ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 28 : เกี่ยวดองสองแผ่นดิน

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 28 : เกี่ยวดองสองแผ่นดิน

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานหลังเสด็จยาตราแลประทับ ณ ระมิงค์นคร พระนางจามเทวีก็ทรงมีพระดำริหลายประการเกี่ยวกับการประสานประโยชน์แลสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักรทั้งสอง รวมไปถึงสัมพันธ์หัวใจของข้าหลวงในปกครองเช่นกัน เมื่อแน่พระทัยว่าชมออนตัดใจจากขุนเจ้ารัญชน์ได้แล้วและมินึกพึงใจขุนเจ้าขันติ หากแต่ผูกสมัครรักใคร่อยู่กับพรานระมิงค์ผู้นั้นก็ตรัสถามนางกำนัลตามตรง

“มิชวนมันมารับใช้เป็นชาวลำพูนเสียเล่า”

“แม่เจ้า…” นางเงยหน้าทันควัน “มิใคร่ยัดเยียดหม่อมฉันให้ขุนเจ้าขันติแล้วหรือเพคะ”

“เจ้าก็พูดเกินไป” พระนางสรวลประกายเนตรพราว “ข้าก็แค่อยากให้เจ้าได้ชายที่เหมาะสมและรักเจ้า แต่หากเจ้ามีบุรุษในดวงใจอยู่แล้ว ข้าก็พร้อมอวยชัย จะขอมันจากขุนวิลังคะให้”

“แต่อาจมิง่ายเช่นนั้นเลยเพคะ” เมื่อเห็นว่าเจ้านายเหนือหัวพร้อมจะเข้าข้างตน ชมออนจึงเปิดใจระบายความอัดอั้น “อ้ายเมฆหาใช่พรานไพรธรรมดา แต่นับเป็นเจ้านายผู้หนึ่ง เจ้าเอเมียะมารดาของเขาก็เป็นถึงชายาองค์ที่ห้าของขุนหลวงพระองค์ก่อน อ้ายเมฆจึงถูกหมายมาดให้เป็นราชบุตรเขยของขุนวิลังคะ แลอาจเป็นผู้สืบบัลลังก์ระมิงค์นครต่อไปภายหน้า ขุนหลวงคงมิยอมปล่อยรัชทายาทคนเดียวของระมิงค์มาให้เราได้ง่ายๆ” นางถอนใจอีกหน “มิเช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องกลายเป็นเมียรองของเขา ถูกเจ้าหยาดรุ่งรังแกอย่างร้ายกาจเป็นแน่ เพียงคิดก็รู้สึกสิ้นหวังเสียแล้วเพคะ”

“แล้วอ้ายเมฆเองเล่า คิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร”

นางกำนัลสาวหน้าง้ำลง “ปากอ้ายเมฆก็เอ่ยแต่ว่าใคร่ไปอยู่รับใช้แม่เจ้าเป็นชาวลำพูนเสียด้วยกัน แต่ติดที่เจ้าเอเมียะมารดายังได้ชื่อว่าเป็นเจ้าองค์หนึ่งของระมิงค์ จะกระทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเกียรติยศศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของนางด้วย ถ้าอ้ายเมฆเลือกทิ้งระมิงค์มารับใช้ลำพูน เจ้าแม่ของเขาจักตกที่นั่งลำบากได้ มานึกดูแล้วเขาคงมิได้รักหม่อมฉันมากพอดังปากว่าหรอกเพคะ” ชมออนเริ่มน้ำตาคลอ “หม่อมฉันคงอับโชคเรื่องความรัก พึงใจบุรุษใดก็มักกลายเป็นรักต้องห้ามเสมอ”

จอมนางลำพูนทรงนึกเห็นใจข้าหลวงคนสนิท แลดำริว่าจักทรงลองหยั่งเชิงเรื่องนี้แก่ขุนวิลังคะด้วยองค์เองอีกทาง ขณะเดียวกันเมื่อทอดพระเนตรพระธิดารองอีกสองนางของขุนหลวงแล้วก็บังเกิดความคิดที่จะเกี่ยวดองสองนครไว้ได้โดยสันติ มิต้องให้เกิดกระด้างกระเดื่องได้ในภายหลัง

