
ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 35 : สมณะจากละโว้
โดย : พิมพ์อักษรา
ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co
อุบายของราชันแฝดนั้นแม้ยังไม่สัมฤทธิผลเรื่องพระมารดากับขุนเจ้ารัญชน์ดังที่ทรงหวังไว้ ทว่ากลับส่งผลลัพธ์ทางการเมืองระหว่างเวียงหริภุญไชยและเวียงเขนหลวงได้อย่างงดงาม ด้วยเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างสองนคร ประสานรอยร้าว กระชับความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องและของฝาแฝดผู้ครองนครไปโดยปริยาย อีกทั้งได้ขยายผลการเจริญสัมพันธไมตรีต่อแว่นแคว้นอื่นด้วยสันติวิธี โดยมิต้องใช้พระนางจามเทวีเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจเพื่อจูงใจเจ้าแผ่นดินนครอื่น
เจ้าเมืองปัวหลงใหลในศิลปะอันงดงามซับซ้อนของหริภุญไชยอันมีรากฐานมาจากอารยธรรมทวารวดีอันรุ่งเรือง พระนางจามเทวีจึงโปรดฯ ให้ชมออนผู้เชี่ยวชาญงานประณีตศิลป์โดยเฉพาะงานดินเผานำคณะช่างลำพูนไปสอนชาวเมืองปัว แลอันตัวขุนหลวงมาวคำผู้ตกพุ่มม่ายมาหลายปีก็เกิดต้องตาพึงใจข้าหลวงสาวจากหริภุญไชยจนถึงขั้นทูลขอจากพระนางจามเทวีโดยจะให้ชมออนไปเป็นแม่เมือง นางพญาลำพูนมิใคร่บังคับใจใคร จึงแล้วแต่ความสมัครใจของชมออนเอง
ข้างฝ่ายโยนนครนั้นแม้เจ้าฟ้าหน่อแก้วจักมีจิตปฏิพัทธ์ต่อจอมนางหริภุญไชยมายาวนาน หากก็ทรงมีอัชฌาศัยอย่างสุภาพบุรุษที่ไม่ดึงดันเอาชนะ ทั้งยังทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจนปรารถนาจักนำแสงทองแห่งพุทธธรรมมาสู่เมืองโยนในวงกว้าง พระนางจามเทวีจึงตอบไมตรีนี้ด้วยการแต่งทูตนำคณะสงฆ์กว่าห้าร้อยรูปไปประดิษฐานพระศาสนาในเมืองโยนแลเสด็จไปด้วยองค์เอง
โดยปราศจากขุนเจ้าคู่พระทัย
ตั้งแต่เกิดเรื่องเด็กบัวตอง พระนางถึงเพิ่งรู้องค์เองว่ารักเขามากมายเพียงใด ใช่ว่าที่ผ่านมาจักไม่ยอมรับหรือปฏิเสธความรู้สึกนี้ ตรงกันข้าม ทรงทราบแก่ใจดีว่ามอบหทัยให้แก่เขาไปแล้ว แต่มิคิดมาก่อนว่าจักท้วมท้นจนทำให้เจ็บปวดร้าวรานได้เพียงนี้ และต่อจากนี้คงกลับไปวางองค์ปกติต่อเขาไม่ได้อีกต่อไป
เพราะต่อให้รัญชน์ไม่ได้ชอบพอเด็กสาวบัวตอง หรือต่อให้เขาจะมีใจปฏิพัทธ์ต่อพระนาง เรื่องของพระนางกับเขาก็เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทรงทำได้คือต้องตัดใจและทำใจเสียใหม่
