ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 26 : ราชทูตจากระมิงค์นคร

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 26 : ราชทูตจากระมิงค์นคร

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

กลับเป็นเขาที่นิ่งราวถูกสาปเป็นศิลา ตาเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าผู้พูดโผล่พ้นเงามืดถนัดตา…

ดวงหน้างามแอร่มอ่อนหวานยิ่งกว่าจันทร์เพ็ญยามนี้…ดวงหน้าที่เขาเฝ้าคะนึงหามาตลอด

หัวใจเมฆเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งใด “อี่นาย…อี่นาย”

“สูมาทำอันใดในเวียงนี้” นางเหลียวมองซ้ายขวา “สูต้องรีบหนีไปก่อนที่คนจักพบเข้า”

“ข้าใคร่พบอี่นาย ตั้งแต่เจอกันครั้งนั้น ก็มิอาจข่มตานอนได้อีก คงเป็นวาสนาแน่แล้วที่นำพาข้ามาถึงที่นี่ แต่อี่นายควรอยู่ในคุ้มบ่ใช่กา?”

“สูเอ่ยอันใดออกมา” เด็กสาวเบิกตากว้าง “เอ่ยราวกับเกี้ยวพาข้ากระนั้น มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด”

“นางกำนัลของแม่เจ้าจามเทวีจะใดเล่า”

“แล้วนามเล่า สูรู้จักด้วยกา?”

เมฆส่ายหน้า “แต่ชะตาก็นำพาอี่นายมาอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว และอี่นายก็จำข้าได้”

นางกำนัลสาวหน้าแดงก่ำ แล้วก็เชิดหน้าขึ้น “ข้าชื่อชมออน สูเล่าเป็นผู้ใด”

“ข้าชื่อเมฆ เป็นพรานป่า แต่เพลานี้ได้รับราชการเป็นทูตเมืองระมิงค์”

“ทูตเมืองระมิงค์!” ชมออนร้อง “จากพรานกลายเป็นทูตได้จะใด”

นางเหลียวมองรอบด้านอย่างหวาดระแวง “ขึ้นเรือเสียก่อนเถิด บ่ควรพูดคุยกันตรงนี้ ข้าจักพายไปท้ายเวียงเจ้า”

เมฆรู้สึกราวกับฝันไปเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนเรือลำจ้อย ใกล้ชิดสาวน้อยที่ไม่คิดว่าจักได้พบกันอีกแล้ว ลืมสิ้นทุกภาระหน้าที่ในอรุณรุ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยาม รู้เพียงจักมิยอมให้ชมออนคลาดสายตาไปเด็ดขาด

นางเทียบท่าตรงโค้งน้ำที่ออกจะลับตาสักหน่อยด้วยถูกปกคลุมด้วยร่มเงาต้นไทรห้อยย้อยบังไว้มิดเม้น ลัดเลาะแนวพุ่มพฤกษ์ไปครู่หนึ่งจึงพบเรือนไม้หลังกระจ้อย ห้อมล้อมด้อยดงดอกซอมพอสีแสดสลับแดงหอมฟุ้ง “เรือนเก็บเครื่องปั้นของข้าเอง แม่เจ้าสร้างให้เป็นรางวัลความดีความชอบ ตรงนี้ปลอดภัย สูมีสิ่งใดจะเอ่ยก็ว่ามาเถิด”

“อี่นายเชื่อใจพรานไพรอย่างข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ มิกลัวข้าเป็นผู้ร้ายหรือจะใด”

“กลัว” นางตอบทันใด “แต่ก็เสี่ยงวัดใจดู เพราะข้าก็…ลืมแววตาคู่นั้นของสูบ่ได้เหมือนกัน”

“หมายความว่า อี่นายก็…”

“พูดเรื่องของสูมาเถิด”

“ข้าอาศัยที่ระมิงค์นครต้องการเจริญไมตรีกับหริภุญไชย ทำความดีความชอบเพื่อให้ได้มากับขบวนบรรณาการ หวังได้พบอี่นายสักครั้ง”

เด็กสาวหน้าแดงก่ำอีกหน “ป้อจายจักเอ่ยจะใดก็ได้เพื่อเกี้ยวพาแม่ญิง”

“อ้ายเอ่ยความสัตย์จริง” เขาเปลี่ยนคำเรียกขานให้สนิทสนมอย่างแนบเนียน “มิเช่นนั้นจักพาตัวเองเสี่ยงเข้าเวียงลำพูนมาได้จะใด แล้วน้องเล่า เหตุใดถึงมาพายเรือค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ บ่ต้องกระทำพิธีบูชาเทวดาเมืองกา?”

