ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 30 : เสน้าดอกแรก

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 30 : เสน้าดอกแรก

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

วิลังคราชผู้เต้นเร่าด้วยไฟแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าจักล้างอายแลทำลายเวียงของแม่ญิงหลายใจให้จงได้ ระดมซ่องสุมกับหัวหน้าลัวะกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยจนได้กองทัพใหญ่ เตรียมกรีธาทัพเกรียงไกรสู่หริภุญไชย กลับอ่อนละลายดังเทียนลนไฟเพียงได้พระราชสาส์นจากจอมนารีโฉมงาม แม้ห้ามตนเองมิให้หลงเชื่อ หากก็ราวกับหทัยพร้อมจักเข้าใจดังพระนางว่าทุกสิ่ง

‘…ผิว่าต้นเหตุแห่งศึกครานี้ มาจากการที่ขุนหลวงเคืองใจหม่อมฉันเรื่องเจ้าชายรามราช ก็ขอให้ไต่ถามสืบความให้แน่ใจเสียก่อน มิใช่ฟังความจากละอ่อนน้อยที่ฟังคำไม่ประสาแล้วทึกทักให้บานปลาย จนเป็นเหตุให้สองนครบังเกิดเหตุหมางเมินเช่นนี้ ทั้งนี้หม่อมฉันใคร่ให้ขุนหลวงตรองดูให้ดีเถิดว่าเหตุเกิดขึ้นด้วยเหตุอันใด หากมิใช่ด้วยทรงหลู่เกียรติหม่อมฉัน สั่งสอนธิดาให้ระแวงแคลงใจ เกลียดชังหม่อมฉันเช่นนี้ เจ้าแกมรุ่งแลเจ้าแสะรุ่งนั้นหม่อมฉันรักเสมือนลูก ไม่เคยให้ได้รับความลำบาก เคราะห์ยังดีที่พวกนางยังพอเห็นน้ำใจหม่อมฉันบ้างกระมัง จึงสารภาพว่าเป็นบัญชาจากเจ้าหยาดรุ่งให้เป็นไส้ศึกให้ชาวระมิงค์ หม่อมฉันฟังแล้วก็มิใคร่เชื่อ ธิดาจักกล้าทำเรื่องอุกอาจได้เช่นไรหากพระบิดาไม่ยินยอม’

ลูกข้าทำงามหน้าเสียแล้ว…เขานึก มือสั่นขณะอ่านถ้อยความยาวเหยียดต่อมา ตาพร่าพราย รู้เพียงหัวใจเต้นรัวราวจะหลุดจากทรวง

‘อย่าทรงให้ทวยราษฎร์เดือดร้อนด้วยเรื่องของผู้ใหญ่สองคนเลย ขอให้เป็นเรื่องของหม่อมฉันกับขุนหลวง แท้แล้วเหตุเกิดจากขุนหลวงรักใคร่ปรารถนาในตัวหม่อมฉัน แต่เพื่อยุติความบาดหมางแลคำครหาทั้งปวง หากขุนหลวงได้แสดงเดชานุภาพด้วยการพุ่งเสน้า จากอุฉุจบรรพตมาถึงกลางเวียงหริภุญไชยได้ในสามครั้ง เมื่อนั้นหม่อมฉันจักถวายนครลำพูนแลตัวหม่อมฉันไว้ใต้หัตถ์ขุนหลวงแต่โดยดี หากทรงทำมิได้ หม่อมฉันขอระมิงค์ธานีไว้เป็นประเทศราชใต้อำนาจหริภุญไชยด้วยเถิด’

ครั้นอ่านจนจบ ขุนวิลังคะก็ดีใจ รีบแล่นมาถึงอุฉุจบรรพตหวังใจจะได้พบนักพรตลึกลับผู้นั้น ทำเอาชาวป่าชาวดอยแตกตื่น ทว่ากลับไม่พบดาบสเช่นเคย แลหนนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงเพรียกกระซิบความเหมือนทุกครั้ง ขณะที่กำลังสับสน ราชันก็กลับได้พบบุตรเจ้าเอเมียะเข้าเสียก่อน จึงแจ้งความเรื่องสาส์นจากจอมเทวี

“สูมาช่วยเฮาคิดเตรียมการพุ่งเสน้าดีกว่า”