ประทับอยู่เมืองโยนเพื่อช่วยขยายพระศาสนานั้นช่วยเยียวยาหทัยได้ดีนักแล
“สุดท้ายเฮาสองคนก็ช่วยให้เจ้าแม่กับรันรันครองฮักกันบ่สำเร็จ”
พระอนุชาแฝดรำพึงด้วยความเสียดาย “ทั้งที่บ่มีผู้ใดขัดขวางหรือครหา มีแต่ผู้อยากเห็นพวกเขามีความสุขสมหวังต่อกันเสียทีแท้ๆ เชียว แต่ก็ยังดื้อดึงยึดถือเรื่องเดิมอยู่ดี”
“แต่บัดนี้เจ้าแม่ก็ทรงเกษมสำราญอยู่ที่โยนนครมิใช่หรือ ได้ทรงดูแลสร้างวัดวาอารามให้ทางโน้นมากมาย บัดนี้มิตรไมตรีระหว่างหริภุญไชยกับเมืองโยนยิ่งแน่นแฟ้น”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องคิดถึงรันรันอยู่ดี รันรันก็อกไหม้ไส้ขมระทมอยู่อาลัมพางค์ เกิดเรื่องถึงเพียงนี้ก็มิรู้จักไปตามเจ้าแม่ไปเมืองโยน” เจ้าอนันตยศส่ายพระพักตร์ “แต่เฮาก็ควรจะให้เจ้าแม่กลับเวียงวังลำพูนเสียทีเถิด แล้วค่อยคิดหากิจศาสนาให้เจ้าแม่ริเริ่มอีกก็ได้ แต่…วัดวาอารามก็เต็มหริภุญไชยกับเขนหลวงเสียแล้วสิ บ่มีที่ว่างอีกแล้ว เว้นแต่จะขยายเมือง”
“ถ้าเช่นนั้นเราริเริ่มสิ่งใหม่ที่ยังมิเคยปรากฏในแดนเหนือมาก่อนดีก่อ?” พระเนตรเจ้ามหันตยศเป็นประกาย “เจ้ารู้จักการแลกเปลี่ยนพระสงฆ์ระหว่างดินแดนที่ศาสนารุ่งเรืองก่อ?”
“นั่นหาใช่สิ่งใหม่ไม่ อย่างสงฆ์ลังกาวงศ์จากแดนใต้ก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว”
“หนนี้เฮาจักมิได้ให้แลกเปลี่ยนสงฆ์ แต่จักจัดให้มีการถกประลองธรรมระหว่างพระสมณะขึ้น เป็นการแลกเปลี่ยนธรรมคำสั่งสอนจะใดเล่า เรียกว่าการวิสัชนาธรรม”
“วรใหญ่ไปเอามาจากไหน”
“เฮาศึกษาจากชาดกธรรมคัมภีร์ ตอนละอ่อนวรน้อยบ่ตั้งใจเล่าเรียนกา?”
เจ้าอนันตยศสรวลลั่น “เฮาคงแพ้วรใหญ่ตั้งแต่ครานั้นกระมัง วรใหญ่ครองหริภุญไชยก็สมควรแล้ว”
“เรื่องนี้บ่เกี่ยวกับเรื่องครองเมือง” พระเชษฐารับสั่งอย่างละมุนละม่อม “จะใดเฮาสองคนก็ได้ครองเมืองของนางพญาจามเทวีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ดี แลสมควรจักทำประโยชน์ให้บ้านเมืองนี้ด้วยกันทั้งคู่แล แม้แต่เรื่องการศาสนานี้ วรน้อยเห็นว่าจะใดบ้าง”
“การนี้นอกจากจักช่วยให้เจ้าแม่ได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ไพร่ฟ้าประชาชนที่เข้าฟังวิสัชนาธรรมได้แตกฉานทางธรรมไปด้วย เฮาเห็นด้วย แต่จักเป็นพระสมณะจากบ้านเมืองใดกา?”
