อินเดียนแดงเผ่าใดล่ะ สู

อินเดียนแดงเผ่าใดล่ะ สู

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

ผู้หญิงไทยที่หน้าตาผิวพันธุ์แบบสาวใต้ เมื่อย้ายบ้านไปอยู่อเมริกา มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเม็กซิกันเสมอ เวลาเดินสวนกับพี่เม็กทั้งหลาย มักได้ยินเสียงทักทาย ‘โอหล่า’ หรือคำสวัสดีแบบเม็กซิกันทุกหน

กรณีฉันนี่ถือเป็นเคสพิเศษ เพราะถูกทักว่าเป็นอินเดียนแดงบ่อยกว่าเป็นเม็กซิกัน คงเป็นเพราะโครงหน้าแบบคนปักษ์ใต้และเครื่องประดับเทอร์ควอยซ์ที่สวมประจำทำให้ฝรั่งเข้าใจผิด จะว่าไปแล้วเผลอๆ หน้าตาแบบคนปักษ์ใต้อย่างนี้เหมือนชนเผ่ามากกว่าอินเดียนแดงกลายพันธุ์ในปัจจุบัน ที่ผสมปนเปกับคนผิวขาวมาหลายชั่วอายุคนจนไม่เหลือเค้าเดิมเสียอีก เคยมีฝรั่งปรี่เข้ามาทักว่า

“ยูเป็นเนถีฟอเมริกันหรือเปล่า เผ่าไหน บรรพบุรุษไอก็เป็นเป็นอินเดียนแดงนะ”

ฉันมองหน้าคนถามแล้วถอนหายใจ เพราะดวงหน้านั้นขาวผ่อง ผมสีน้ำตาลแก่ ดวงตาลึกและจมูกโด่งแบบคนผิวขาวทั่วไปที่มองอย่างไรก็ไม่เหลือเชื้อชนเผ่าแล้ว ตรงข้ามกับคนถูกถามที่ผมดำยาวผิวเข้มสวมสร้อยและกำไลหินเทอร์ควอยซ์ สวมเสื้อดำยาวตัวโคร่งกับรองเท้าบู๊ตหนังแบบอินเดียน เลยทำให้แลดูเหมือนว่าเพิ่งเดินออกจากกระโจมอินเดียนแดงมาหมาดๆ ฉันนึกสนุกตอบไปว่า

“ใช่แล้ว ไอเป็นอินเดียนแดง ยูรู้จักไหม เป็นคนเผ่าไทยชอกี”

“เอ… ไอไม่เคยได้ยินนะเผ่านี้ อยู่แถวไหนรัฐไหนเหรอ”

“โอ๊ย เผ่านี้ไม่ได้อยู่ในอเมริกาหรอก อยู่ติดลาวกับเวียดนามโน่นแหละ”

พูดจบก็ยิ้มกว้างให้คนถาม ซึ่งทำหน้าเหลอหลา คงคิดหนักว่า มีด้วยเหรอวะ ไอ้เผ่าที่ว่านี่ แล้วประเทศแถวนั้นมีอินเดียนแดงได้อย่างไร

จริงๆ แล้วฉันโดนทักผิดบ่อยมาก อาจเป็นเพราะลูกหลานอินเดียนแดงแถวนี้กลายพันธุ์กันหมดแล้ว ไม่เหมือนบางรัฐอย่างนิวเม็กซิโกหรือโอกลาโฮมา ที่นั่นเปรียบเหมือนเมืองหลวงของชนเผ่าอินเดียนแดงเลยก็ว่าได้  แถวนั้นยังเจอลูกหลานอินเดียนแดงเดินในเมืองประปราย ส่วนรัฐที่ฉันอาศัยอยู่แม้จะชื่อรัฐอินดีแอนา แต่หาอินเดียนแดงยากเต็มที

หากมองย้อนประวัติศาสตร์แล้วน่าเจ็บใจแทนอินเดียนแดงอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตแสนสุขสมอยู่ในบ้านของตัวเองมาตั้งแต่ครั้งปูย่าตายาย อยู่ๆ มีคนผิวขาวบุกมาเคาะประตูบ้าน จะไม่เปิดรับก็ไม่ได้ เพราะดูท่าแล้วถึงไม่เปิดบ้านรับ คนผิวขาวคงปีนรั้วแอบเข้ามาทางประตูหลังบ้านแน่นอน ซ้ำร้ายเมื่อเหล่าอินเดียนแดงเปิดประตูรับแล้วพยายามผูกมิตรด้วยการหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูคนแปลกหน้า คนขาวหิวโซเพราะล่องเรืออดอยากมาจากแผ่นดินยุโรปกินกันอย่างเอร็ดอร่อย อิ่มหมีพีมันแล้วแทนที่จะทำตัวดีๆ กลับหันไปแสยะยิ้มใส่เจ้าของบ้านตะคอกว่า

“ไอชอบบ้านหลังนี้แล้วสิ ขออยู่เลยก็แล้วกันนะ ส่วนพวกยู โน่น… ไปนอนบนถนนหินลูกรังโน่น ไป๊”

เจอแบบนี้เข้าเหล่าอินเดียนแดงถึงกับหน้าถอดสี ไม่นึกว่าคนแปลกหน้าผู้มีผิวขาวผ่องจะใจดำ ชาวยุโรปหลั่งไหลเข้าสู่แผ่นดินใหม่อย่างไม่ขาดสาย พร้อมนำของขวัญอันหายนะคือโรคระบาด