ชมออนถอนหายใจ “ข้าต้องไปตามหาไหน้ำใบใหม่ กว่าจะได้ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่มิอยากกลับเข้าร่วมพิธีจึงฝากข้าหลวงอีกนางไปแทน”

“น้องขุ่นเคืองใจเรื่องใดกา?”

“สูกำลังให้ข้าเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟังกา?”

“หากคิดว่าอ้ายเป็นคนแปลกหน้า ก็นึกเสียว่าได้ระบายเรื่องทุกข์ใจ ประเดี๋ยวอ้ายก็จากไปแลอาจมิได้พบกันอีก”

ชมออนมองเขาอย่างค้นคว้า ก่อนยอมเปิดใจในที่สุด

“ก็ขุนเจ้าขันติน่ะสิ ทูลขอข้าจากแม่เจ้าต่อหน้าผู้คนมากมาย แม้แม่เจ้ามิได้ตอบความใดแต่ก็ทรงรู้เห็นเป็นใจ ขุนเจ้าท่านเป็นขุนพลใหญ่ กรำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่แม่เจ้ามาตั้งแต่สมัยละโว้โน้น แม่เจ้าจึงเห็นว่าบ่มีป้อจายคนใดเหมาะสมกับข้าเท่าขุนเจ้าขันติอีกแล้ว”

“จักยกน้องให้ขุนเจ้าขันติกา?” พรานเมฆตกใจ “น้องฮักขุนเจ้านั่นก่อ?”

“บ่ได้ฮัก” นางถอนใจยาว “ข้าเคยมีป้อจายที่ฮักแทบเป็นแทบตายมาก่อน แต่น่าเสียดาย เป็นฮักที่เป็นไปบ่ได้ ถึงกระนั้นก็ทำให้ข้ามิใคร่ออกเรือนกับป้อจายที่ใดอีก เพราะบ่คิดว่าจะฮักผู้ใดได้อีกแล้ว…จนกระทั่ง” แววตานางกำนัลสาวฉายแววสับสน “พบสูที่ดอยขุนตาลครานั้น”

เมฆใจเต้นแรง ร้องอย่างลิงโลด “อ้ายบ่ได้ฝันไปแม่นก่อ? น้องมีใจให้อ้ายเหมือนกัน”

“อาจเร็วไปที่จะเอ่ยเช่นนั้น ข้าเพิ่งพบสู จะเรียกว่าฮักได้จะใด” แววตาชมออนลังเล “แต่ข้าก็มิใคร่ออกเรือนไปกับเขา ว่าแต่…ข้าเชื่อใจสูได้เช่นนั้นกา?”

ดวงตากลมโตดุจกวางไพรไหวระริก ขณะที่อ้อมแขนพรานหนุ่มกอดกระหวัดร่างอ่อนบางไว้แนบแน่น…ขอเพียงเท่านี้ เขาจักไม่ล่วงล้ำก้ำเกินให้นางเสื่อมเกียรติลงเป็นอันขาด

“อ้ายจักรอให้ถึงวันของเฮา อ้ายฮักน้องเกินกว่าจักคิดเอาเปรียบเชยชมได้”

ชมออนระบายยิ้มน้อยๆ หากเป็นยิ้มที่เจือเศร้าสร้อย ยอมเปลี่ยนคำเรียกขาน “น้องขอบน้ำใจอ้ายนักที่ถนอมน้ำใจให้เกียรติน้อง น่าชื่นใจนักที่อ้ายเมฆบ่ใช่ป้อจายที่คิดถึงตนเองฝ่ายเดียว หากที่น้องทอดถอนใจก็ด้วยยังมองบ่เห็นเลยว่าจะมีวันของเฮาได้อย่างไร เว้นแต่สองแผ่นดินจักเกี่ยวดองกัน และอ้ายละทิ้งวิถีพรานเสีย” นางถอนใจอีกหน “แต่อันที่จริงน้องก็บ่อยากให้แม่เจ้าไปเป็นชายาขุนวิลังคะสักน้อย แม่เจ้างดงามสูงส่งจนน้องบ่คิดว่ามีบุรุษใดคู่ควรกับพระนางอีกแล้ว ดูเถิด…เฮาก็มัวพูดจากัน ตะวันกำลังขึ้นโดยมิรู้ตัว น้องยังดีที่วันนี้บ่ได้เข้าเวร มีเหตุให้บ่เห็นหน้าได้ อ้ายเล่า บ่ต้องรีบกลับค่ายกา? น้องจะหาหนทางใดดีหนอมิให้ถูกจับได้เสียก่อน”