“ละโว้” พระเชษฐาตอบอย่างผู้ที่ใคร่ครวญมาดีแล้ว “ขึ้นชื่อลือนามว่าเป็นดินแดนที่พุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุดในแดนใต้…เฮาจักเชิญพระเถระจากละโว้ให้มาถกพระธรรมกับพระสงฆ์หริภุญไชยนั้นแล”
พระอนุชาแฝดทรงนิ่งไปอึดใจ “หมู่เฮาก็มีเลือดละโว้อยู่ในกายครึ่งหนึ่ง เหตุใดจึงมิเคยคำนึงถึง”
“ตั้งแต่จำความได้ นอกจากเรื่องเจ้าป้อแล้ว เจ้าแม่ก็บ่เคยรับสั่งถึงชีวิตในละโว้ให้ได้ยิน ลำพูนกับละโว้เองก็เรียกได้ว่าสะบั้นไมตรีต่อกันนับตั้งแต่เจ้าแม่เสด็จจากมา เฮาสองก็เลยบ่ได้ใฝ่ใจใคร่รู้เท่าไร”
“เพราะเหตุใดกา?”
“เฮาก็บ่แน่ใจนัก เคยแอบฟังคุณท้าวทั้งสองรำพึงรำพันคิดถึงพระนางมฤติกา อัยยิกาของหมู่เฮา เลยจับความได้ว่าในวังละโว้ยึดอำนาจจากเจ้าแม่ แต่ที่บ่ฆ่าทิ้งเสียก็เพราะเจ้าป้อใช้องค์เองแลกเปลี่ยนกับชีวิตชายา จากนั้นเจ้าแม่ก็เหมือนถูกเนรเทศขับไล่จากบ้านเมืองของท่านมาสร้างนครยังแดนเหนือนั้นแล”
“เช่นนั้นละโว้ก็ย่อมเห็นเจ้าแม่ของเฮาและหริภุญไชยเป็นภัยต่อพวกเขา” พระอนุชานึกสะท้อนพระทัย “แต่ผ่านมาเนิ่นนาน คงบ่ถือโทษโกรธความกันแล้วกระมัง อีกทั้งเฮาเจริญไมตรีอย่างพุทธวิถี”
“เฮาก็คิดเช่นนั้น แลถือเป็นโอกาสอันดีที่เฮาสองจักได้รู้จักรากเหง้าอีกครึ่งหนึ่ง แม้จักผ่านทางวิถีสงฆ์อย่างการวิสัชนาธรรมก็ตาม”
ครั้นสองราชันตกลงเห็นพ้องกันแล้ว จึ่งแต่งพระราชสาส์นอาราธนาพระเถราจารย์และคณะสงฆ์จากลวปุระมาร่วมวิสัชนาธรรมยังนครหริภุญไชย พระเจ้าจันทรวิศรม กษัตริย์องค์ใหม่แห่งลวปุระทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกแห่งพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดก็ได้ยินดีอนุโมทนาต่อสังฆกิจนี้ จึงได้แต่งราชทูตพร้อมด้วยคณะเถระจำนวนหนึ่งร้อยแปดรูปเดินทางมายังแดนเหนือถึงเมืองหริภุญไชยในระยะเวลาสามเดือน
ชาวเมืองทั้งหริภุญไชย เขนหลวงและอาลัมพางค์ต่างเดินทางมาร่วมต้อนรับคณะพระสมณะจากละโว้ยังลานกลางเวียงหน้าอารามหลวงจามเทวีกันเนืองแน่น แม้เพียงได้เฝ้าแหนอยู่ภายนอก มิได้ยินการประลองธรรมที่เกิดในอารามก็นับว่าได้ร่วมอนุโมทนาบุญอย่างยิ่งแล้ว
ชวาลาทรงตื่นเต้นยินดีต่องานประลองธรรมนี้จนแทบมิได้บรรทมตลอดคืน หากก็ตื่นมาด้วยพระพักตร์ผ่องแผ้วแจ่มใส สรงน้ำฉลองพระองค์อย่างพิถีพิถัน ขบวนเสด็จของจอมนารีหริภุญไชยจึงมาถึงวัดหลวงตั้งแต่พ้นรุ่งสางเพียงเล็กน้อย สบเข้ากับขบวนม้าของขุนเจ้ารัญชน์ที่เลี้ยวเขาเขตอารามพอดิบพอดี
“ขุนเจ้า…” พระนางเผลอครางออกมา พระทัยเต้นแรง “มิพบเสียนาน ได้เข้าร่วมงานบุญใหญ่ด้วยกันเช่นนี้นับเป็นมงคลยิ่งนัก”
ชายหนุ่มทำความเคารพ หากแววตาที่มองพระนางสะท้อนความปราโมทย์ยินดีเช่นกัน
“ได้พบแม่เจ้าอีกครั้งก็นับเป็นมงคลเจ้าข้า”
I miss you.
