ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 24 : ขุนหลวงวิลังคะ

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 24 : ขุนหลวงวิลังคะ

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

บังเกิดความเงียบอันน่าสะพรึงขึ้น ขุนหลวงระมิงค์อ้าปากค้างแล้วหุบฉับเหมือนคาดไม่ถึง สุดท้ายก็พยักหน้า

“แต๊ดังป้อครูว่า เฮาเป็นคนป่าคนดอย นางพญาเจ้าเป็นสตรีชั้นสูงย่อมคุ้นชินกับบุรุษรูปงาม กิริยาดุจกุลบุตร พูดเจรจาอ่อนหวาน บ่ใช่โผงผางเสียงลั่นทุ่งลั่นดอยเช่นเฮา ได้…เฮาจักให้นางในทั้งหลายมาร่วมบำรุงปรุงโฉมให้เจริญตาพระนาง ส่วนนิสัยชาวดอยนั้นจนใจนัก” พูดแล้วขุนหลวงร่างหนาก็นึกขึ้นได้ “ว่าแต่เหตุใดป้อครูต้องทำให้ยุ่งยากด้วย เพียงทำเสน่ห์ให้นางพญาเจ้าหลงรักเสน่หา บ่ว่าจะรูปชั่วตัวดำเพียงใดก็คงบ่เกินมือป้อครูบ่ใช่กา?”

“บ่ได้เด็ดขาด นางพญาลำพูนผู้นี้จิตแข็งแลมีวิชาเต็มตัว หากพลาดพลั้งไปเกรงจะได้ผลร้ายมากกว่าดี” เมื่ออีกฝ่ายเริ่มคล้อยตาม ดาบสตัวปลอมจึงรีบสำทับ “ควรแก่การทำนุบำรุงราชธานีให้เจริญเสียก่อน ให้พระนางเล็งเห็นว่าระมิงค์นครมิใช่แคว้นคนป่า หากได้มาเป็นแม่เมืองจักได้รู้สึกสมพระเกียรติ แลทอดพระเนตรขุนหลวงด้วยความชื่นชม”

“เช่นนั้นป้อครูก็ต้องมาช่วยเฮาดูเถิดว่าบ้านเมืองยามนี้เป็นอย่างผู้เจริญแล้วหรือยัง”

จึงเป็นที่มาให้ดาบสปลอมย้ายจากถ้ำลึกบนดอยอ้อยมาใช้ชีวิตในระมิงค์นคร มีราชาลัวะสร้างอาศรมให้อย่างโอ่อ่างดงาม คอยอำนวยความสะดวกจนเกินวิถีดาบส แม้ปฏิเสธเท่าไร ขุนหลวงระมิงค์ก็ไม่ฟัง ทั้งกำชับไพร่พลทุกคนให้ความเคารพรัญชน์ประหนึ่งเจ้านายพระองค์หนึ่งทีเดียว

รัญชน์หันมาทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดเวลาเกือบหกเดือนที่อาศัยอยู่ในแดนระมิงค์แห่งนี้ และพบว่าบางอย่างมิได้เป็นอย่างที่เคยรับรู้มาก่อน ดังเช่นอุปนิสัยของเจ้านครระมิงค์อย่างขุนวิลังคะ

ก่อนเกิดนพบุรีศรีนครพิงค์ ราชธานีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในหน้าประวัติศาสตร์ บริเวณที่เป็นเชียงใหม่แต่เดิมแบ่งเป็นแคว้นน้อยแคว้นใหญ่ บางคราก็อิสระต่อกัน บางเวลาก็ถูกรวบผนวกรวมกันโดยกลุ่มชนที่แข็งแกร่งกว่า ในเวลาที่รัญชน์เป็นประจักษ์พยานอยู่นั้น ชาวลัวะเชื้อสายปู่เจ้าลาวจกหรือลวจังกราชอันถือว่าเป็นลัวะผู้เจริญแล้วกำลังเรืองอำนาจ ตั้งราชวงศ์สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ครอบครองดินแดนลุ่มน้ำปิงบางส่วนและกระจายตามหุบเขาสู่ดินแดนตอนในอย่างกว้างขวาง แต่หนาแน่นอยู่ในแถบอุฉุจบรรพต รวมเรียกดินแดนแถบนี้ว่ามิลังคะกุระนคร ต่อมาในสมัยวงศ์กุนาระจึงได้เปลี่ยนมาเรียกระมิงค์นคร ตามชื่อแม่น้ำระมิงค์หรือแม่น้ำปิง