เมฆสะดุ้งเมื่อเห็นจริงดังว่า เขาลืมทุกอย่างเมื่อได้อยู่กับนาง…ป่านนี้ชาวคณะจะปั่นป่วนเพียงใดเมื่อไม่พบเขา ขณะที่คิดว่าจะกลับออกไปอย่างไรนั้น เสียงเป่าสังข์เจ็ดครั้ง ตามด้วยเสียงประโคมดนตรีและเสียงแปร๋แปร๋นแห่งคชาธารก็ดังกระหึ่มทั่วเวียง…เลือดในกายเขาเย็นเฉียบ

คณะราชทูตแห่งระมิงค์นครมาถึงเวียงหริภุญไชยแล้ว

 

ผู้ที่ก้าวผ่านธรณีประตูสู่ท้องพระโรงหลวงมือเย็นเฉียบ ทั้งอัศจรรย์ใจและพรั่นพรึง ด้วยบัดนี้เบื้องหน้าเป็นโถงกว้าง แม้มิได้โอฬารเทียบท้องพระโรงหลวงแห่งระมิงค์ หากกลับวิจิตรตระการตากว่านับร้อยเท่า ตั้งแต่หน้าต่าง ประตู ตลอดจนผนังอันแกะสลักลวดลายละเอียดบรรจงเป็นรูปหงส์และกอบัวบานในสระ ไปจนถึงเทพเทวาในเครื่องทรงงดงาม บ้างลงสี บางทาทองอร่ามเรือง มินับเครื่องเรือนอันทำจากเงินมลังเมลืองทั่วโถง แลแพรพรรณประดับที่ล้วนถักทอด้วยช่างฝีมือฉกาจอย่างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต จึงตกประหม่าก้าวขาต่อแทบมิได้ แลพาลนึกโกรธอ้ายเมฆที่พูดจาอวดตัวเสียดิบดีจนขุนหลวงให้มาทำหน้าที่แทนเขา หากยามนี้กลับหายตัวไปเสียดื้อๆ ทิ้งให้เขาเผชิญภารกิจใหญ่หลวงนี้เพียงลำพัง

เมฆมีอาการแปลกประหลาดนับแต่ออกเดินทาง ทหารเวรเล่าว่าเขามักกระสับกระส่ายยามค่ำคืนราวมีเรื่องกลัดกลุ้ม และเมื่อราตรีที่ผ่านมา ผู้พูดเห็นเมฆผลุบออกจากตูบอย่างรีบร้อน หากก็เดาว่าคงไปปลดทุกข์ขับถ่าย แม้จะแปลกใจที่ฝ่ายนั้นเคียนศีรษะทั้งที่เป็นเวลานอน ทั้งยังสะพายย่าม สวมเสื้อสองชั้นรัดกุมมิดชิด ทว่าไม่ได้คิดอันใดต่อเพราะไม่มีเหตุผลให้คิดว่าเมฆจะหลบหนีหรือทิ้งหน้าที่สำคัญเช่นนี้ไปได้

มันอาจจะถูกเสือกินไปแล้วก็ได้…จ่อยนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

“ดูทีทูตจากระมิงค์คงเป็นใบ้กระมัง” สุรเสียงหวานหากกังวานอย่างทรงอำนาจดังขึ้นจนทูตหนุ่มเผลอสะดุ้ง เมื่อเงยหน้ามองผู้พูดเต็มตาก็ถึงกับยิ่งตะลึงหาเสียงตนเองไม่เจอเข้าไปอีก ด้วยภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือสตรีงามผุดผาดหยาดฟ้าประทับพับเพียบอยู่บนตั่งทองสูง ฉวีมิได้ขาวจัดหากนวลผ่องจนเผลอจ้องไม่วางตา ดวงพักตร์ทั้งคมทั้งหวาน สะกดสายตาให้พรึงเพริด อันภูษาอาภรณ์นั้นก็งามประหลาด คล้ายกับมีสายเส้นเงินเส้นทองละเอียดยิบปกคลุมปทุมงามมิดชิด ทับด้วยทองคำประดับเพชรเป็นแผ่นแบนยาวร้อยแผ่ลงจรดกลางอุระ เชื่อมด้วยทับทรวงโกเมนแดงก่ำ คลุมภูษาม่วงเหลือบเงินพาดอังสาไปถึงต้นพาหา ใต้อุระยังคาดเข็มขัดทองคำประดับพลอยแดงดุจชาด ล้อเข็มขัดอีกเส้นตรงโสณี ขับให้ภูษาทรงสีม่วงอมแดงอันยาวถึงข้อพระบาทงามสะดุดตายิ่งขึ้น สองกรสวมพาหุรัดลายดอกไม้ สองบาทประดับวลัยบาทเงิน งดงามแพรวพรายทั้งกายา