ถ้อยภาษาที่เขาเคยสอนฉายวาบในพระทัย สิ่งที่ทรงตระหนักในยามนี้คือความรู้สึกนั้น
ขณะนั้นพระโอรสทั้งสองก็เข้ามารับรองพระราชมารดาให้เข้าไปในวิหาร ประทับบนอาสนะหลังฉากม่านโปร่งร้อยด้วยไข่มุกเม็ดเล็กแพรวพราว ก่อนจะอาราธนาพระสังฆราชแลพระเถราจารย์ละโว้ทั้งห้ารูปที่จะขึ้นถกประลองธรรมขึ้นประทับบนยกพื้นสูงลาดอาสนะด้วยพรมทอลายวิจิตร
จากนั้นการวิสัชนาธรรมก็ได้เริ่มขึ้นในเช้าวันจันทร์อันแจ่มใส โดยมีนางพญาเมืองทอดพระเนตรพระสมณะชาวลวปุระผ่านม่านไข่มุกด้วยพระทัยจดจ่อ
พระสงฆ์คู่แรกลงจากธรรมาสน์เมื่อเวลาผ่านไปสิบบาท คู่ที่สองจึงขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ของฝั่งตน โดยฝั่งหริภุญไชยหันหน้าไปทางฝั่งละโว้ สงฆ์ละโว้หันหน้าประจันฝั่งหริภุญไชย
ครั้นได้ทอดพระเนตรใบหน้าพระเถระฝ่ายตรงข้ามที่เตรียมรับคำปุจฉาด้วยอาการสงบสำรวมผ่านม่านมุก ชวาลาก็กะพริบเนตรอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่พระทัยว่ามิใช่ภาพมายา ทว่าเมื่อสมณะเจ้าผู้นั้นมองสบเนตรกลับมาแล้วชะงัก พระนางจึงมั่นพระทัยว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริง
พระทัยชวาลาแทบจักหยุดเต้นลงตรงนั้น
วาน้อย…
หัตถ์เรียวบางตวัดม่านไข่มุกออกช้าๆ ดวงเนตรที่สบกลับมาทำให้หัวใจพระสมณะละโว้แทบหยุดเต้น โลกราวหยุดหมุนลงตรงนั้น กาลเวลาหยุดนิ่ง สรรพสิ่งรอบกายไร้ความเคลื่อนไหว
ไม่คิดว่าจะได้เจอพระนางอีกแล้วชั่วชีวิตนี้…
แม้เมื่อทราบว่าจะได้เป็นสมณทูตเดินทางไปวิสัชนาธรรมยังอาณาจักรหริภุญไชย ก็มิได้คาดหมายว่าจะได้พบนางพญาแผ่นดิน เพียงได้รู้จากพระฤๅษีครานั้นว่าพระนางสุขสบายดี ปกครองอาณาจักรได้ร่มเย็นเป็นสุขก็พลอยยินดีด้วย
ครั้นเข้ามาในวิหาร เพียงได้พบพระโอรสทั้งสองที่บัดนี้เติบใหญ่เป็นกษัตริย์ปกครองเมือง ก็เกินคาดหมายสำหรับภิกษุผู้นี้มากแล้ว และมิได้อยากแสดงตัวเป็นเรื่องใหญ่ให้ประดักประเดิดกันเสียเปล่า เพราะขณะนี้เขาได้สละพันธะทางโลกทั้งปวงเข้าสู่เพศบรรพชิตมาหลายปีแล้ว
เขาไม่เห็นพระนาง…จนกระทั่งม่านมุกถูกเผยออกนั้นแล
นักบวชพยายามรวบรวมสมาธิ หากจะทำได้เขาต้องมิสบเนตรคมหวานคู่นั้น แต่เมื่อละสายตามิได้ เขาก็ต้องเอ่ยธรรมทั้งที่ยังมองนัยนางามอยู่เช่นนั้น
ภิกษุหนุ่มค่อยๆ ควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่กี่ลมหายใจเขาก็วิสัชนาธรรมต่อไปได้โดยสงบ
มิง่ายเลย แต่เขา…ก็ทำได้
เบื้องหน้าพระเถระแห่งละโว้ยามนี้ มีเพียงผู้ที่ ‘เคยเป็นครอบครัว’ นั่งเยื้องต่ำจากเขาไปอีกลำดับ
