ดาราอรุณ บทที่ 34 : ปั่นหัว-หัวปั่น

ดาราอรุณ บทที่ 34 : ปั่นหัว-หัวปั่น

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

“ผมไปตามให้ดีกว่า” เขาเอ่ยเมื่อผ่านไปแค่สิบนาที “มีเบอร์โทร.คุณโชยไหมฮะ…ผมน่ะไม่มีเลย ถ้ามีไลน์ด้วยคงดีมาก”

ดังนั้น ลมเย็นจึงรีบทำไลน์ของน้องสาวให้ไว้กับเขา อย่างน้อยก็ช่วยความรู้สึกที่กำลังอลเวงลงได้

นึกออกเลยว่า ยามมีทุกข์ หากได้เพื่อนสักคนปลอบใจ ทุกข์ร้อยก็จะเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง

ครั้นแล้ว เปรียวจึงลองส่งไลน์

“คุณโชยครับ นี่ผมนะฮะ…เปรียว…พอดีผมมาหาคุณน้าชัดก็เลยทราบว่าคุณออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า…ตอนนี้อยู่ไหนฮะ…ผมไปรับก็ได้นะ…แต่ต้องเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์ ลำบากนิดหน่อยแค่นั้น”

แต่ที่บ้านนายหันเมื่อสักครู่ ผู้เป็นพี่คนโตพบน้องชายผู้เพิ่งถึงบ้านเมื่อหัวค่ำ อาบน้ำกินข้าวสวมเสื้อกางเกงลำลองหลวมๆ กำลังเดินไปเดินมาอยู่บนถนนหน้าตึก ท่าทางสูญสิ้นความคึกคักครื้นเครงที่เคยมี เพียงสองวันที่เลิกรากับลมโชย น้องคนเดียวของเขาก็สามารถเปลี่ยนรูปแปลงร่างเป็นใครอีกคนอย่างกระทันหันราวมีสวิตซ์ที่หัวใจ

“ก็ไหนแกว่าแกไม่แคร์ไง…เหิน…แต่ฉันขอย้ำอีกทีนะว่า ฉันไม่เคยนึกอะไรทั้งสิ้นกับแฟนแก…บอกเจ้าตัวเขาแล้วด้วยซ้ำ…แต่เขาจะเชื่อ จะทำตามหรือทำแบบไหน…ฉันไม่สามารถตามไปเตือนหรือไปสั่งสอนอบรมอะไรเขาได้…แกก็รู้ดีนี่นาว่าแฟนแกเป็นยังไง…ถามจริ๊งแกรักเขาป่าววะ…สงสัยจังว่ะ…”

“มันก็…เหงาๆ ไงพี่หิ้ง” น้องชายผู้ไม่มีความหยิ่งทะนงในตนเองหลงเหลือเหมือนตอนยังคบกัน ทะเลาะกันกับหญิงสาวคนนั้นตอบเสียงอ่อย “คนมันเคยไล่ตีกัน…ด่ากันเจ็บๆ…แล้วจู่ๆ มาเงียบกริบยังกะอยู่ป่าช้า…มันก็…เอ้อ…ก็…พูดไม่ออก บอกไม่ถูกสักเท่าไหร่จริงไหม”

หิ้งก็เลยพยักหน้าพลางวางมือลงบนไหล่อีกฝ่ายอย่างเห็นใจ

“ว่าแต่ว่า…แล้วจะกลับไปดีกันอีกไหม”

“คงไม่แล้วล่ะ” เหินตอบเต็มคำ เนื่องด้วยเสียงย้ำความรู้สึกของหล่อนยังคงดังกังวานมิรู้จาง ก็โชยรักพี่หิ้งไง ขอโทษพี่ด้วยละกัน โชยก็เพิ่งรู้ว่าโชยรักพี่เหมือนเพื่อนเล่น เพื่อนกิน เพื่อนเมาแค่นั้น“ไม่หวนมาเป็นอะไรกันอีกแน่นอน อาจแค่ยิ้มให้เวลาเจอกันนิดนึงมั้ง หรือไม่ก็สะบัดหน้า ก็แล้วแต่อารมณ์เขาน่ะแหละ แต่ถึงไงพี่ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าเค้ารักพี่”

“ก็ให้รักไป แต่เราน่ะไม่เล่นด้วยแน่” หิ้งตอบเด็ดเดี่ยวไร้อาการสองจิตสองใจ “ฉันไม่ใช่คนที่จะคบใครแบบเด็กคนนี้ได้แม้แต่ครึ่งวัน ขอให้รู้”

ผู้ฟังก็เลยแย้มปากยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ หากก็ลงเสียงเย้ยหยัน

“ตัวเขาน่ะเหรอ ไม่มีวันรู้หรอกว่าตัวเองบ้อท่าแค่ไหน”