เมฆแปลกใจ “แต่ขุนหลวงชำนาญเสน้าที่สุดในแดนระมิงค์นี่เจ้าข้า”

“แต่พุ่งจากดอยอ้อยไปตกกลางเวียงลำพูนโน้นบ่ได้หรอก สูเป็นพราน ทั้งมีวิชาอาคมมากมายต้องช่วยเฮาได้แน่” ราชันร่างหนาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “สูบ่อยากให้เกิดสงครามแม่นก่อ? สูต้องช่วยเฮา หากเฮาทำได้สำเร็จ เรื่องนางข้าหลวงที่สูหมายปองเฮาจักช่วยให้สมหวัง ตบแต่งเป็นผัวเมียให้เอง”

พรานหนุ่มใจเต้นแรง “แล้วเจ้าหยาดรุ่ง…”

ขุนหลวงโบกมือว่อน “เจ้าหยาดเสี้ยมเจ้าแกม เจ้าแสะจนเสียเรื่อง นางต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง”

ขณะที่กำลังนึกสงสัยต่อว่าขุนหลวงไม่ต้องการหาราชบุตรเขยเพื่อสืบบัลลังก์แล้วหรืออย่างไร ถ้อยวาจาต่อมาของราชันร่างใหญ่ก็ไขกระจ่าง “มิแน่หรอก พอได้จามเทวีเป็นมเหสีแล้ว พระนางอาจถวายโอรสให้เฮาได้สักองค์ เฮาจักมีราชกุมารของตนเอง บ่ต้องฝืนใจบังคับผู้ใดมาเป็นคู่บุตรสาวอีก”

เช่นนั้นน่ะเอง…เมฆนึกขันแกมปลง หากความตื่นเต้นยินดีมีมากกว่า ความหวังที่มอดดับไปแล้วกลับถูกจุดประกายขึ้นมา หากขุนหลวงพุ่งเสน้าไปตกกลางเวียงหริภุญไชยได้ครบสามครั้ง นอกจากเขาจักไม่ต้องกลายเป็นสวามีเจ้าหยาดรุ่งแล้ว ยังมีโอกาสสมหวังกับชมออน

เพราะอันหนทางขาวสะอาดแห่งเกียรติยศดังที่อ้ายบ่าวรัญชน์เคยว่าไว้ มิได้นำพาให้สมหวังในรัก บางทีหนทางที่ขุนวิลังคะนำเสนออาจเป็นทางออกที่ประนีประนอมที่สุดแล้วก็เป็นได้

คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมติดตามขุนวิลังคะกลับเมืองระมิงค์ แม้จะพะวักพะวนถึงดาบสลึกลับที่ตามหาอยู่ก็ตาม นึกแล้วก็แปลกใจ เดินทางเสาะหาเท่าไรก็หาพบตัวไม่

เมฆสอนวิชาเพิ่มกำลังและลงมนตรากำกับไว้ ขุนหลวงวิลังคะชำนาญเสน้าเป็นทุนเดิม ได้คาถาอาคมเพียงเล็กน้อยอย่างไรต้องทำสำเร็จได้เป็นแน่

“สูเรียนวิชานี้มาจากที่ใดกัน ใช่ดาบสจากดอยขุนตาลครานั้นหรือไม่ ได้ยินว่าเขากลับขึ้นดอยขุนตาลไปแล้วมิกลับมาอีกเลย”

“มิได้เจ้าข้า” เมฆเลือกไม่ตอบเรื่องดาบสตัวปลอม “เรียนจากสำนักอื่นเจ้าข้า”

“คงมิใช่นักพรตมืดที่เขาร่ำลือกันกระมัง ข้ายังมิเคยพบหน้าเขาสักครั้ง ได้ยินแต่…” เอ่ยค้างไว้อย่างนั้นแล้วก็กลับเงียบไปเสีย เมฆจึงเลี่ยงไม่ตอบคำถามทั้งปวง

เมื่อได้ทำพิธีมนตราจากสิงห์ ขุนหลวงวิลังคะก็ยิ่งฮึกเหิมมั่นใจ จึงกลับไปยังอุฉุจบรรพตอีกหน บริกรรมคาถาแล้วพุ่งเสน้าดอกแรงเพื่อทดสอบกำลังก่อนเริ่มจริง

 