ต่อให้ปลาบปลื้มตื้นตันยินดีเพียงใด ภิกษุก็จำต้องข่มใจให้สงบ ยิ้มอย่างสำรวม มองอดีตพระชายาที่เคยคะนึงหาจับใจ โอรสแฝดที่ไม่เคยพบหน้า กับชายผู้พลัดข้ามเวลามาแล้วร่วมอนุโมทนายินดียินดีกับความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตพวกเขา พลางอธิบายในสิ่งที่อีกฝ่ายสงสัย
“อาตมาสละราชย์เอง มิได้มีผู้ใดบังคับ ตั้งใจว่าเมื่อภาระหน้าที่ต่อละโว้เสร็จสิ้นลงเมื่อไรก็จักออกบวชเมื่อนั้น เพลานี้กษัตริย์จันทรวิศรมก็ครองเมืองได้ปกติสุข อาตมาก็หมดห่วง” มองหน้าหวานแฉล้มของอดีตชายาแล้วกล่าวต่อว่า “พระเจ้าจักวัติวิราชสิ้นพระชนม์ไปเมื่อสิบปีก่อนด้วยโรคชรา ส่วนพระมารดาของมหาบพิตรนั้น เมื่อครั้งอาตมายกทัพกลับไปช่วยศรีวิชัยรบกับชาวโจฬะ ได้ขอติดตามกลับทะเลใต้ไปด้วย ทรงปรารถนาจักใช้ชีวิตบั้นปลายในดินแดนมาตุภูมิ โยมไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นก็หันมามองราชันทั้งสอง แววตาซ่อนความตื้นตันไว้ไม่มิด
“พระอาจารย์สุกกทันตะละสังขารไปเมื่ออาตมาออกบวช น่าเสียดายที่ท่านไม่มีโอกาสถวายการสอนมหาบพิตรทั้งสอง แต่ได้พระอาจารย์วาสุเทพผู้เรืองฤทธิ์ก็นับว่าเป็นเอกแล้ว อาตมาขออวยพรให้มหาบพิตรทั้งสองครองราชย์ปกครองเวียงได้อย่างผาสุกรุ่งเรือง”
ครั้นแล้วจึงหันกลับมาทางปิ่นธานีหริภุญไชยกับบุรุษที่มีใบหน้าเหมือนเขาทุกประการ
“มหาบพิตรกับโยมรัญชน์เลี้ยงพระโอรสได้เป็นเอกบุรุษโดยแท้” คำกล่าวนั้นกินความหมายกว้างหากลึกซึ้งอย่างยิ่ง แลเมื่อพิจารณาอากัปกิริยาของคนทั้งคู่ สมณะจึงยอมเอ่ยในสิ่งที่ไม่คิดว่าจักเข้าไปก้าวก่ายอีก “สิ่งใดเหนี่ยวรั้งโยมทั้งสองไว้หรือ ในเมื่อฝ่าฟันอุปสรรคทุกข์ยากนานัปการด้วยกันมาถึงป่านนี้”
ในเมื่อไม่มีใครตอบ ภิกษุละโว้จึงถามฝ่ายชายว่า
“อาตมาเคยขอคำมั่นสัญญาจากโยมไว้อย่างไร จำได้หรือไม่”
“จำได้เจ้าข้า” รัญชน์เงยหน้าสบตา “เจ้าจักยินดีช่วยดูแลพระชายาให้ข้าและไปอยู่นครใหม่ในแดนเหนือนั้นตลอดชีพได้หรือไม่…เช่นนั้นเจ้าข้า”
“แล้วอย่างไรอีก”
“ข้าไว้ใจเจ้าได้ใช่หรือไม่…รัญชน์”
“แล้วโยมตอบอาตมาอย่างไร จำได้หรือไม่”
“ได้เจ้าข้า…ข้าตอบว่า ทรงไว้ใจข้าได้แน่นอน”
“ถูกแล้ว…ผ่านไปเกือบยี่สิบปี ทั้งโยมและอาตมาต่างยังจดจำคำมั่นสัญญานั้นได้แม่นยำทุกคำ ย่อมแน่ชัดว่าโยมยึดมั่นปฏิญาณนั้นอย่างเหนียวแน่น เจ้าชายกัษษกรยามนั้นซาบซึ้งน้ำใจยิ่งนัก” พระสมณะส่งยิ้มแห่งเมตตาพลางกล่าวสืบต่อว่า