“แม้สองกุมารของข้ายังเยาว์ชันษาก็จริง แต่หมั้นหมายธิดาขุนหลวงไว้ก็บ่เสียหายอันใด ทั้งยังทำให้สายใยสองแคว้นเหนียวแน่นยิ่งขึ้น”

“เจ้ามหันตยศกับเจ้าอนันตยศเพิ่งได้ห้าชันษากว่าเท่านั้น ธิดาขุนก๊ะย่างรุ่นสาวแล้วกระมัง ดูอย่างเจ้าหยาดรุ่ง อายุรุ่นราวเดียวกับหม่อมฉันด้วยซ้ำ” ชมออนท้วงอย่างไม่สบายใจนัก

“เจ้าแกมรุ่งกับเจ้าแสะรุ่งเพิ่งได้สิบปีเท่านั้น ยังพอให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันได้ ขุนหลวงก็เห็นดีเห็นงามตามนั้น เป็นอันว่าธิดาอีกสองนางจะเดินทางกลับหริภุญไชยไปด้วยกันในคราวนี้”

นางกำนัลคนสนิทเงียบไป ทรงเดาว่านางคงกำลังน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาด้วยคิดว่าคงหมดหวังในตัวพรานเมฆเสียแล้ว พระนางจึงบากพระพักตร์ไปเจรจากับขุนหลวงเมืองระมิงค์โดยมีขุนเจ้ารัญชน์และขุนเจ้าขันติติดตามไปอารักขาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด

ทว่า ขุนวิลังคะที่พอระแคะระคายเรื่องเมฆและนางกำนัลในพระนางจามเทวีอยู่บ้างแล้ว ได้ฟังนางพญาลำพูนท้าวความขึ้นก็เดาความได้ทันที เขากลับกล่าวว่า

“ข้าใคร่สนทนากับแม่เจ้าเป็นการส่วนตัว ขอเชิญมหาดเล็กทั้งสองไปคอยข้างหน้าเถิด”

เมื่อขุนเจ้าทั้งสองได้ยินดังนั้นก็หน้าตึง ทำท่าทักท้วงไม่ยอม วิลังคะจึงดักคอว่า

“ข้าหาได้คิดอกุศลทำกลอุบายใดต่อแม่เจ้าไม่ หากเกินเวลาสามบาทแม่เจ้ายังมิกลับออกไปก็จงเข้ามาเชิญเสด็จได้เลย”

ราชันชาวลัวะเอ่ยถึงขนาดนั้น สองขุนเจ้าจึงจำต้องทำตาม เมื่อประทับกันเพียงลำพัง วิลังคราชจึงทูลตามที่พระนางคาดว่ายามนี้เมฆเปรียบเสมือนรัชทายาทบัลลังก์วงศ์กุนาระผู้เดียว จะให้ไปรับราชการยังหริภุญไชยนั้นเป็นได้อย่างมากที่สุดเพียงขุนนางชั้นพญาขุนเจ้าเท่านั้น เว้นเสียแต่…

“ให้หริภุญไชยแลกอ้ายเมฆกับขุนเจ้ารัญชน์เช่นนั้นหรือเพคะ” เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางพญาเมืองโดยสิ้นเชิง “เขาหาได้มีเลือดขัตติยะสักหยดไม่ เป็นเพียงชาวไพร่บ้านป่าเท่านั้น จักให้สืบราชสมบัติวงศ์กุนาระได้อย่างไร”

“หามิได้ อันลักษณาการชายผู้นั้นหาได้เหมือนไพร่บ้านป่าไม่ ทั้งมีสง่าราศี พูดจาฉะฉานดุจปราชญ์” ราชันระมิงค์หรี่เนตรเจ้าเล่ห์ “รูปโฉมก็งดงามอย่างยิ่ง บอกว่ามิได้เป็นขัตติยราชนั้นข้ามิอาจปลงใจเชื่อโดยเด็ดขาด อีกทั้งยามเขาเห็นเจ้าหยาดรุ่งเอกธิดาของข้า ก็มีอาการตกตะลึงประหนึ่งบุรุษตกอยู่ในห้วงรัก ให้สมรักกันก็ย่อมเหมาะสมอย่างยิ่งมิใช่หรือ”