ขุนหลวงวิลังคะเป็นราชาองค์ที่สิบสามแห่งวงศ์กุนาระ ขึ้นชื่อลือชาเรื่องพละกำลังและความฮึกเหิม หากเท่าที่ได้ศึกษาอุปนิสัยใจคอ ชายหนุ่มในคราบดาบสพบว่าพระราชาร่างหนาองค์นี้มิได้มีแต่ส่วนหยาบช้าต่ำทรามอย่างที่ตำนานว่าไว้ ตรงกันข้าม เขายิ่งเห็นความใจกว้าง รักพวกพ้อง กล้าหาญตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในระมิงค์ธานี

ชาวเมืองเองล้วนรักราชาของตน…ราชาผู้สมถะหากมิกลัวสิ้นเปลืองในการบำรุงความเป็นอยู่ราษฎร มิเคยรีดนาทาเร้นเอากับประชาชนตาดำๆ ทั้งยังดูแลอย่างดีมิให้อดอยาก กองทัพก็รักเขา เพราะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างมิถือชนชั้น เมื่อทำความดีความชอบก็ปูนบำเหน็จไม่อั้น เรียกได้ว่าขุนวิลังคะไม่เคยตระหนี่น้ำใจกับคนในปกครองจึงครองใจราษฎรชะงัดนัก

เมืองระมิงค์ยามนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ไพร่ฟ้ากินอยู่เรียบง่าย บ้านเรือนก็ปลูกสร้างอย่างไม่ซับซ้อน แม้แต่ในเวียงวังก็มิได้มีปราสาทวิจิตรหรูหรา ทั่วนครปราศจากงานศิลป์ประณีตและวัดวาอาราม มีแต่ศาลเจ้าบูชาผีและสำนักฤๅษีโยคี

ชายหนุ่มนึกทบทวนตามความเข้าใจ เดิมทีดินแดนภาคเหนือล้วนบูชาผีหรือเทวดาอารักษ์ ศาสนาพุทธเพิ่งประดิษฐานเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อพระนางจามเทวีเข้ามาปกครองหริภุญไชย มั่นคงอยู่ในอาณาจักรตน ก่อนค่อยๆ เผยแพร่สู่แว่นแคว้นใกล้เคียงเรื่อยมา ช่วงนี้เป็นเวลาก้ำกึ่ง พุทธรุ่งเรืองอยู่ในลำพูน แต่นครอื่นนั้นยังเพิ่งเริ่มเปิดหูเปิดตา แต่ยังไม่ถึงกับรับเข้ามาทั้งหมด

ระมิงค์ธานีก็เช่นกัน เมื่อเขาเปรยเรื่องสร้างวัดและนิมนต์พระจากหริภุญไชยเข้ามาเพื่อสานไมตรีและเพื่อให้เป็นนครอันเจริญแล้ว ขุนหลวงวิลังคะกลับไม่สนใจนัก

“ข้อนี้เฮาบ่เห็นด้วยเท่าไร เท่าที่นับถือบูชาปู่แสะย่าแสะก็รุ่งเรืองดี สิ่งอันดีงามอยู่แล้วจักต้องไปรับนับถือสิ่งอื่นที่บ่รู้จักถ่องแท้เพื่อเหตุใด”

รัญชน์เองก็พูดมากไม่ได้เพราะตนสวมบทบาทฤๅษีอยู่

สุดท้ายในวันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องกลับหริภุญไชย จึงเรียกพรานเมฆมาพบ

“รู้จักกับน้องบ่าวมานาน ใคร่ถามสักหน่อยเถิด เจ้าได้ไปร่ำเรียนวิชาต่างบ้านต่างเมือง มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตมากมาย กระนั้นก็ยังสมัครใจใช้ชีวิตอิสระเยี่ยงพรานไพรด้วยเหตุใดกันเล่า”