ผู้ตรวจการฯ จากลำพูนรีบร้อนเดินทางมาถึงอุฉุจบรรพตตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเห็นพรานเมฆครั้งสุดท้าย ณ ธารน้ำเชิงดอยใกล้ปากถ้ำที่วาสุเทพฤๅษีเคยพำนักจำศีล เมื่อมาถึงก็เห็นเมฆนั่งหลับตาคล้ายทำสมาธิแต่กระสับกระส่ายร้อนรน ครั้นได้ยินเสียงเรียก ฝ่ายนั้นก็สะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นทันที

“อ้ายรัญชน์” ท่าทางผู้อ่อนวัยกว่าทั้งดีใจและโล่งอก “คิดว่าชาตินี้คงบ่ได้พบอ้ายเสียแล้ว ข้ากำลังสับสนเหลือเกิน ว่าแต่ครานี้อ้ายเป็นผู้ใด เป็นพ่อค้า เป็นขุนเจ้าของแม่เจ้าจามเทวี หรือเป็นดาบสกา?”

“เป็นผู้ตรวจการ” รัญชน์ร้อนใจรีบเข้าเรื่อง “ข้าได้ยินว่าน้องบ่าวเป็นผู้สอนมนตราอาคมในการพุ่งเสน้าให้ขุนก๊ะกา?

“เช่นนั้นอ้ายคงทราบเรื่องสาส์นจากแม่เจ้าลำพูนแล้ว”

เขาถึงได้ร้อนใจขนาดนี้ เพราะใครจะคาดคิดว่าจอมเทวีจะเลือกใช้หนทางนี้ในการระงับข้อพิพาท

แต่เหตุใดต้องเป็นเสน้า ทั้งที่น่าจะทรงพอทราบจากการข่าวอยู่แล้วว่าขุนหลวงวิลังคะชำนาญการพุ่งเสน้าเพียงใด หรือคงเพราะทรงประเมินแล้วว่าหากคิดจะสู้ด้วยกองทัพจริง ย่อมเอาชนะรี้พลโยธาของขุนหลวงระมิงค์มิได้แน่

หากที่ชายหนุ่มตกใจที่สุดเพราะดันไปพ้องกับตำนานศึกขุนวิลังคะอีกฉบับเข้าพอดิบพอดี จากที่เคยวางใจแล้วว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ตามอย่างตำนานทุกเรื่อง

เมื่อได้สติรัญชน์จึงซัก “ขุนก๊ะบังคับข่มขู่ให้เจ้าทำกา?”

“มิใช่…แต่จักผิดอันใดหรืออ้าย ในเมื่อการประลองเสน้ามิต้องทำให้ไพร่ฟ้าเดือดร้อน ทั้งยังอาจทำให้สองแผ่นดินปรองดองกันได้”

“แต่แม่เจ้าจักเป็นชายาขุนหลวงมิได้”

“ไยมิได้เล่า…ในเมื่อแม่เจ้าเป็นผู้ออกปากเสนอด้วยตนเอง แล้วครรลองธรรมเนียมก็เป็นเช่นนี้ ผู้ชนะคือผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจย่อมปรารถนาสิ่งใดก็ได้ ข้ามัวแต่ยึดถือความเป็นผู้มีน้ำใจดังอ้ายบ่าวว่า ข้าจึงต้องช้ำใจเสียนางที่รักไป”

“ข้าเสียใจที่ทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนี้” เขาควรจะคำนึงถึงความเชื่อค่านิยมของคนยุคโบราณมากกว่านี้ ไม่ควรยัดเยียดสิ่งที่คิดว่าดีงามในโลกของตนโดยไม่หาทางออกที่เหมาะสมต่อพื้นฐานการรับรู้ของอีกฝ่าย

ผลที่ได้จึงออกมาว่าเมฆเชื่อถือคำสอนของเขาจนทำให้พลาดหวังจากชมออน

“ทั้งที่หากน้องบ่าวทำตามใจแต่แรกก็อาจได้สมประสงค์ไปแล้ว ข้ามัวแต่ให้เจ้านึกถึงหัวใจและศักดิ์ศรีของสตรีที่รัก ข้าเข้าใจหากน้องบ่าวจักบ่ฮักนับถือข้าอีกแล้ว แลละอายใจเกินกว่าจะขอให้เจ้าช่วยถอนมนตรานั้น เช่นนั้นข้าคงต้องขอลาน้องบ่าวแต่เพียงเท่านี้”