โรคฝีดาษกวาดล้างอินเดียนแดงแถบอ่าวแมสซาชูเซตส์ไป 90% นอกจากฝีดาษแล้วยังมีโรคอีดำอีแดงหรืออีสุกอีใส แต่โรคที่ทำลายเผ่าพันธุ์ของชาวอินเดียนแดงอย่างช้าๆ คือโรคมาลาเรีย ซึ่งโรคเหล่านี้มากับชาวอาณานิคมทั้งสิ้น

หลังจากศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ชาวยุโรปจับจองแผ่นดินของชนเผ่าดั้งเดิมมาเป็นของตนเองจนไม่เหลือที่อยู่ที่ยืนให้เจ้าของแผ่นดิน หากแย่งชิงเอามาไม่ได้ง่ายๆ ก็หาเหตุเปิดศึกกับอินเดียนแดงครั้งแล้วครั้งเล่า จนเจ้าของที่ดินเดิมต้องล่าถอยกระจัดกระจายสูญเสียทั้งบ้านและแผ่นดินทำกินที่เคยอาศัยมาตั้งแต่บรรพชน

เมื่อคนขาวตวาดใส่ด้วยปืน ชาวอินเดียนแดงกว่าหนึ่งแสนคนจำใจต้องทิ้งแผ่นดินเกิดไปอยู่ฝั่งตะวันตก มิหนำซ้ำมีเอกสารลงลายลักษณ์อักษรปรากฏในกฎหมายของสหรัฐอเมริการะบุว่าการโยกย้ายของอินเดียนแดงทุกเผ่าเป็น ‘ความสมัครใจ’ แต่ในทางปฏิบัติแล้วชาวอินเดียนแดงทุกคนได้ถูกบังคับให้ย้ายและบังคับให้เซ็นสัญญา

ทุกเผ่าจึงจับอาวุธเพื่อลุกขึ้นต่อสู้กับทหารผิวขาว เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเองทั่วอเมริกา จนกระทั่งทางการอเมริกาออกคำสั่งให้ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดย้ายเข้าไปอยู่ในเขตสงวนอินเดียนแดงอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1876 สุดท้ายฝรั่งดั้งโด่งก็เข้าครอบครองแผ่นดินใหม่นาม ‘อเมริกา’ อย่างเต็มที่ ขณะที่เจ้าของบ้านดั้งเดิมถูกขีดวงให้อาศัยอยู่แต่ในเขตสงวนอันเสื่อมโทรม

เขตสงวนอินเดียนหรือ Indian reservation เป็นเขตแห้งแล้งกันดารที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัยและทำมาหากิน รัฐบาลอเมริกากำหนดให้อินเดียนแดงอาศัยอยู่ในเขตสงวนเพื่อตั้งถิ่นฐานตามการประกาศของรัฐบาล ฟังดูน่าเศร้าไหม จากเจ้าของแผ่นดินที่ท่องเที่ยวไปทั่วประเทศอย่างเสรี กลับต้องอยู่ในเขตสงวนเหมือนถูกล้อมคอกขัง ในอเมริกามีเขตสงวนประมาณ 300 แห่ง แต่มีเพียง 9 แห่งเท่านั้นที่มีพื้นที่มากกว่า 5,000 ตารางกิโลเมตร แต่ละเขตสงวนมีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันออกไป จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นแผ่นดินกันดารจนไม่สามารถทำการเกษตรกรรมและไม่เป็นที่ต้องการของคนขาว!

ลูกหลานอินเดียนแดงต่างสูญเสียรากเหง้าจนหมดสิ้น ด้วยยาพิษของคนขาวที่แทรกซึมเข้าสู่เผ่าจากรุ่นสู่รุ่น นั่นคือการละเว้นภาษีสุราและยินยอมให้เปิดบ่อนการพนันได้อย่างเสรีโดยไม่เก็บภาษีในเขตสงวน ส่งผลให้ลูกหลานอินเดียนแดงรุ่นต่อมากลายเป็นคนอ่อนแอ ติดการพนัน และเป็นพิษสุราเรื้อรัง

ลูกหลานเผ่าพันธุ์นักรบบนหลังม้าจึงพากันสูบเสพสิ่งเหล่านี้กันอย่างลืมตัวลืมตาย ทุกข์หนักเข้าก็หันหน้าหากาสิโน เพราะทางการสหรัฐอนุญาตให้อินเดียนเปิดบ่อนเสรีได้ในดินแดนของตนเอง

แถวบ้านฉันมีกาสิโนหลายแห่ง ต้องใช้คำว่า ‘กาสิโน’ มากกว่าคำว่า ‘บ่อน’ เพราะแต่ละแห่งช่างใหญ่โตมโหระทึกจริงๆ  กาสิโนเหล่านี้มีเจ้าของเป็นอินเดียนแดงทั้งสิ้น เลี่ยงบาลีด้วยการสร้างอาคารกาสิโนลงในผืนน้ำทะเลสาบมิชิแกน เนื่องจากการมีกาสิโนในรัฐนี้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายเลยหาวิธีเลี่ยงแบบนั้น

ในใบสมัครงานเข้าทำงานในกาสิโนจะถามเป็นข้อต้นๆ ว่าผู้สมัครเป็นลูกหลานอินเดียนแดงหรือเปล่า ถ้าใช่ เป็นเผ่าไหน เพราะจะได้รับการพิจารณาทันทีแบบไม่มีข้อแม้จากเจ้าของกาสิโน

อินเดียนทุกวันนี้แทบไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวในความเป็นนักรบผู้กล้าหาญอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างในอดีตเหลือไว้เพียงความทรงจำว่าปู่ของปู่ของปู่เคยลุกขึ้นต่อต้านคนขาวผู้รุกราน จากชนเผ่าทรนงที่เคยยิ่งใหญ่บนแผ่นดินอเมริกา แต่วันนี้กลับตกต่ำอย่างน่าใจหาย

 

Don`t copy text!