“ข้าบ่อยากแบกรับผู้คนบนบ่าเหมือนเจ้าป้อของข้า ข้าจักอยู่อย่างไร้หลัก บ่เป็นเจ้าปกครองผู้ใด แลบ่ให้เจ้าองค์ใดมาบังคับได้นั้นแลที่ข้าต้องการ ยกเว้นแต่เพียงได้สมหวังกับนางกำนัลลำพูนผู้นั้น ข้าจึงอาจยอมแลกได้ แต่จากที่อ้ายบ่าวว่ามาทั้งปวง กว่าสองนครจะได้สานสัมพันธไมตรีโดยสันติใช้เวลานานนัก ข้าก็เริ่มปลงตกเสียแล้วว่าโอกาสจักได้นางมาโดยสมัครใจนั้นริบหรี่เต็มที”

“อย่าเพิ่งถอดใจ เจ้ายังมีโอกาสเสมอ ตราบใดที่มิถูกจับแต่งไปกับเจ้าหยาดรุ่งเสียก่อน”

“ข้าถึงมิใคร่รับใช้ขุนหลวงด้วยเหตุนี้” เมฆหน้าตึงทันที “ความหวังข้าริบหรี่เช่นนี้จะทำสิ่งใดได้อีก”

รัญชน์จึงลำบากใจที่จะมอบหมายงานสำคัญชิ้นนี้ให้เมฆ “ข้าอยากให้เจ้าไปอยู่รับใช้ขุนหลวง”

สีหน้าพรานหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย หากยังนิ่งฟัง

“มิได้อยากฝืนใจเจ้าหรอก ให้ไปชั่วคราวเท่านั้นจนกว่าจะสัมฤทธิผลที่ต้องการ หากเจ้ายังเชื่อมั่นในตัวข้า ข้าขอรับรองว่าทำไปด้วยเจตนาดี เพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์…” แม้ฟังดูกำกวม แต่เขาก็ไม่อยากโกหก…มนุษย์นั้นก็หมายถึงไพร่ฟ้าพลเมืองของแว่นแคว้นทั้งหลาย ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง…เขาไม่อยากเห็นสงคราม ไม่อยากเห็นความสูญเสีย เมื่อจับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในสถานะที่คนให้ความเคารพเชื่อถือ ก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงอาศัยประโยชน์จากสถานะนี้

“อันขุนก๊ะนั้นเลือดร้อนแลหูเบายิ่ง ผู้ใดยุทางใดก็พร้อมไขว้เขวได้ทุกเมื่อ เจ้าต้องคอยระงับยับยั้งให้เขาใจเย็นลง ยั้งคิดให้มาก อย่าผลีผลามตามอารมณ์”

“อ้ายหมายถึงเรื่องแม่เจ้าจามเทวีแม่นก่อ?” พรานเมฆตอบทันควันอย่างผู้มีไหวพริบดี “ต้องคอยสกัดมิให้ขุนหลวงรีบร้อนรุดไปหริภุญไชยเอาพระนางมาเป็นของตนจนเสียเรื่อง”

“แม่นแล้ว อย่างน้อยก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนประเพณี มิเช่นนั้นจักเกิดเรื่องใหญ่ในภายหน้า”

“ดูทีอ้ายคงมิใช่เพียงปราชญ์ แต่เป็นผู้วิเศษเป็นแน่” เมฆพยักหน้าแข็งขัน “ข้าศรัทธาอ้ายบ่าวเสมอ แลยินดีไปรับใช้ขุนก๊ะตามบัญชา ตราบเท่าที่อ้ายเห็นสมควรนั้นแล”

“แลจงจำไว้ว่า หากต้องส่งราชทูตไปหริภุญไชยเมื่อไร จงอย่าปล่อยให้อ้ายจ่อยได้พูดเป็นอันขาด น้องบ่าวจงอาสาเป็นทูตเสียเอง จำไว้”

 

ยันยัน หายไปไหนเจ้าข้า วรน้อยคิดถึงยันยัน

“วรใหญ่ก็คิดถึงยันยันเจ้าข้า”

สองกุมารพากันมาเกาะพระเพลาพระราชมารดาพลางมองตาละห้อย

“รันรันไปทำงานที่ระมิงค์นคร ประเดี๋ยวรันรันก็กลับมา”

“เจ้าแม่คิดถึงยันยันก่อเจ้า?”