“นึกถึงหัวใจและศักดิ์ศรีของสตรีที่รักกา?” เมฆทวนคำเหมือนละเมอ ฉับพลันก็สะดุ้ง

“ถูกของอ้ายรัญชน์ เมื่อเวลาผ่านไปข้าก็ลืมเลือนสิ่งนี้เสียสนิท ว่าที่ข้ายอมปล่อยชมออนไปก็เพราะนึกถึงหัวใจแลศักดิ์ศรีของนางและของมารดาข้า”

“เนื้อแท้เจ้าเป็นคนดี เจ้าถึงนั่งไม่เป็นสุขอย่างนี้” รัญชน์ชมจากใจ “ที่ผ่านมาคงเพราะเจ้าเสียใจ”

“มิน่าเลย ข้ามิน่าเข้าป่าดอยอ้อยเสาะหาอวิชชาเหล่านั้นเลย”

“เจ้าหมายถึงเรื่องใด” รัญชน์สะดุดหู “หรือหมายถึงนักพรตมืดที่คนร่ำลือกันทั่วแดนเหนือ”

เมฆพยักหน้า “ว่ากันว่าผู้ใดเดินท่องไพรลึกในดอยอ้อย หากโชคดีจะได้พบนักพรตเรืองเวทผู้สาบสูญ เขาจะคอยช่วยเหลือผู้ตกในห้วงทุกข์ให้ได้รับสิ่งที่ปรารถนา ทั้งการให้พร สอนสั่งวิชา หรือกระทั่งบอกความลับของศัตรู ข้าได้พบอยู่หลายหน เช่นเดียวกับครั้งนี้ ข้าได้มนตราจากนักพรตมืดผู้นั้น”

“เจ้าเคยพบหน้าเขาแล้วกา? ข้าบ่เคยได้ยินว่ามีใครเคยพบเขาซึ่งหน้าสักครา”

พรานหนุ่มส่ายหน้า “บ่เคย ข้อนี้แลที่แปลก ทุกครั้งที่รู้สึกว่าได้พบนักพรตมืด มักเป็นตอนที่อยู่กลางไพรลึกสงัดเงียบยามโพล้เพล้ คล้ายจะวิงเวียนหน้ามืดครึ่งหลับครึ่งตื่น ตอนนั้นแลที่เริ่มได้ยินเสียงกระซิบต่างๆ นานาที่รู้ความปรารถนาเฮาแม่นยำราวเข้ามานั่งในใจ พอได้สติอีกครั้งก็ลงจากดอยมาแล้ว” ชายหนุ่มเกาหัว “แต่ข้าไม่เข้าใจ เช่นนี้แล้วนักพรตจะได้สิ่งใดตอบแทน ในเมื่อมิมีผู้ใดเซ่นสรวงใดๆ ทั้งสิ้น”

“เขาไม่มีตัวตนอีกแล้ว” รัญชน์นึกถึงเรื่องเล่าจากวาสุเทพ เริ่มปะติดปะต่อและกระจ่างแจ้งในบัดดล “นักพรตตนนั้นสิ้นฤทธิ์ละสังขารไปแล้ว แต่ดวงจิตอันมืดบอดของเขายังกระหายจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยพลังจิตแก่กล้าจึงทำให้มีฤทธิ์มากพอจะดึงดูดมนุษย์เข้ามาได้…มันดูดกินกิเลสตัณหาของมนุษย์เป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้แข็งแรงอีกครั้ง”

“ผีป่า…” เมฆครางหน้าซีด “เท่ากับข้าช่วยปลุกปีศาจขึ้นมากา?”

ชายจากโลกอนาคตไม่อยากซ้ำเติมผู้อ่อนวัยกว่า อีกทั้งเขาเองก็ละอายใจต่อฝ่ายนั้นเกินกว่าจะขอความเห็นใจให้ช่วยเหลือได้อีก

