งที่บ้านนางแฟรนซีน เพราะรถแกดันมาน้ำมันหมดหน้าบ้านเราพอดี เลยขับรถไปที่บ้านหลังนั้น พอถึงที่หมาย ก็พุ่งเข้าหานางแฟรนซีนซึ่งนั่งดูดยาปุ๋ยๆ ในบ้าน เงียบหายไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงคำราม ตามด้วยเสียงกระจกแตกเพล้ง หันไปดู เฮียดำลงวิ่งออกจากบ้านเลือดอาบหัวหยดติ๋งโชกเสื้ออย่างน่าหวาดเสียว โดยมีวัตถุลึกลับปลิวตามหลังมาตกปุลงข้างรถ

“อีแฟรนซีนมันเอาที่เขี่ยบุหรี่โขกหัวไอเว้ย แค่ถามว่าเป็นบ้ารึไงที่ไปปลุกพวกยูตอนตีสามเพราะหิวยาน่ะ เท่านั้นแหละ มันฟาดโป๊กเข้าให้”

เล่าพลางเอามือปาดเลือดไปพลาง ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ แม่หัวกากมะพร้าวก็ออกมายืนเท้าสะเอวพร้อมที่เขี่ยบุหรี่อีกอันในมือ เตรียมเหวี่ยงเต็มที่ ดูจากเสื้อผ้าหน้าผมและนมอันหย่อนยานแล้ว คงเมายาแน่นอน พอเห็นเท่านั้น ฉันบอกสามีให้ติดเครื่องรถทันที ก่อนบึ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต นาทีนี้ใครจะอยู่รอโชคดีนาทีทองละคะ… คุณขา

 

Don`t copy text!