ชวาลาเทวีทรงอึกอัก ก่อนหน้านี้ยังทรงนึกเบาใจว่าขุนวิลังคะมิได้เฉลียวใจว่าดาบสหน้าตาเลอะเทอะที่พรานเมฆนำพามาสองปีก่อนนั้นเป็นชายคนเดียวกันกับขุนเจ้ารัญชน์ บุรุษหน้าตาคมสันเกลี้ยงเกลา ไร้ไฝฝ้าราคีใดบนใบหน้าผู้นี้ หากก็มิได้ทรงคาดหมายมาก่อนว่ารูปโฉมนี้จะสะดุดตาเจ้าเมืองระมิงค์จนถึงขั้นยอมแลกกับว่าที่ราชบุตรเขยได้

“เว้นเสียแต่ว่าพระนางเจ้าจักหวงขุนเจ้าผู้นั้นไว้เป็นประโยชน์ต่อหริภุญไชย อันว่าขุนเจ้ารัญชน์สำคัญอย่างไรต่อลำพูน เมฆก็สำคัญต่อระมิงค์เช่นนั้นแล”

“ขุนหลวงทรงทราบหรือไม่ว่าเขาเป็นขัณฑบุรุษ เรื่องที่จักให้อภิเษกกับเจ้าหยาดรุ่งนั้นหาได้มีประโยชน์ใดไม่หากเขามิสามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้”

“ขัณฑบุรุษหมายถึงสิ่งใด”

ครั้นทรงมีอรรถาธิบายนิยามของชายถูกตอน ขุนวิลังคะถึงกับหน้าถอดสี แต่ก็มิวายระแวง

“เรื่องอุบาทว์เช่นนี้หาเคยได้ยินไม่ ดูทีบุรุษผู้นี้คงมีความสำคัญมากดังคำลือ แม่เจ้าถึงกับต้องทรงแต่งเรื่องวิปลาสเช่นนี้ให้ข้าถอดใจ ขอให้รู้ไว้เถิด ข้ามิปักใจเชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตนเองนั้นแล”

พระนางทรงไตร่ตรองดูแล้ว เพียงหมั้นหมายธิดาทั้งสองของขุนวิลังคะกับพระกุมารแฝดของพระนางก็เพียงพอแล้ว มิต้องถึงกับสละรัญชน์เพื่อให้นางกำนัลของพระนางสมหวังในรัก ทรงเพียงแต่หวังว่าชมออนจะเข้าใจ เพราะถึงอย่างไรโอกาสที่ขุนวิลังคะจะยอมให้นั้นเป็นไปได้ยาก พระนางเองก็มิทรงอยากแตกหักสร้างรอยร้าวระหว่างสองอาณาจักรมากไปกว่านี้

เรื่องอันใดที่จะให้ขุนเจ้าของเราไปเป็นภัสดาหญิงอื่น

ดำริขึ้นมาดังนั้นก็ตกพระทัยในความคิดตน ด้วยเส้นแบ่งระหว่างว่าเป็นความคิดของเจ้านายที่กำลังหวงแหนคนในปกครองหรือสตรีที่หวงแหนบุรุษนั้นยากจะบอกได้ชัด โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อได้สดับเรื่องที่ขุนหลวงกล่าวถึงอาการของรัญชน์ยามพบเจ้าหยาดรุ่ง…ตกตะลึงประหนึ่งตกอยู่ในห้วงรักกระนั้นหรือ

ดังนั้นจึงตั้งพระทัยไต่ถามความสมัครใจของรัญชน์ในภายหลัง แต่ก็จำเป็นต้องสังเกตเป็นข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อนว่าชายหนุ่มคิดเห็นประการใดกับเรื่องนี้

“ตอนมาเป็นพ่อค้าเป็นดาบสเมืองระมิงค์คราโน้น มิเคยพบหน้าธิดาคนโตของขุนก๊ะหรอกหรือ”

“ไม่เคยเจ้าข้า เจ้าหยาดรุ่งเป็นสตรีจึงอยู่ในคุ้มฝ่ายใน เพิ่งได้เห็นหน้ากันก็ครานี้”