หิ้งก็เลยยิ้มในหน้า แต่ไม่สวนออกไป เนื่องจากถนอมน้ำใจน้องชาย

เพราะแท้จริงแล้ว ผู้เป็นพี่ก็อยากจะบอกอีกฝ่าย

‘แกกะเขาก็พอกันน่ะแหละ’

ยังไม่ทันที่ใครจะตอบว่ากระไร เสียงมือถือของหิ้งก็ดังขึ้น

ลมโชยส่งเสียงสดใสใจระเริงผ่านมา

“ตอนนี้คุณเปรียวเขาอยู่ที่บ้านพ่อนะ พี่รู้อ้ะป่าว เขาโทร.มาอวดโชยเดี๋ยวนี้เองว่า…นี่เขานะ…เขามาหาพี่เย็น…พี่เย็นวานเขาให้ตามโชย…โอย…เลยชักจะสนุกกันใหญ่…นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามกันแล้วล่ะ”

เฮ้อ…ชายหนุ่มได้แต่เม้มปากตาวาว แลดูเหินคู่กำลังยกคิ้วสูงเชิงถามว่า ใช่โชยหรือไม่

เขาจึงเปล่งเสียง

“มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา” หิ้งก็เลยหงุดหงิดขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่คิดว่าคืนนี้เขาจะพยายามนอนให้หลับอยู่ทีเดียว

แต่เสียงยั่วยุกวนกิเลสของลมโชยกลับมาทำลายความสงบสุขแห่งยามดึกที่ใกล้จะได้พัก ให้ตื่นขึ้นมาเต้นกับเรื่องจริงแกมเล่นเกมกวนประสาทของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเขาไม่ว่าทางใจหรือทางกาย แถมท้ายด้วยชายอีกคนที่อาจพูดได้เต็มปากว่าคือคนสำคัญมากพอกัน เพราะเขาคือลูกชายหญิงสูงวัยผู้จะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินของนายชัดเร็วๆๆ นี้

หิ้งนึกไม่ถึงเลยว่า ชายนามว่าเปรียวจะเข้ามารักใคร่ใยดีลมเย็นจริงจัง

คิดเพียงว่า ลูกคุณปรียาคงกำลังว้าเหว่ โดยเฉพาะขาดคู่ครองที่รักและเข้าใจ

ครั้นแล้ว จึงคล้ายกับพลอยเข้ามาทำลายความเสน่หาที่เพิ่งเริ่มผุดขึ้นราวตาน้ำแห่งความสุดซึ้งของเขา

 

ฟุ้งมองหน้าอีกฝ่ายผู้เสมือนยังคงตื่นตัวตื่นเต้นไม่ยอมหลับยอมนอน หากก็พอๆ กับตนเองที่ดึกดื่นแล้วยังตื่นตา บางทีก็ต้องหาทางคุยกับเพื่อนที่กำลังรองานด้วยกัน บางคราวก็ต้องเสียเวลาส่งไลน์ไปหาเพื่อนชายแต่มักไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพราะอีกฝ่ายรู้ดี…ไลน์กลับหรือโทรกลับก็เสียเวลาเปล่า ในเมื่อคนปลายสายเป็นใครอีกคนที่กำลังหิวเงินหรือใกล้ๆ นั้น

บางคนไม่มีงานแล้วยังติดโควิด-19 อีกต่างหาก

“เป็นอันว่า งานอดิเรกของแกตอนนี้ก็คือยุให้รำตำให้รั่วใช่ไหม”

“ใช่” อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าแฉล้ม “กูจะยุ ใครจะทำไม”

“ไม่ชอบเห็นใครมีความสุข…เออ…ก็ดีไปอีกแบบ” ฟุ้งแสร้งว่า ตามองในมือถือที่ตนเองกำลังเลื่อนไปเลื่อนมาดูข่าวใหม่ๆ ที่ทยอยผุดขึ้นเป็นแผงยาว

“ใครจะไปไหว…เล่นให้เราทุกข์อยู่คนเดียวนี่หว่า”

เพื่อนหล่อนก็เลยพยักหน้า อย่างน้อยก็พอใจในความไม่เอาไหนของลมโชยที่ยังดีอยู่อย่างคือ ชอบหรือไม่ชอบก็บอกออกไป ไม่นำความปากหวานแต่ใจขมมาใช้กับมิตรภาพ

ช่วยให้ผู้มีที่พักมาบริการรู้สึกปลอดโปร่งโล่งในอกยามที่เศรษฐกิจส่วนตนค่อนข้างฝืดเคือง

แต่ลมโชยยังพอมีเงินมาจ่าย ซึ่งถือว่าแลกกัน ฟุ้งให้ที่นอน เพื่อนหล่อนให้อาหารการกินแถมด้วยของมึนเมา แม้ไม่มากมาย หากก็ช่วยให้หล่อนหลับสนิทในคืนนี้

“ว่าแต่ว่า พรุ่งนี้แกจะกลับบ้านละยัง”