นางพญาจามเทวี งดงามสามโลกเช่นนี้แล ขุนวิลังคราชจึงหลงใหลใฝ่ปองจนมิเป็นอันกินอันนอน

แลพระนางยังเป็นเจ้าปกครองนครอันวิจิตรรุ่มรวย เปี่ยมด้วยอำนาจบารมี ชวนให้ประทับจิตแลยำเกรงในคราเดียว

ทูตหนุ่มสบดวงเนตรคมระยับนั้นแล้วก้มหน้าตัวสั่น นึกแช่งชักอ้ายเมฆอีกหน หากอึดใจถัดมา ก็กลับนึกถึงคำขุนหลวงว่า…ต่อให้เป็นเจ้าครองเมืองยิ่งใหญ่เพียงใด แม่ญิงอย่างไรก็คือแม่ญิง บ่มีทางเด่นดีไปกว่าป้อจายได้ อีกทั้งระมิงค์นครนั้นแข็งแกร่งมั่นคง สืบสายวงศ์มาช้านาน มีศักดิ์ศรีสูงส่งกว่าเมืองเกิดใหม่อย่างหริภุญไชยร้อยเท่าพันทวี จึงสมควรให้ทระนงในวงศ์ชาวลัวะ

คิดได้ดังนั้น เขาจึงเงยหน้าตอบฉะฉาน

“ข้าแต่มหาเทวีเจ้า ขุนหลวงแห่งตูข้ามีนามว่าวิลังคราชแห่งระมิงค์ธานีผู้เป็นใหญ่กว่าลัวะทั้งหลาย โปรดให้ตูข้านำเครื่องบรรณาการมาถวายพระนางบัดนี้ ด้วยเหตุที่ขุนหลวงวิลังคะมีความฮักใคร่ในพระนางเจ้า จักเชิญแม่เจ้าไปเป็นอัครชายา”

พระพักตร์จอมนารีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ผู้ใดล้วนมองออกว่ากำลังกริ้วอย่างใหญ่หลวง ด้วยวาจาเช่นนี้ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติแลคุกคามอย่างชัดแจ้ง เว้นแต่ทูตลัวะร่างเล็กที่เพิ่งเรียกความมั่นใจกลับมาได้ จึงมองข้ามลักษณาการกษัตรีย์ตรงหน้าเสียสิ้น แลยังปั้นยิ้มแฉล้มภาคภูมิใจในถ้อยวาจาตน

พระนางจามเทวีพยายามระงับโทสะ ฝืนพระทัยเย็นตรัสถามกลับไปว่า

“ดูกรเถิดท่านเสนา เฮายังบ่เคยเห็นขุนผู้นั้นสักหนเดียว ขุนหลวงแห่งระมิงค์หน้าตาเป็นจะใด”

อันจ่อยนั้นมีรูปร่างเล็กจ้อยสมชื่อ หน้าตาผิวพรรณตามอย่างลัวะทุกประการ กระนั้นกลับถือตนว่ารูปงามกว่าพวกพ้องที่มีร่างเตี้ยหนา หน้ากลมแบน มิเว้นกระทั่งราชันวิลังคะ เมื่อได้ยินแม่เจ้าจามเทวีรับสั่งถามถึงพระโฉมขุนหลวงตน จักให้พรรณนาตามจริงก็เกรงจะทำให้เสียการ เขาจึงตอบพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ

“อันขุนหลวงแห่งตูข้านั้นรูปร่างหน้าตาก็เหมือนตูข้านั้นแล จึงเหมาะสมคู่ควรแก่การเป็นพระราชสวามีแห่งพระนางเจ้าอย่างมิมีผู้ใดเสมอเหมือนพระเจ้าข้า”