เมื่อทรงสังเกตถี่ถ้วนจึงมองเห็นอาการผิดปกติจริงดังขุนวิลังคะว่า เมื่อไรที่พบเจ้าหยาดรุ่ง รัญชน์มักขยับตัวอย่างอึดอัด สีหน้าแปรเปลี่ยนไปราวสับสนและกระสับกระส่ายอย่างที่ไม่ทรงเคยเห็นมาก่อน ชวาลาเทวีจึงตัดสินพระทัยว่าควรให้รัญชน์ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเองคงดีที่สุด

“เรื่องที่จักให้เจ้าแกมรุ่งกับเจ้าแสะรุ่งหมั้นหมายกับพระโอรสทั้งสองนับว่าชาญฉลาดอย่างยิ่งเจ้าข้า นอกจากเป็นการประนีประนอมสานสัมพันธไมตรีสองแคว้นได้แล้ว เจ้ารุ่งทั้งสองจะยังเป็นตัวประกันชั้นดีที่มิให้ระมิงค์แข็งข้อกระด้างกระเดื่องในภายหลังได้”

แต่ครั้นบุรุษผู้มีหน้าตาเหมือนสวามีพระนางได้ฟังข้อเสนอของขุนหลวงเมืองระมิงค์ก็ขมวดคิ้ว ทว่ากลับไม่ได้ตอบกลับว่าคิดเช่นไรกับข้อเสนอแลกเปลี่ยนนั้น เขากลับสะดุดใจเรื่องอื่นมากกว่า

“คำวิเคราะห์อันหลักแหลมว่าขุนเจ้ารัญชน์มิใช่ไพร่บ้านป่าธรรมดานั้นผิดวิสัยขุนก๊ะอย่างยิ่ง ข้าพระองค์เชื่อว่ามีผู้ทูลแนะความเห็นนี้ต่อขุนหลวงต่างหาก มิแคล้วคำลือที่ว่ายามนี้ขุนก๊ะคบค้าสมาคมกับนักพรตสายมืดบนดอยอ้อยผู้หนึ่งคงเป็นจริง เพราะอันตัวขุนหลวงนั้นมิใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมหรือคิดสิ่งใดซับซ้อนได้ กอปรกับเสาะแสวงหาผู้มีไสยเวทอาคมมาเป็นครูหรือคอยรับใช้ส่งเสริมความเป็นใหญ่ จึงน่าจะเป็นนักพรตมืดผู้นี้เป็นแน่ รวมถึงข้อเสนอเรื่องแลกเปลี่ยนตัวกันนั้นด้วย”

“แล้วนักพรตผู้นั้นยุ่งเกี่ยวหรือได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องท่านกัน” ชวาลาทรงฉุกคิดตาม “และดูราวกับมันจะรู้กระนั้นแลว่าท่านมิใช่ขุนนางธรรมดาหรือไพร่บ้านป่า”

“ข้าสืบทราบมาว่าสมัยก่อนเขาเป็นดาบสเรืองนาม ขึ้นชื่อเรื่องวิชาคาถาอาคม เป็นที่นับหน้าถือตาของราษฎรชาวลัวะมากมาย ตราบกระทั่งท่านวาสุเทพเดินทางสู่แดนเหนือนั่นละ ที่ผู้คนแห่แหนไปนับถือบูชาท่านกันหมดเพราะท่านก็มีวิชาชั้นสูงจำนวนมาก แต่เลือกสั่งสอนคนเดินทางสายขาว ไม่ให้หลงมัวเมาในอวิชชา ดาบสตนนี้ก็เลยโกรธริษยาท่านวาสุเทพ”

“อ้อ เราจำได้แล้ว พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง เขาเลือกทำอาคมไสยดำใส่พระอาจารย์จนของเข้าตัว สิ้นฤทธิ์หมดสภาพ หายเงียบไปในอุฉุจบรรพต ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวเขาอยู่หลายปี”

“ใช่เจ้าข้า บัดนี้เขาพยายามฟื้นตัวอีกครั้งด้วยการเสาะหาเวทมนตร์วิชาลึกลับที่สูญหายไปก็ดี ที่ยังไม่เคยปรากฏในแดนเหนือมาก่อนก็ดี เพื่อให้กลับมามีฤทธิ์มีเดช ยิ่งหากได้รับใช้ขุนหลวงวิลังคะด้วยแล้วก็จะยิ่งส่งเสริมให้ได้เป็นใหญ่”