“คิดถึงเจ้า” ตรัสแล้วก็ลดเสียงลงกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสามพระองค์ “คิดถึงเหลือเกิน”

รัญชน์จากไประมิงค์นครได้เกือบหกเดือน เป็นหกเดือนอันยาวนานที่สุดในพระชนม์ชวาลา ไม่ว่ายามบรรทมหรือตื่นก็ทรงพะวักพะวงอยู่กับสวัสดิภาพของเขา ด้วยสดับมาว่าหนทางสู่นครแห่งนั้นทุรกันดารอย่างยิ่ง แลราชธานีของชาวลัวะนั้นก็ถือเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน บุรุษผู้มิเคยต้องสมบุกสมบันด้วยตัวเองอย่างแท้จริงอย่างเขาจักเอาตัวรอดได้ถึงเพียงใด

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพ้นร่มเงาอำนาจเศวตฉัตร ยังมีกองทัพและขบวนเสด็จคุ้มครองเสมอ ครั้งนี้อาศัยคราบพ่อค้าติดตามคณะวาสุเทพฤๅษีที่จาริกกลับไปยังอุฉุจบรรพต แล้วจึ่งแยกทางกันที่เขตแดนระมิงค์ เป็นตายร้ายดีต่อไปอย่างไรก็สุดจะคาดเดา

“ยันยันจักกลับมาใช่ก่อเจ้า?”

“กลับเจ้า จะใดเขาก็ต้องกลับ” ทรงพยายามรับสั่งเป็นภาษาพื้นเมืองกับพระโอรส

“ยันยันบอกว่าจะบ่มีวันทิ้งเจ้าแม่ บ่มีวันทิ้งเฮา”

ก่อนที่ความอ่อนไหวจักจู่โจมพระทัยจนน้ำพระเนตรร่วง ชมออนก็เข้ามากราบทูลรายงานก่อน

“ไหน้ำจากระมิงค์มาถึงแล้ว ให้หม่อมฉันเอาขึ้นถวายเลยหรือไม่เพคะ”

“ไหน้ำรึ” ทรงหวนนึกถึงรหัสลับที่ตกลงกันไว้ก่อนเขาจากไป “นำมาเลย”

“ระมิงค์…ยันยัน” เจ้าอนันตยศร้อง “ไหน้ำของยันยันหรือเจ้าข้า”

แม้ชมออนผู้นำไหดินเผาสีส้มอมแดงขึ้นถวายก็ซ่อนแววตาแห่งความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่มิด

“พระอาจารย์กลับมาด้วยหรือไม่”

“ขุนเจ้าขันติแจ้งว่ามิได้กลับมาเพคะ”

“อืม…” พยักพระพักตร์ช้าๆ “เจ้าพาเจ้าวรทั้งสองไปฝากนางเอี้ยงเถิด”

ครั้นสองกุมารทำท่าจะทักท้วง พระนางจึงรีบตรัสเอาจริงเอาจัง “รันรันส่งไหน้ำมา เพราะรันรันจะกลับมาแล้ว วรใหญ่กับวรน้อยต้องเป็นเด็กดีให้รันรัน เข้าใจก่อ?”

เมื่อประทับเพียงลำพัง ชวาลาเทวีจึงรีบคลายเชือกประทับตราครั่งแดงที่พันคนโทดินเผาไว้อย่างแน่นหนาออก ภายในมีเพียงเยื่อไม้ตากแห้งสีขาวตุ่นวางซ้อนกันไว้เจ็ดแผ่นและบนเยื่อไม้ทั้งหมดนั้นว่างเปล่า พระนางทรงมิรอช้า นำแผ่นเยื่อไม้ใบแรกขึ้นอังเหนือเปลวไฟจากดวงประทีปมุมห้อง

ตัวอักษรเล็กเป็นระเบียบค่อยๆ ปรากฏต่อสายพระเนตรทีละน้อยจนเต็มแผ่น…

ทรงทำเช่นนี้แผ่นแล้วแผ่นเล่าจนครบ…พระทัยเต้นโลดแรงขณะอ่าน ‘สารลับ’ จากขุนเจ้าสายลับ