พระเทวีเจ้าตบพระหัตถ์ลงกับตั่งเสียงดังปัง ตรัสสุรเสียงกังวาน

“ผิว่าขุนหลวงแห่งสูมีหน้าตาเหมือนสูแล้ว อย่าว่าแต่มาเป็นผัวเฮาเลย แม้แต่มือเฮาก็จักบ่ให้ถูกต้อง สูจงรีบไปให้พ้นจากนครเฮาเสียบัดเดี๋ยวนี้”

อ้ายจ่อยหน้าเสีย ไม่คิดว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร จู่ๆ ก็ถูกตะเพิดออกจากราชธานีอย่างไม่ไว้หน้า ในใจคร่ำครวญว่าถึงกาลฉิบหายแล้ว หวังจักทำความดีความชอบให้ขุนหลวงปูนบำเหน็จ หากมิแคล้วได้โดนลงอาญา

เมื่อขบวนทูตระมิงค์พ้นประตูเวียงไปนั่นเอง นางกำนัลของพระนางจามเทวีจึงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา พร้อมพาบุรุษร่างสูงเข้ามาด้วย

“วันนี้บ่ใช่เวรเจ้า ชมออน” สุรเสียงพระนางข่มความพิโรธเอาไว้ ด้วยนางกำนัลคนโปรดละทิ้งพิธีสำคัญไปเมื่อราตรีก่อน แม้ลึกลงไปแล้วพระนางจักทราบดีว่าเพราะเหตุใดก็ตาม “แล้วบุรุษผู้นี้เป็นผู้ใดกัน”

“ระมิงค์แต่งทูตมาสู่ขอแม่เจ้า เรื่องใหญ่เช่นนี้หม่อมฉันจะเพิกเฉยได้อย่างไร” นางละล่ำละลัก ทำหน้าดุจร่ำไห้ “โธ่เอ๋ย เฮามาบ่ทันเสียแล้วอ้ายเมฆ ทูตกลับไปแล้ว”

“ข้าถามว่าป้อจายผู้นี้เป็นผู้ใด”

“เขาชื่อเมฆเพคะ เป็นทูตที่ขุนวิลังคะแต่งตั้งด้วยตนเอง เพียงแต่เกิดเหตุมิคาดฝันให้มาบ่ทันการ”

บุรุษผู้ได้รับกล่าวอ้างว่าเป็นทูตระมิงค์ทำความเคารพจอมเทวีอย่างนอบน้อม ท่วงท่าองอาจและผิวขาวดุจปุยเมฆของเขาสะดุดพระทัย จอมนางหริภุญไชยหรี่เนตร

“เจ้าพบเขาได้อย่างไรชมออน”

เด็กสาวอ้ำอึ้ง เมฆจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

“นางพบข้าพระองค์ตอนออกนอกเวียงไปตามหาไหน้ำ เห็นสลบไสลไม่ได้สติจึงช่วยเอาไว้เจ้าข้า”

ริมโอษฐ์พระนางคลี่ออกเล็กน้อย เป็นรอยสรวลที่ผู้รับใช้ใกล้ชิดอย่างชมออนรู้ดีว่าหมายความเช่นไร…พระนางไม่เชื่อคำกราบทูลแม้แต่นิด แต่จักทำรู้เห็นหรือไม่นั้นสุดแต่น้ำพระทัย

“ข้าคงบ่ซักไซ้ให้มากความ อย่างไรก็ขับไล่คนลัวะออกจากนครเสียแล้ว…แล้วเจ้าน่ะหรือทูตตัวจริง พูดจาค่อยสมเป็นชาวรั้วชาววัง บ่เหมือนอ้ายคนผู้นั้น” พระนางเลิกขนง จุดแสงระยับขึ้นในดวงเนตร

“ผิว่าขุนหลวงชาวลัวะรูปร่างหน้าตาเช่นเจ้า ก็คงจูงใจข้าโดยมิยาก บ่ควรให้อ้ายจ่อยผู้นั้นมาเจรจา” พระนางมองบุรุษผิวขาวและนางกำนัลของตนด้วยนัยนาคมกริบ “แล้วจะใด หายดีแล้วกระมัง หรือจักต้องให้แต่งขบวนส่งเจ้ากลับระมิงค์นครกา?”