“ท่านรู้ดีทีเดียวนะขุนเจ้า” พระนางทรงนึกทึ่ง วันเวลาที่ผ่านไป ชายหนุ่มตรงหน้าเองก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยโผงผางหุนหันพลันแล่น คิดอ่านหรือกระทำสิ่งใดด้วยใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวตั้ง เขาสุขุมมากขึ้น ช่างคิดวิเคราะห์ สืบเสาะหาข้อมูลอย่างละเอียดด้วยความใจเย็นอดทน และแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดก็พลอยเก็บงำมิดชิดกว่าเดิม

“เราควรต้องระวังนักพรตตนนี้เพียงใดกัน”

“ยามนี้ข้าเชื่อว่าเขายังไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดมากนัก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้คนของเราหรือคนในปกครองระมิงค์ได้คลุกคลีใกล้ชิดจนได้รับอิทธิพลมากเกินไปเจ้าข้า”

“ระวังอย่างไรกัน ประเดี๋ยวเราก็ต้องกลับหริภุญไชยกันแล้ว หรือต้องตามหาเขาให้เจอเสียก่อน”

“ไม่ค่อยมีใครได้พบเขา หากเขามิปรารถนาให้พบเจ้าข้า เมฆบอกข้าเช่นนี้ ข้าเองก็ยังนึกว่านักพรตมืดก็จงใจเข้าหาเมฆเพราะเห็นว่าเขาจะได้เป็นใหญ่ในระมิงค์ในภายหน้า”

“เช่นนั้นเราก็ต้องเตรียมป้องกันเมืองเราให้ดี เราจักหารือกับพระอาจารย์อีกครา บัดนี้พระอาจารย์จาริกจากอุฉุจบรรพตกลับไปปฏิบัติยังดอยขุนตาลอีกหน ขากลับหริภุญไชยเราจะได้แวะสักการะท่านอีกสักครั้ง” รับสั่งแล้วก็นึกถึงเรื่องที่ค้างคาพระทัย “แล้วขุนเจ้าคิดเช่นไรกับข้อเสนอของขุนวิลังคะเล่า โอกาสจะได้เป็นเจ้าในระมิงค์มิใช่จะได้มาโดยง่าย เดิมทีท่านก็เป็นถึงเจ้าชาย สมควรจักได้กินบัลลังก์ของตนเอง”

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ใหญ่ มองพระนางเหมือนไม่เชื่อสายตา ชวาลาเทวีกลับทรงรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

“ข้ามิได้มักใหญ่ใฝ่สูง หากข้าอยากครองบัลลังก์เป็นเจ้า ข้าก็คง…” เขาเงียบไปครู่ใหญ่ดุจพยายามหาถ้อยคำที่เหมาะสม “หาหนทางไปเสียนานแล้ว ไม่อยู่จนถึงตอนนี้”

“แล้วเจ้าหยาดรุ่งเล่า ถึงท่านมิได้มักใหญ่อยากเป็นเจ้านคร แต่ก็ชอบพอกับนางอยู่มิใช่หรือ หากท่านเกรงใจมิอยากได้ชื่อว่าละทิ้งเราและราชสำนักลำพูนก็ขออย่าได้กังวล เราใคร่เห็นขุนเจ้ามีความสุข ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ท่านต้องการ สิ่งใดที่จะเหนี่ยวรั้งท่านจากความสุขเราจักไม่ยอมกระทำเด็ดขาด”

“แม่เจ้าไปเอาเรื่องมีใจให้เจ้าหยาดรุ่งมาจากไหนกัน” น้ำเสียงเขาเริ่มหงุดหงิด คำเรียกขานกลับไปห่างเหิน “ข้าพระองค์ไม่เคยคิดอื่นใดกับนางแม้แต่นิด”

“ใครเขาก็เห็นกันทั่ว” พระนางข่มพระทัยรับสั่งต่อ “สายตาท่าทางที่ขุนเจ้ามองเจ้าหยาดรุ่ง”

หนนี้รัญชน์ชะงักและอ้ำอึ้ง พระทัยชวาลาเทวีกลับเต้นตึกตัก

“นางก็แค่…หน้าเหมือนคนที่ข้าเคยรู้จักเท่านั้นเอง มิได้คิดมีใจด้วยแม้แต่น้อย”