ข้าแต่พระนางเจ้าหริภุญไชย อันขุนหลวงวิลังคะ ราชันชาวลัวะแห่งระมิงค์นครได้ทอดพระเนตรภาพเขียนที่พรานเมฆแอบวาดพระนางไว้เมื่อครั้งเสด็จประพาสดอยขุนตาลจึงบังเกิดความสิเน่หา ใคร่เจริญสัมพันธไมตรีด้วย หากแต่ข้าพระองค์ได้ให้พรานเมฆทูลถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน หาเหตุว่าบ้านเมืองระมิงค์ยังล้าหลังอยู่มาก สมควรทำนุบำรุงให้งดงามแลมีอารยะจึงจักสมพระเกียรตินางพญาหริภุญไชย ส่วนตัวข้าพระองค์นั้นจักกลับเวียงลำพูนในแรมเจ็ดค่ำ แลอาจไปถึงหลังจากนั้นมิเกินเจ็ดทิวาเจ้าข้า

ในเยื่อไม้แผ่นอื่น รัญชน์ได้กล่าวถึงสภาพบ้านเมืองและบุคคลที่เขาพบเจอในระมิงค์ธานีพอสังเขป เป็นต้นว่า เมืองระมิงค์ยามนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่ในเวียงวังก็มิได้มีปราสาทวิจิตรหรูหรา ทั่วนครปราศจากงานศิลป์ประณีต มีแต่ศาลเจ้าบูชาผี และสำนักฤๅษีโยคี หากวันหน้าหริภุญไชยได้นำแสงทองแห่งธรรมเข้ามาเผยแพร่หยั่งรากในดินแดนแห่งนี้ได้ก็จักเป็นพระราชกุศลใหญ่หลวง

ขุนหลวงวิลังคะเป็นราชันองค์ที่สิบสามแห่งราชวงศ์กุนาระ สืบบัลลังก์ต่อจากพระเชษฐาผู้ล่วงลับคือขุนหลวงวิธุคะ ชายาเอกผู้เป็นแม่เมืองคือเจ้าซ้องแสะสิ้นบุญไปห้าปี ขุนหลวงวิลังคะก็ยังมิแต่งตั้งนางใดขึ้นเป็นแม่เมืองแทน กระนั้นก็มีสนมอีกนับสิบนับร้อย แต่ไม่มีนางใดให้กำเนิดโอรสแก่ราชันได้สักนางเดียว

ขุนหลวงชาวลัวะทรงเผชิญปัญหาเดียวกับที่อดีตราชันลวปุระทรงประสบ คือ…ไร้โอรสสืบบัลลังก์

เขาจึงพยายามสอดส่องมองหาราชบุตรชั้นดีทั่วแดนเหนือ หากก็มิพบผู้ใดเหมาะสม เว้นเสียแต่พรานเมฆ ผู้มิได้เป็นเพียงพรานป่าธรรมดาสามัญ ด้วยมีชาติกำเนิดเดิมเป็นบุตรเจ้าเวียงแข้ที่ล่มสลาย พระมารดาคือเจ้าเอเมียะได้นำโอรสลี้ภัยมาพึ่งพระบารมีขุนหลวงพระองค์ก่อนจนได้รับอุปถัมภ์เป็นชายาองค์ที่ห้า พรานเมฆจึงมีศักดิ์เสมือนเจ้าชายพระองค์หนึ่ง เพียงแต่เขามิปรารถนาชีวิตนักปกครอง สมัครใจจะท่องไพรกว้างอย่างอิสรเสรี

เพลานี้ขุนหลวงวิลังคะยังสงบจิตสงบใจอยู่ จึงพอวางใจได้ว่ายังมิเกิดเภทภัยใดในอนาคตอันใกล้นี้ กระนั้นก็ตามเถิด ทางลำพูนเราก็สมควรฝึกกองกำลังให้แข็งแกร่งตื่นตัวพร้อมศึกอยู่เสมอ ดังที่พระนางเจ้าทรงให้ความสำคัญนั้นแล

 

ให้ท่านมีชีวิตรอดกลับมาปลอดภัยก็นับเป็นบุญมากแล้วต่างหาก…รัญชน์

บนเยื่อไม้แผ่นสุดท้าย กลับปรากฏตัวอักษรประหลาดอยู่ไม่กี่ตัว ที่เมื่อพระนางทอดพระเนตรและประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง พระพักตร์ก็กลับแดงก่ำขึ้นมา…

I miss you.