“มิได้เจ้าข้า ข้าพระองค์มิบังอาจ” บุรุษร่างสูงรีบทูลตอบ “เพียงแต่อยากทูลเสนอความเห็นเท่านั้นเจ้าข้า บัดนี้พระดำรัสพระนางเจ้าได้ถ่ายทอดผ่านอ้ายจ่อยและคงไปถึงขุนหลวงวิลังคราชในไม่กี่เพลา ข้าเกรงขุนหลวงจักพิโรธหนักแลนำทัพมาบดขยี้บีฑานครของพระนาง”

พระเทวีเจ้าขยับโอษฐ์เตรียมแย้ง หากเมื่อทรงคิดได้จึงพยักพักตร์ให้เมฆทูลต่อ

“นครหนขุนน้ำนั้นอยู่อย่างสงบร่มเย็น มิควรต้องแปดเปื้อนด้วยภัยสงครามอันเกิดจากโทสะ เช่นนี้หากแม่เจ้ามีสาส์นสมาลาโทษขุนหลวงให้ข้าพระองค์ถือไปถวาย ก็จักพอช่วยผ่อนบรรเทาศึกได้เจ้าข้า”

พระนางจามเทวีตรองอยู่อึดใจก็พยักพักตร์อีกหน

“ที่เจ้าพูดมานั้นมีเหตุผล แม้อ้ายจ่อยได้กล่าววาจาโอหังที่สุดก็ตาม”

จอมนารีหริภุญไชยจึงร่างพระราชสาส์นอันมีดำรัสอ่อนหวานพร้อมของขวัญบรรณาการเป็นแพรพรรณชั้นเลิศ แลเพชรนิลจินดาหายากจากแดนใต้ เตรียมแต่งขบวนให้เมฆกลับเมืองระมิงค์ ณ บัดนั้น

 

ข่าวเรื่องพรานเมฆละทิ้งหน้าที่และเรื่องถ้อยดำรัสของจามเทวีแพร่สะพัดไปทั่ว ข้าราชบริพารระมิงค์ที่ไม่เห็นเมฆกลับมาพร้อมจ่อยจึงหวาดกลัวว่าพรานหนุ่มถูกจับเป็นตัวประกันหรือถูกชาวลำพูนกุดหัวเสียแล้ว จากนั้นจึงตามมาด้วยข่าวอันน่าพรั่นพรึงว่า

“ขุนก๊ะเดือดนักที่ถูกแม่เจ้าจามเทวีหยามพักตร์ เพลานี้เตรียมรี้พลจักบุกหริภุญไชยแล้ว”

ธิดาคนโตของขุนหลวงระมิงค์สดับคำร่ำลือด้วยใจพรั่นพรึงมิแพ้ผู้อื่น กลัวแสนกลัวว่าอ้ายเมฆจักสิ้นชีพลงในแดนหนขุนน้ำเข้าเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นดวงใจนางคงแตกสลาย และความหวังที่จักได้ออกเรือนกับบุรุษที่หมายปองคงดับสิ้น

ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าหยาดรุ่งจะคิดทำการใด ตกดึกก็ได้ข่าวว่าพรานเมฆกลับนครมาโดยสวัสดิภาพแล้ว และได้รีบเข้าเฝ้ากราบทูลถ้อยความตามจริง พร้อมอัญเชิญพระราชสาส์นจากนางพญาลำพูนขึ้นถวาย เมื่อขุนหลวงได้ทราบถ้อยความชัดแจ้งแล้วจึงสั่งยกเลิกกองทัพทันใด ยังความโล่งใจมาให้ทวยราษฎร์ถ้วนหน้า ทั้งสั่งลงอาญาอ้ายจ่อยที่กล่าววาจาจาบจ้วงพระนางจามเทวีและที่ใส่ความเมฆว่าเป็นผู้กล่าวถ้อยหยาบช้านั้นจนถูกหริภุญไชยกุดหัว

แม้โล่งใจที่ชายที่หลงใหลใฝ่ปองจะรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่อีกใจหนึ่งเด็กสาวกลับนึกขุ่นเคืองพระบิดาที่มิยอมปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีแดนระมิงค์ ล้มเลิกที่จะเข้าขยี้บีฑานครใหม่นั้นง่ายดายด้วยคำพรรณนาไม่กี่คำจากสตรี จามเทวีแห่งหริภุญไชย…ยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามาจากไหนกันหนอ

 



Don`t copy text!