“เรื่องที่อ้ายต้องการให้ข้าถอนมนตราเสน้าของขุนก๊ะนั้นข้าคงทำให้มิได้ แต่มิใช่เพราะข้ายังเคืองโกรธหรือต้องการได้ชมออนมาด้วยเล่ห์เพทุบายทางการเมือง หากเพราะข้ามิอาจทรยศขุนหลวงได้” เมฆกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “สิ่งที่ข้าพอจะทำให้อ้ายรัญชน์ได้คือช่วยฝากฝังส่งให้ท่านกลับลำพูนไปได้โดยปลอดภัย เพลานี้จักใช้เส้นทางปกติบ่ได้ อ้ายจักต้องเดินผ่านป่าดงพงไพรรกทึบนี้ไปเท่านั้น แต่ก็จะถึงเวียงลำพูนได้ไม่เกินห้าราตรี”

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…สิ่งที่รัญชน์ปรารถนาที่สุดยามนี้คือการกลับไปพบและแจ้งข่าวแก่ชวาลาเทวี

คืนนั้นผู้ตรวจการจากหริภุญไชยจึงรีบออกเดินทางก่อนจะถูกขุนวิลังคะควบคุมไว้เป็นตัวประกัน ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินคร่ำเคร่งจนเกือบรุ่งสาง เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เมื่อรู้สึกเหมือนมีวัตถุแหลมยาวลอยผ่านศีรษะไปไกลลิบ

ยังไม่เห็นมันตก ราวกับมันบินได้และโผทะยานไปสุดขอบฟ้ากระนั้น

รัญน์สังหรณ์ใจ…มันคืออะไรหนอ?

 

ฉึก…

ชาวบ้านแตกตื่นโกลาหล กรีดร้องระงม กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อวันดีคืนดีก็มีเสน้าตกลงใกล้หนองน้ำเฉียดหลังพ่อค้าคนหนึ่งไปหวุดหวิด ห่างจากประตูเวียงหริภุญไชยไปไม่กี่วาเท่านั้น บ้างว่าเป็นอาเพศ บ้างคิดไปถึงสงคราม เข้าใจว่ามีข้าศึกซุ่มโจมตีโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว

เมื่อข่าวไปถึงคุ้มหลวงกลางเวียง พระนางจามเทวีก็ผุดลุกขึ้นจากตั่งทอง

“อ้ายขุนหลวงผู้นี้มันมีวิชา” ตรัสวรองค์สั่นเทิ้ม พักตร์งามซีดเผือด เสโทผุดซึมจากเกศาลงข้างปราง “แลคงมีหมออาคมอยู่กับมันเป็นแน่ ข้าจักทำเยี่ยงไรดีหนอ หากเทียบกองทัพเกรียงไกรของพวกลัวะแล้ว ไพร่พลเรามีเพียงหยิบมือเดียว ที่ชนะครานั้นด้วยพญาคชสารแลการอ่านกลศึก แต่บัดนี้มันคงรู้ทันเสียแล้ว”

แต่ขุนเจ้าขันติทูลแย้ง “หนนั้นมีชัยด้วยพระปรีชาของแม่เจ้าต่างหาก”

“ถึงกระนั้นภู่ก่ำงาเขียวก็ทำให้ขวัญกำลังใจพวกมันแตกกระเจิงเป็นช่องให้เราโจมตีได้โดยสะดวก” พระนางไม่คลายพระทัย “อีกทั้งครานี้อ้ายขุนก๊ะมันรวบรวมลัวะป่ามาได้อีกนับหมื่น ข้าจึงต้องรอมชอมด้วยวิธีนี้ รู้ว่ามันชำนาญการพุ่งหอกยาว แต่ไม่คิดว่าจักพุ่งมาถึงลำพูนได้ ดูเถิด ยามมันขว้างจริงต้องปักเข้ากลางเวียงถึงคุ้มเราทีเดียว มันมีวิชา เราประมาทมันมิได้เลย”

ชมออนที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนค่อยๆ คลานเข้ามาทูลแจ้ง

“ขุนเจ้ารัญชน์กลับมาแล้วเพคะ”

“ขุนเจ้า…” ประกายเนตรจามเทวีระยิบระยับเมื่อบุรุษผู้เหมือนองค์กัษษกรทุกประการปรากฏตัว

“นึกว่าถูกขุนก๊ะกุดหัวไปเสียแล้ว ท่านปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“ข้าพระองค์โชคดีได้พรานเมฆช่วยไว้” สายตาที่ส่งกลับมายังพระนางสะท้อนความรู้สึกเดียวกัน