“แต่อาตมาสละทางโลกแล้ว หมดสิ้นพันธสัญญาทั้งปวงที่เคยเกิดขึ้น โยมเองก็ไม่ควรยึดถือสิ่งที่จบสิ้นลงแล้วนั้นเช่นกัน มหาบพิตรเองก็อย่าได้ทรงรู้สึกผิดต่อหน้าที่คู่ครองของกัษษกรอีกเลย”
“ข้าพระองค์/หม่อมฉัน”
“โยมรัญชน์…หากโยมยังมิอาจปล่อยวางจากคำสัญญานั้นได้ อาตมาก็จะขอให้โยมทบทวนคำกล่าวของเจ้าชายกัษษกรยามนั้นให้ดีเถิด”
“เจ้าข้า”
“ข้าไว้ใจให้เจ้าดูแลชายาของข้าได้หรือไม่ ไม่มีคำใดสั่งห้ามมิให้เจ้ารักหรือครองรักกับเจ้าหญิงชวาลาหรือนางพญาหริภุญไชยสักคำ ทั้งยังขอให้ดูแลพระนางไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ โยมกับมหาบพิตรสมควรจักมีความสุขได้เสียที”
นัยเนตรราชาทั้งสองต่างหากที่จุดประกายเรืองรองแห่งความหวัง ด้วยผู้ที่จักปลดเงื่อนพันธนาการในใจพระราชมารดากับรัญชน์ได้ เพิ่งทำสิ่งนั้นลงไปเมื่อครู่นั้นเอง
อาลัมพางค์ยามนั้นยังคงเป็นเวียงน้อยๆ บนม่อนดอยที่สงบสุขเรียบง่าย มิได้รุ่มรวยด้วยโภคทรัพย์เหมือนเมืองพี่เมืองน้อง บ้างเรียกอาลัมพางค์เป็นเมืองบริวารของเขนหลวงนคร บ้างก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งของหริภุญไชย ด้วยเมืองเขนหลวงก็ถือเป็นราชธานีอีกแห่งของหริภุญไชยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร อาลัมพางค์ก็เป็นเมืองที่จอมนารีจามเทวีเลือกประทับอยู่กับบุรุษที่รัก หลังจากมั่นพระทัยว่าพระราชโอรสปกครองเมืองทั้งสองได้ด้วยองค์เองอย่างมั่นคงแล้ว
ยามนั้นทั้งสองพระองค์ดำเนินไปบนทุ่งหญ้าราบกว้างบนม่อนเตี้ย ทอดพระเนตรมองเวียงวังของตนอย่างดื่มด่ำตื้นตัน หัตถ์ทั้งสองจับจูงกันไว้ตลอดทาง บางคราก็หันมามองกันและกัน ส่งผ่านคำขอบคุณซาบซึ้งที่ยังมีกันทุกวันนี้ผ่านนัยนาโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย
“ประวัติศาสตร์มิได้จารึกไว้ว่าพระนางจามเทวีอภิเษกมีสวามีคู่ชีวิตอีกครั้ง” รัญชน์โอบชายาของเขาไว้แนบแน่น “เป็นการอภิเษกที่เรียบง่ายไม่เอิกเกริก ก็…ไพร่ฟ้ายุคนี้อาจจะยังรับไม่ได้ถ้านางพญาเมืองที่ครององค์ปกครองเมืองลำพังมาตลอดของพวกเขาจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาแต่งงานใหม่ตอนอายุสี่สิบกว่า”
“ในโลกอนาคตของท่านเป็นเรื่องสามัญเช่นนั้นหรือ”
“ห้าสิบหรือหกสิบเพิ่งตบแต่งกันก็ยังมี” รัญชน์หัวเราะ “เลิกกันไปแล้วแต่งใหม่อีกกี่ครั้งก็ยังได้”
“ขนาดนั้นเชียว” ชวาลาเบิกเนตรกว้าง “ช่างอิสระโดยแท้ เช่นนั้นแต่งงานโดยไม่บอกไพร่ฟ้าชาวประชาเช่นนี้ก็ไม่ถือสากันหรือ”