“คนรู้จัก?” พระนางฉงน “คนรักสมัยอยู่ไชยาของท่านกระมัง…เจ้าชาย”

ชายหนุ่มนิ่วหน้า “คนรักคนหนึ่ง…เมื่อนานมาแล้ว”

“เหตุใดท่านจึงมีคนรักหลายคนได้” ชวาลาสดับแล้วรู้สึกไม่ดีนัก “ท่านคงเคยเป็นผู้สำราญในอิสตรีมาก่อนใช่หรือไม่…แล้วเวรกรรมที่กระทำต่อสตรีจึงส่งผลให้ท่านพบวิบากกรรมจนตกยากพลัดพรากจากบัลลังก์ไชยาเป็นแน่ เจ้าพี่เขนถึงพยายามปกปิดมิให้ท่านมีตัวตน”

“แม่เจ้าคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว” เขาโคลงศีรษะ “นั่นอาจเป็นคำอธิบายที่อยุติธรรมต่อข้าสักหน่อย แต่ข้าจักไม่เอาชนะ แม่เจ้าใคร่คิดเช่นไรก็สุดแต่น้ำพระทัยเถิด” เขาตอบเสียงเย็นชาห่างเหิน

“เช่นนั้นแสดงว่าท่านไม่คิดรับน้ำใจเรื่องนั้นจากขุนหลวงใช่หรือไม่” ชวาลาใคร่ให้แน่พระทัยแท้จริง

“ไม่เจ้าข้า…” เขาตอบหนักแน่น จ้องพระเนตรพระนางไม่หลบเลี่ยง แววตาสะท้อนความรู้สึกนานัปการอันชวนให้หฤทัยจอมนางไหวระทึก “เว้นแต่แม่เจ้าปรารถนาจะจับข้าใส่พานถวายให้เป็นภัสดาเจ้าหยาดรุ่งให้ได้ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงจนใจ”

ถ้อยความนั้นแปลว่าเขาไม่สมัครใจจะวิวาห์กับธิดาคนโตของขุนวิลังคะใช่หรือไม่

เหตุใดจะพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยก็มิได้…

แล้วนางพญาเมืองลำพูนก็ทรงเผลอค้อนให้เขาทีหนึ่ง

 

หลังจากประทับในเมืองระมิงค์ได้สิบหกราตรี พระนางจามเทวีก็ยกขบวนเสด็จกลับหริภุญไชยพร้อมด้วยธิดาทั้งสามในขุนวิลังคราชได้แก่เจ้าหยาดรุ่ง เจ้าแกมรุ่ง และเจ้าแสะรุ่ง โดยมีเจ้าหยาดรุ่งเป็นผู้ขันอาสาตามไปเป็นผู้ใหญ่ส่งตัวพระน้องนางทั้งสองให้ถึง ‘บ้านใหม่’ โดยสวัสดิภาพจึ่งคอยเดินทางกลับระมิงค์ธานี

อากาศวันนั้นร้อนอบอ้าว แม้ความร่มรื่นเขียวขจีของดอยขุนตาลก็มิอาจบรรเทาเหงื่อไคลไหลซึมทั่วร่างได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าวาสุเทพฤๅษีผู้ทรงฤทธิ์ นางพญาจามเทวีผู้เลอลักษณ์และทรงศักดิ์

ภายในถ้ำพักแรมของพระฤๅษีจุดเทียนสว่างไสว อบร่ำด้วยควันไม้หอมอวลฟุ้ง หากยิ่งชวนให้พรานไพรอย่างเมฆอึดอัด กระนั้นสิ่งที่ชวนให้กระสับกระส่ายยิ่งกว่ากลับเป็นเจ้ารุ่งทั้งสามแห่งวิลังคราชที่นั่งพับเพียบอยู่บนอาสน์สูงกว่าเขา แต่ต่ำกว่านางพญาลำพูน