พระนางมิทรงทราบภาษาประหลาดนั้น แต่จดจำอักขระที่รวมเป็นประโยคตามที่รัญชน์เคยสอนได้ว่าถ้อยความนี้มีความหมายเช่นไร

‘สุดท้ายต่อให้ถ้อยสารทั้งปวงอาจรั่วไหลสู่ผู้อื่นได้ แต่ถ้อยความนี้จะไม่มีผู้ใดในโลกทราบ นอกจากข้าพระองค์และแม่เจ้า’

ตั้งแต่ได้เป็นตัวของตัวเองก็ชักจะเอาใหญ่เสียแล้วนะขุนเจ้า

ชวาลาพระทัยเต้นแรง แต่แล้วฉับพลันนั้นเองกลับทรงรู้สึกผิดต่อพระสวามีที่อยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวโพ้น แม้โดยพระราชฐานะและพันธะสัญญาในฐานะคู่ผัวตัวเมียจักถือว่าจบสิ้นแล้ว แต่สายใยรักในหทัยพระนางมิได้สิ้นสุดลงด้วย ยังทรงถือว่าตนเป็นชายาพระนางหนึ่งของกัษษกรเสมอ

รัญชน์ก็แค่เหมือนเจ้าพี่เขน…แต่เขามิใช่เจ้าพี่ของเรา และจักไม่มีวันใช่

ดำริดังนั้นก็ทำหฤทัยให้สงบลง สูดลมหายพระทัยเข้าออกช้าๆ ดำริว่าการควบคุมจิตใจตนเองนั้นยากเย็นยิ่งกว่ารบทัพจับศึก หรือก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาเสียอีก

 

ชวาลาเทวี…จามเทวี

ไม่ว่าเรียกด้วยพระนามใด พระนางก็ทรงเป็นสตรีที่ทำให้เขานึกทึ่งได้อยู่เสมอ

เมื่อแรกอาจต้องตาต้องใจในพระสิริโฉมโสภากว่าสตรีที่เคยพบพาน แต่นานวันเข้า เขาพบว่าเนื้อในอันแข็งแกร่งดั่งเพชรนั้นต่างหากที่จับใจเขาจนยากจะถ่ายถอนได้

และนั่นทำให้รัญชน์ต้องเบือนหลบสายพระเนตรที่มองตรงมาที่เขา นัยนาอันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายท่วมท้นมิต่างกัน หลายเดือนที่ไม่ได้พบหน้าทำให้เขาแทบบ้าอย่างไร สิ่งที่สะท้อนจากจักษุคู่นั้นก็ฉายแววเดียวกัน

ทว่าพระนางเพียงแย้มสรวลน้อยๆ ยังคงลักษณาการสง่างามสงบนิ่ง อันที่จริงก็แทบไม่ทรงแสดงอาการแห่งความรักให้เห็นอีกแล้วแม้จะอยู่กันลำพังหรือไม่…

ไม่สิ พระนางแทบไม่ให้เขาเข้าเฝ้าตามลำพังมานานมากแล้ว

“เจ้าวรทั้งสองคิดถึงขุนเจ้ามาก” ชวาลาตรัสพลางหันไปทอดพระเนตรพระโอรสอย่างเอื้อเอ็นดู

“เดือนแรกเราต้องตอบคำถามแทบทุกวันเลยเชียว”

“ข้าพระองค์ก็คิดถึงเจ้าวรมาก กลัวเหลือเกินว่ากลับมาแล้วทั้งสองจะจำข้ามิได้”

คิดถึงแม่เจ้าวรด้วยแต่พูดไม่ได้…ชั่วขณะนั้นรัญชน์หวนนึกถึงข้อความลับจากหมึกล่องหนที่เคยส่งไปกับหม้อดินเผา เขาเขียนไปด้วยห้วงฤทัยที่อัดแน่นไปด้วยความคิดถึงคะนึงหา พระนางจะได้อ่านหรือยังหนอ…กระนั้นเมื่อนึกทบทวนอีกที เขารู้สึกว่ามันออกจะอุกอาจสามหาวไม่น้อย อีกฝ่ายคือชวาลาเทวี นางพญาเมืองหริภุญไชย ส่วนเขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาสามัญคนหนึ่งเท่านั้นเอง เขาเป็นใครกันถึงจะกล้าทำตัวคลั่งรักใส่พระนางเจ้าได้