“ก็มีบางส่วนที่ยังเข้มงวด แต่ส่วนมากก็รับได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของคนสองคน แต่แม่เจ้าเถิด ท่านเป็นนางพญาเมือง ท่านรับได้แน่หรือ”
“เราไม่ถือสาหรอก หากรับมิได้ก็ไม่ยอมอภิเษกเงียบๆ ภายในเช่นนี้หรอก” พระนางตอบเรียบง่าย “เรามิเห็นมีสิ่งใดต่างออกไปนอกจากการประกอบพิธีตามประเพณีเท่านั้น เรากับท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ อ้อ ท่านก็เปลี่ยนจากขุนเจ้ารัญชน์เป็นเจ้ารัญชน์…พระยศแสนสั้นกว่าขุนเจ้าเสียอีก จักแต่งตั้งนามยาวๆ ให้ท่านก็ไม่ต้องการ”
“ต่างสิ…เพราะข้ากอดแม่เจ้าได้แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ “แล้วนามยาวๆ เอาไปทำไม สู้ให้แม่เจ้าเรียกข้าว่าอ้ายรัญชน์ๆ ยังดีเสียกว่า”
“อ้ายรัญชน์” พระนางแย้มสรวลกว้าง “เราใคร่เรียกเช่นนี้มาแสนนาน บัดนี้มีสิทธิ์แล้ว”
“และข้ายัง…หวงแม่เจ้าได้ด้วยนะ จะได้พูดได้เต็มปาก ปกป้องได้เต็มตัวว่านี่คือเมียข้า”
พระพักตร์ชวาลาเป็นสีระเรื่อ “จักมีบุรุษอื่นใดให้อ้ายรัญชน์หวงได้อีกหรือ แก่เฒ่าปูนนี้แล้ว”
“มิแน่หรอก เมียอ้ายรัญชน์ยังงดงามมิสร่าง มิต่างจากสาวแรกรุ่นนี่นา”
“ปากหวาน…” พระนางขวยเขิน หากก็เอียงศอมองภัสดาแล้วตรัสถามด้วยความสงสัย “แล้วอ้ายรัญชน์มิถือสาจริงๆ หรือที่รู้กันแต่ภายในราชสำนัก มิได้ประกาศต่อไพร่ฟ้า”
“ไม่ถือ…แต่บางครั้งก็นึกตลกในใจอยู่บ้าง”
“ตลกในใจ? ภาษาในโลกกาลเวลาหน้าช่างพิลึกเสมอ แล้วเป็นความรู้สึกเช่นไรหรือเพคะ”
“ก็…เหมือนเป็นผัวลับๆ ของผู้หญิงมีชื่อเสียง ออกหน้าออกตาไม่ได้”
ชวาลาทำพระพักตร์ปูเลี่ยน “ฟังดูพิกลนัก แต่ถ้าแค่ตลก มิได้น้อยเนื้อต่ำใจ เราก็ค่อยคลายใจ”
“ข้าเต็มใจ เพราะถึงจะเหมือนผัวลับ แต่เราก็รักกันอย่างถูกต้องเปิดเผย ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม ไม่ทำผิดต่อผู้ใด…ข้าเองภูมิใจยิ่งนัก ข้าไม่ต้องเป็นใครพิเศษก็ได้ ขอให้ข้าได้ดูแลคนที่ข้ารักอย่างสุจริต เท่านี้ก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว”
“ขอบน้ำใจท่านยิ่งนัก…” พระนางอิงเศียรลงบนอังสาภัสดา “ราตรีจันทราสีเลือดในเดือนทวิเพ็ญคราโน้น เรารู้ว่าท่านปั้นไหน้ำไว้แล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่นำออกไปทำพิธี ขอบน้ำใจที่ท่านตัดสินใจเลือกเรา หากครานั้นท่านจากไปจริง เราคงอยู่ไม่ได้ เราทนพรากจากชายที่เรารักอีกเป็นครั้งที่สองมิได้อีกแล้ว”
“ข้าต้องเลือกชวาลาอยู่แล้ว ชวาลา…ดวงไฟแห่งหัวใจของรัญชน์”
“หากเปลี่ยนใจก็คงต้องรอจันทราสีเลือดครั้งหน้านั้นแล”