“ฝีมือพุ่งเสน้าของขุนก๊ะเป็นหนึ่งในแดนเหนือ เมื่อลงอาคมจักยิ่งทรงอานุภาพ เราจำเป็นต้องหาวิธีป้องกันเจ้าข้า”

ชวาลานั้นทรงคุ้นชินกับอากัปกิริยาท่าทางภัสดาอย่างไร ก็เป็นเช่นเดียวกับขุนเจ้าผู้นี้อย่างนั้น เมื่อเขาแสดงอาการหรือพูดจาผิดประหลาดแม้แต่นิดเดียวก็ทรงเฉลียวใจได้ทันที…

ชายหนุ่มไม่เอ่ยเรื่องทำลายอาคมทั้งที่เป็นทางออกที่ชัดเจนตรงตัวอย่างยิ่ง หากไม่เพราะเขานึกเห็นใจฝ่ายระมิงค์ขึ้นมา ก็อาจเพราะเจ้าหยาดรุ่งขอไว้

ทว่า…เมื่อปลอดข้าราชบริพารแลขุนทหาร สิ่งที่รัญชน์กราบทูลกลับเรียบง่ายตรงตัวอย่างยิ่ง

“การทำลายอาคมคนอื่นเป็นบาป ข้าไม่อยากให้แม่เจ้าทำบาป”

พระนางทรงนิ่งงันด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ครั้นจะให้เพิกเฉยไม่ทำสิ่งใดเลยก็ทรงทำมิลง จึงทรงแก้ต่างว่า “จักเป็นบาปกรรมก็เมื่อการทำลายอาคมนั้นทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหรือสิ้นชีพลง แต่ทำเพื่อสลายอวิชชานั้นเป็นการหยุดการสร้างบาปเวรต่างหาก”

เมื่อดำริดังนั้นจึงปรึกษาคุณท้าวทั้งสองว่าจะลองใช้มายาศาสตร์ที่เคยทราบในเดิมพันครั้งนี้ ครั้นแล้วก็ให้นางกำนัลนำผ้าซิ่นชั้นใน อันเป็นผ้าพื้นไร้ลวดลายใดๆ ออกมา จากนั้นจึงทรงลงมือเย็บหมวกด้วยองค์เอง

ขณะที่พระหัตถ์จับเข็มสอยเย็บผืนผ้านั้น ก็ทรงหวนระลึกถึงอดีตอันแสนไกลในละโว้ เมื่อครั้งที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในตำหนักชวัลรวี ครั้งนั้นทรงหัดเย็บมาลาไชยาเพื่อถวายพระราชสวามี…

มาบัดนี้ มาลาแบบเดียวกันกำลังถูกนำไปเป็นอาวุธปกป้องบ้านเมือง

“จงแต่งราชทูตนำบรรณาการนี้ไปถวายราชันวิลังคราชแห่งระมิงค์เป็นการด่วน แจ้งว่าเป็นมาลาแบบเดียวกับที่ข้าเย็บถวายพระสวามี ยามนี้ต้องการแสดงน้ำใจไมตรีว่าหริภุญไชยมิต้องการเป็นศัตรูกับระมิงค์แต่อย่างใด”

เมื่อบรรณาการชิ้นงามอันซ่อนนัยแห่งความสิเน่หาส่งตรงไปถึงราชันชาวลัวะ ขุนหลวงก็ลิงโลดดีใจจนผุดลุกจากตั่งทอง ตบเข่าฉาดใหญ่ นัยนาแจ่มใสเป็นประกาย ไชโยโห่ร้องกลางท้องพระโรงโดยมิเหลือเค้าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่

“จอมเทวีมีใจต่อเฮาแล้วแน่แท้”

ไม่ว่าใครในท้องพระโรงยามนั้นก็เป็นประจักษ์พยานถึงความปราโมทย์ยินดีของขุนหลวงต่อของขวัญชิ้นนี้ แลก็พลอยยินดีต่อความรักของราชันที่น่าจะสมหวังสักที

ขุนวิลังคะหยิบพระมาลาทรงสูงสีน้ำตาลเข้มประดับอัญมณีแพรวพราวขึ้นสวมด้วยมือสั่นเทา ยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาอย่างเปี่ยมสุข เป็นภาพที่ข้าราชบริพารทุกคนรวมถึงธิดาคนโตประทับตราตรึงอยู่ในใจไปอีกนานเท่านาน

 



Don`t copy text!