ไม่ว่าจะทรงได้อ่านหรือไม่ พระนางเลือกที่จะวางองค์เสมือนไม่รับรู้ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ทุกอย่างจะได้กลับเป็นดังเช่นที่ควรเป็นเสียที

“อันขุนวิลังคะนั้นแทบไม่เป็นอันกินอันนอนนับแต่เห็นรูปเขียนแม่เจ้า” เขากราบทูล “เขามีดำริว่าอย่างไรแม่เจ้าก็เป็นสตรีตัวคนเดียว จำต้องมีบุรุษผู้แข็งแกร่งคอยปกป้อง มิเช่นนั้นจะปกครองเมืองผู้เดียวได้เช่นไร ยิ่งเมื่อไร้สวามีด้วยแล้ว”

“เราก็ครองเมืองมาได้ตั้งหลายปีดีดักนี่นะ” ชวาลาโคลงพระเศียร “อย่างกับว่าเราอยู่มิได้กระนั้น”

“ข้าจึงลองเลียบเคียงถามดูว่าหากปรากฏว่าแม่เจ้ามีภัสดาครองคู่อยู่แล้วเล่า ขุนหลวงจะทำเช่นไร เขากลับตอบว่า ก็จะชิงพระนางมาให้จงได้ หากภัสดาแห่งแม่เจ้าปรีชาสามารถจริงก็ย่อมต่อสู้รักษามเหสีของตนไว้ให้จงได้ โลกเราก็เป็นเช่นนี้…โลกของผู้มีอำนาจ ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าก็เป็นผู้ชนะ”

“เหอะ…” ชวาลาส่ายพระพักตร์ระอา “เรามิแปลกใจหรอก บุรุษผู้มีความคิดบิดเบี้ยวเช่นนี้มีแพร่หลายนัก ใช่ว่าเรามิเคยเจอ…ก็เจ้าฟ้าแห่งนครรัฐไตมาวนั่นอย่างไรล่ะ สตรีมีคู่แล้วก็หาสนไม่”

นิ่งไปครู่หนึ่งก็รับสั่งต่อว่า “ดังนั้นการจะอุปโลกน์สวามีให้เรานั้นหาจำเป็นไม่ ถึงอย่างไรหากคนจะเอาชนะคะคานเขาก็ย่อมหาวิธีทำให้บรรลุประสงค์ แลหากต้องโกหกโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด คำโกหกนั้นก็จะพอกพูนไปเรื่อยมิรู้จบ รู้ตัวอีกที คำลวงนั้นก็จะพันตัวจนดิ้นไม่หลุดเสียเอง เราจะเผชิญหน้ากับขุนหลวงเมืองระมิงค์ด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น”

ความสัตย์จริงเช่นว่า คือการยืนหยัดสถานะนางพญาผู้ตกพุ่มม่าย เลี้ยงดูราชกุมารทั้งสอง อีกทั้งปกครองสร้างเมืองให้มั่นคงแข็งแกร่งจนขุนหลวงวิลังคะต้องเกรงใจ

รัญชน์ได้เห็นก็ประทับใจจนมิต้องการทำให้พระนางด่างพร้อยด้วยคำติฉินนินทาระหว่างเขากับพระนางได้อีก เพราะบัดนี้เขามิต้องเขียนหน้าเขียนตาอำพรางใบหน้าแท้จริงอีกแล้ว เสียงร่ำลือของข้าราชบริพารละโว้ดั้งเดิมก็แพร่ไปอย่างเงียบเชียบว่าที่แท้ขัณฑบุรุษปริศนาก็คือองค์กัษษกรปลอมตัวหนีมาอยู่กับพระชายานั่นเอง

ถึงอย่างนั้นรัญชน์ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า เขามิใช่องค์กัษษกรสวามีของพระนาง จึงยังยืนกรานสถานะขัณฑบุรุษต่อไป

เพื่อรักษาพระเกียรติของชวาลาเทวี…



Don`t copy text!