“ป่านนั้นเราสองคนอาจแก่ตายไปแล้วก็ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ “แต่ข้าก็ไม่วางใจทีเดียวหรอก จะเกิดจันทรุปราคาสีเลือดอีกเมื่อไรก็ไม่รู้ กลัวจับพลัดจับผลูมีผู้เอาไหน้ำไปทำพิธีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ท่านทำลายไปแล้วหรือ”
“จะทำลายก็เกิดเสียดายขึ้นมา เพราะข้าตั้งใจปั้นสุดฝีมือให้เหมือนไหน้ำที่พาข้าข้ามเวลามา ข้าใส่ดินขาวเข้าไปทำให้กลายเป็นสีชมพูนม สีแปลกประหลาดกว่าที่มีในหริภุญไชย กลวิธีลวดลายก็ใส่ความรู้ทั้งหมดลงไปจึงออกมาสวยงามอย่างยิ่ง ให้ทิ้งทำลายก็ทำไม่ลง ก็เลยถวายให้พระสมณะกัษษกรเสียครานั้น ให้อยู่กับผู้มีวิชาญาณชั้นสูงย่อมปลอดภัยกว่า”
“ค่อยโล่งใจ” พระนางแย้มโอษฐ์กว้าง “เพราะเราก็กลัวท่านเปลี่ยนใจเข้าสักวันนั้นแล”
“ข้ารักของข้ามานาน และจะรักและดูแลท่านตลอดไป…ชวาลา”
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" : บทส่งท้าย
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 36 : สิ้นแสงชวาลา ดาริกาพร่างพราว
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 35 : สมณะจากละโว้
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 34 : พิษรักอาลัมพางค์
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 33 : นครใหม่
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 32 : ผลัดแผ่นดิน
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 31 : ตำนานขุนวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 30 : เสน้าดอกแรก
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 29 : แผนลับซ่อนเร้น
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 28 : เกี่ยวดองสองแผ่นดิน
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 27 : ศึกวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 26 : ราชทูตจากระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 25 : ราตรีทวิเพ็ญ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 24 : ขุนหลวงวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 23 : ระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 22 : ฝาแฝด
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 21 : ปิ่นธานีหริภุญไชย
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (6)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (1)