เจ้าแกมรุ่งกับเจ้าแสะรุ่งเป็นเด็กเรียบร้อย มีเค้าเป็นคนหัวอ่อน ค่าที่พี่สาวพูดอะไรก็ล้วนก้มหัวพยักหน้าทุกครั้ง คนที่ออกโรงเสียงดังฟังชัดอย่างไม่กลัวเกรงกลับเป็นเจ้าหยาดรุ่งที่ตอบคำถามจอมนารีหริภุญไชยฉะฉานแทนน้องน้อยทั้งสอง ทั้งยังปรายตามองเขาเป็นระยะๆ พลางเอ่ยวาจาเป็นนัย

“หริภุญไชยมีราชกุมารถึงสองพระองค์ ทั้งได้น้องสาวทั้งสองของข้าเจ้าไปอีก เป็นอันว่ามั่นคงปลอดภัย แต่ระมิงค์นั้นเล่า ทั่วนครเห็นจะมีแต่อ้ายเมฆเป็นยอดชายแต่ผู้เดียว”

พรานหนุ่มสะดุ้ง ขยับตัวอึดอัด ยิ่งเห็นแววตาตัดพ้อจากชมออนเขาก็ยิ่งใจคอไม่ดี

“อ้ายเมฆเงียบเชียว เรื่องเช่นนี้แม่ญิงพูดจะขัดเขินเอาได้ สูอย่าแกล้งหยาดรุ่งเลย” พระนางเย้า

“เจ้าหยาดรุ่งมักกล่าวให้เกียรติข้าพระองค์เช่นนี้เสมอ” เขาทูลพระนางจามเทวีโดยแทบไม่มองหน้าธิดาองค์โตของขุนวิลังคะ “ข้าเจียมตนว่าเป็นเพียงขุนนางเท่านั้น พื้นเพดั้งเดิมก็คือพรานป่า”

“แต่มารดาของเจ้าเป็นเจ้านางชาวสะเทิมโน้น ทั้งมีศักดิ์เป็นชายาองค์ที่ห้าของขุนหลวงระมิงค์พระองค์ก่อน” จอมนารีตรัสอย่างรู้ดี “บิดาเจ้าเองก็สืบเชื้อสายลวจังกราชผู้ยิ่งใหญ่ เคยครองเวียงแข้มาก่อนที่เวียงจะล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำ เรียกว่าชาติกำเนิดของเจ้ามิได้ด้อยเลย”

ครั้นเห็นเขาทำหน้าไม่ถูก พระนางจึงแสร้งโบกหัตถ์

“เอาเถิด อย่างไรก็เป็นเรื่องของหนุ่มสาวชาวระมิงค์ ข้าคงมิอาจก้าวก่ายออกความเห็นได้ คงจะมีเจ้าน้อยๆ สองนางนี้ละที่ต่อจากนี้เข้ามาเป็นชาวหริภุญไชย”

เจ้าแกมรุ่งกับเจ้าแสะรุ่งเงยหน้ามองผู้พูดอย่างหวาดๆ ก่อนก้มหน้าลงตามเดิม

“บ่ต้องห่วง ข้าจักดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี” พระนางให้คำมั่นพลางแย้มสรวลงดงามจับใจผู้พบเห็น กระนั้นเจ้าหยาดรุ่งกลับมิได้ยิ้มตาม ดวงตาหรี่ลงเจ้าเล่ห์เหมือนนางงู

“ไปกันเถิด หมู่เฮารบกวนพระฤๅษีมานานแล้ว ถึงเวลากลับเวียงสักที”

แม่เจ้ารับสั่งด้วยภาษาถิ่นอย่างคล่องแคล่ว ต่างจากครั้งก่อนที่เมฆพบลิบลับ ช่างดูกลมกลืนราวพระนางเป็นคนแดนเหนือแต่กำเนิด อันที่จริงหากเขาได้มาอยู่รับใช้ใต้ร่มบารมีพระนางก็คงดีไม่น้อย อัชฌาศัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าทรงเป็นผู้ปกครองที่ทรงธรรมเพียงไร

แต่เจ้าแม่ของเขาไม่ยินยอมเป็นแน่ ทุกลมหายใจเข้าออกของเจ้าเอเมียะมีแต่เรื่องที่อยากให้เขาได้เป็นเจ้าครองบัลลังก์ให้สมกับที่มีเลือดขัตติยะ หรือต่อให้นางยินยอมก็ตาม เขาก็ย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของนางอยู่ดี ทั้งยังเกิดเกรงใจขุนวิลังคะขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยซาบซึ้งบุญคุณใดๆ ของอีกฝ่ายมาก่อน