“เริ่มไล่แล้วล่ะซีเนี่ย” อีกฝ่ายถามหัวเราะๆ “แต่ขอบอกว่า…ยังไม่กลับ…จะเอาให้พวกนั้นหัวปั่นสักพัก…”

ทั้งๆ ตนเองก็แข็งใจ

เงินในกระเป๋าเหลือแค่พันกว่าบาท ออกค่ากินราคาถูกให้ทั้งตนเองและเพื่อนแบบข้าวจานแกงชาม จะถึงสาม วันหรือไม่ยังไม่รู้

พลางก็ยกฝ่ามือซ้ายขึ้นชู

“นี่แหวนหมั้น เห็นละยังฟุ้ง”

“เห็นแล้วโว้ย…” อีกฝ่ายแกมหัวเราะขำๆ

“ถ้าไม่มีจะแหลก ก็คงต้องเอานี่ไปหาลุงกับป้าอีกมั้ง”

“ก็ไปซะซี จะโอ้เอ้อยู่ทำไม” เพื่อนเลยสนับสนุน เพราะเรื่องไม่มีจะจ่ายไม่เข้าใครออกใคร ตัวหล่อนเองก็อยู่อย่างประหยัด แม้จะมีโรงรับจำนำเป็นที่พึ่งชั่วครั้งคราวยามไม่มีงานก็ตาม “ความจนนี่ มันเข้าใครออกใครเมื่อไหร่ล่ะโว้ย อีบ้า”

ลมโชยก็เลยได้แต่หัวเราะชืดๆ พลางพลิกฝ่ามือซ้ายไปมาอย่างครุ่นคิด

แค่คืนเดียวที่ฤทธิ์เดชแห่งการตามใจตนเองปะทุขึ้น หล่อนก็ยังรู้สึกมึนหัวถึงเพียงนี้

จะ ‘ไม่มี’ สิ่งใดในชีวิตก็ไม่มีวันถึงตาย

แต่ ‘ไม่มีเงิน’ นี่ไม่ได้ เพราะตายได้ อับจนได้ ล้มละลายได้ ฆ่าตัวตายได้

ลมโชยเริ่มรู้แน่แก่ใจภายในคืนเดียวทั้งๆ ที่ก่อนมาอยู่ตรงนี้ ตรงที่ไม่มีเพื่อนยากจน แลเห็นความข้นแต้นอยู่ตรงหน้า หล่อนไม่เคยรู้สึกเลยว่า ในกระเป๋าที่ไม่มีเงินนั้น มันจะดูร้ายแรงกระไรนัก ในเมื่อเพียงแค่บอกแม่เท่านั้นว่า ขอเงินสองพัน…แม่ก็รีบควักให้แล้ว…โดยเงินนั้นก็ไม่รีบหมด เพราะเหินออกให้ทุกอย่าง

ครั้นบัดนี้ไม่มีเหิน…มีแค่เพื่อนร่วมโลกยากจนเพราะไร้งานคนหนึ่ง กับน้ำใจอันดี แต่กลับช่วยชีวิตไว้ไม่ได้

“ฟุ้ง…แค่คืนเดียวนี่ แกก็ทำให้ฉันเข้าใจอะไรต่ออะไรอีกมากเลย…มากจนอยากร้องไห้เลยละ”

“กูก็หาเชื่อมึงไม่” อีกฝ่ายหัวเราะๆ พลางนึกถึงของรักของหวงที่จะเอาไปจำนำ…พรุ่งนี้…”คนอย่างแก…มันถูกตามใจจนเคยตัวใช่ไหม…แต่คนอย่างเรา ตีนถีบปากกัดจนชินชา มันจะเทียบกันก็หาได้ไม่ เราเห็นค่าของเงิน ไม่ใช่หิวเงิน”

ลมโชยอึ้งไป…หากก็เห็นจริงดังนั้น

ฟุ้งเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาเหมือนหล่อน แต่พื้นฐานคนละอย่าง ฟุ้งกำพร้าแม่มาตั้งแต่สองสามขวบ พ่อมีเมียใหม่ มีน้องลูกแม่เลี้ยงอีกสามคน พ่อกับแม่เลี้ยงมีอาชีพทำประมงชายฝั่ง จึงพอเลี้ยงดูลูกจำนวนนั้นได้ แม่เลี้ยงไม่ถึงกับแสดงละครแล้วคนติด เพราะนิสัยเป็นกลางๆ ไม่ร้ายลึก แต่ก็ไม่ถึงกับผุดผ่อง ฟุ้งก็เลยลองแยกตัวออกจากพ่อแม่ไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟหลังเลิกเรียน ได้เงินมาพอเยียวยาชีวิตที่เรียนไปได้ถึง ปวส. เพราะพ่อยังช่วยส่ง

อาศัยรูปร่างเพรียวลมสมส่วน หน้าตางดงามกลางๆ ไม่ถึงกับเลิศ จึงมีแมวมองมาชวนไปเดินแบบ

 



Don`t copy text!