เมื่อใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ราชันชาวลัวะมีน้ำใจกว้างขวาง ยกย่องให้เกียรติเจ้าเอเมียะให้มีความเป็นอยู่ดี มียศตำแหน่งบริวารอย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งยังไม่เคยบังคับฝืนใจให้เมฆมารับราชการด้วยซ้ำ ยังให้อิสรเสรีตามใจชอบทั้งที่มีสิทธิ์ในการออกคำสั่งหรือบีบบังคับได้ก็ตาม

หนทางของเขากับชมออนนั้นเริ่มแรกราวเป็นไปได้ แต่เอาเข้าจริงกลการเมืองระหว่างแผ่นดินกลับทำให้แยกห่างกันดุจเส้นขนาน ทำงานมิเลือกเจ้าเลือกไพร่ แม้กับชีวิตพรานไพรและนางกำนัลเล็กๆ ก็ตาม

 

เมื่อลาพระฤๅษีแล้วเคลื่อนขบวนกลับหริภุญไชยต่อ แม่เจ้าจามเทวีก็ทรงเรียกธิดาทั้งสองของขุนวิลังคะมานั่งเสลี่ยงด้วยกัน ชวนสนทนาด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัย เล่าเรื่องพระโอรสทั้งสองให้ฟังสลับกับซักถามความเป็นอยู่ของพวกนางในระมิงค์ธานี เมื่อแรกเด็กทั้งสองก็อ้ำอึ้ง ผ่านไปกว่าครึ่งทางจึงค่อยคลายความประหม่า นึกแล้วชมออนก็เห็นใจพวกนางเหมือนกัน เพราะตนก็เคยต้องจากบ้านจากเมือง จากอ้อมอกบิดรมารดามาสู่ดินแดนใหม่ ทั้งหวาดกลัวและว้าเหว่ ไม่รู้อนาคตข้างหน้า ซ้ำเจ้าแกมรุ่งกับแสะรุ่งยังเด็กกว่านางตอนจากเวียงโถมาเสียอีก

“ดูทีแม่เจ้าคงจะให้อี่นายเป็นพี่เลี้ยงเจ้ารุ่งทั้งสองกระมัง” ขุนเจ้าขันติเปรยขึ้น “สถานะอี่นายอาจสูงขึ้น อี่นายกับอ้ายเมฆอาจมีโอกาสมากขึ้นก็ได้”

ชมออนมองขุนพลกรำศึกของแม่เจ้าจามเทวีด้วยความประหลาดใจ “ขุนเจ้าทราบด้วยหรือเจ้า”

“ข้าแก่เฒ่าปูนนี้แล้วจักให้หูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องได้อย่างไร” ขุนนางใหญ่หัวเราะในลำคอ “ข้าไม่นิยมฝืนใจสตรีหรอก ถ้าอี่นายได้ดิบได้ดี มีความสุขในหนทางอื่นมากกว่าออกเรือนไปกับข้า ข้าก็ควรยินดี”

“ขุนเจ้าช่างเป็นคนดีจั๊ดนัก ท่านสมควรได้พบแม่ญิงที่ดีพร้อม มิใช่แม่ญิงบ่ฮักดีเช่นข้าเจ้า”

“บ่ฮักดีอันใดกัน อันความฮักนั้นบทจะมาก็เหมือนลมพัดพาเข้ามา หาควบคุมบังคับได้ไม่” กล่าวจบขุนศึกใหญ่ก็ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินเลี่ยงไปอย่างองอาจทระนง

ถ้านางรักเขาได้ก็คงดี แต่ความรักก็คงเหมือนสายลมดังเขาว่า ใช่ว่ามนุษย์จักบังคับทิศทางสายลมได้เสียเมื่อไรกัน

บางที นางควรลืมเรื่องรักใคร่หนุ่มสาวนี้ไปให้หมด แล้วอุทิศชีวิตรับใช้ภักดีต่อแม่เจ้าจามเทวีดังที่เคยให้สัตย์ปฏิญาณไว้



Don`t copy text!