ดาราอรุณ บทที่ 41 : คืนสู่แคทวอล์ค

ดาราอรุณ บทที่ 41 : คืนสู่แคทวอล์ค

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ลมเย็นนั่งไปกับหิ้ง มีเหินเป็นคนขับ ปล่อยให้ลมโชยไปกับพ่อแม่และน้าโดยนางยาใจเป็นคนพาพาหนะจ่ายตลาดตามไปอย่างชำนิชำนาญ นายชัดนึกสงสารลูกคนเล็กไม่เปลี่ยนไป ขณะมองตามจักรยานยนต์ที่มีเปรียวเป็นคนขับ สวนสนเกาะท้ายอย่างรู้สึกสบายใจถึงที่สุดที่มีลูกคนเล็กร่วมทาง

“แล้วเมื่อคืนโชยไปค้างกะเพื่อนคนไหนล่ะลูก” นายชัดถามเพราะได้นั่งอยู่ข้างกัน

เมื่อเหลือบมองสีหน้า ก็แลเห็นความซึมเศร้าจางๆ กำลังแผ่คลุม

หากผู้เป็นพ่อก็ไร้สิ้นซึ่งความกลุ้มใจใดใด

ลูกกลับมาแล้วก็แล้วกัน

“กับฟุ้งไงพ่อ…จำฟุ้งได้ใช่ไหมที่เคยเดินแบบด้วยกันไง” เสียงตอบของอีกฝ่ายดังอ่อนๆ ไม่ทำท่าแข็งกระด้างราวท่อนไม้ที่มักทุบเปรี้ยงอยู่ข้างหูเหมือนทุกครั้ง ชวนให้ผู้ถามค่อยมีกำลังใจพูดต่อ

“อ๋อ…ฟุ้ง…นึกออกละ…” นายชัดพยักเพยิด

“อยากชวนมันมากินด้วยจัง แต่ก็ยังไม่น่าจะว่าง” ลูกคนเล็กเลยเปิดปากเล่าเนื่องด้วยยังจำความรู้สึกของตนเองเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาได้ดี

เป็นคืนที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตอันแวดล้อมไปด้วยผู้คนตามใจ รวมทั้งตามใจตนเอง

มีตนเอง ‘เป็นหนึ่ง’ อยู่ในบ้าน

เพราะเพิ่งรู้ว่ามีมนุษย์ร่วมโลกกับหล่อนผู้ค่อนข้างยากไร้ แต่ก็เพียบพร้อมด้วยน้ำใจ

ลมโชยยังคงจำกลิ่นแปลกปลอมบนที่นอนหมอนไม่สวย ไม่รวยของหรูที่ห้องเก่าโทรมของเพื่อนผู้มาจากแหล่งยากจนได้ดี

ยังนึกแปลกใจตนเองที่ไม่นึกรังเกียจใดใด

เนื่องด้วยเป็นบรรยากาศจนมุมที่ฟุ้งช่วยให้หล่อนไม่ต้องจำนำแหวนเพชรซีกของลุงหัน

ดังนั้น ขณะคุยกับพ่อ หล่อนจึงยังคงพลิกฝ่ามือซ้ายร่อนไปตรงหน้านายชัด

“คนเลี้ยงเราวันนี้เขาจะว่ายังไงไหมพ่อ ถ้าโชยจะชวนฟุ้งมากิน”

“คงไม่ว่า” อีกฝ่ายคาดคะเน “แต่ไม่เป็นไร แม่ช่วยออกดีกว่านะ” เขาก็เลยส่งเสียงไปยังคนขับ

“ได้…เรื่องแค่นี้เอง” นางยาใจรีบตอบรับเชิงตัดบทให้เรื่องราวสั้นลง

“ถ้างั้นก็ชวนเลยลูก”

ลมโชยจึงส่งเสียงไปหาฟุ้ง ก็พอดีข้างนั้นส่งข่าว

“พี่ดั้นเพิ่งโทร.มาเมื่อกี้…อยากจ้างกรูไปเดินแบบงานวันเกิดเจ้าสัวที่บ้านเขา เราเลยส่งชื่อแกไว้ด้วย…จะได้พอมีแหลก” เสียงฟุ้งหัวเราะหัวใคร่อารมณ์ดีผ่านมา ชวนให้ลมโชยดีใจจนแทบจะลุกขึ้นถ้าไม่ขัดว่าติดหลังคารถ

“จริงเหรอฟุ้ง”

“กรูเคยแหลเหรอ ถามจริ๊ง”

นายชัดได้ยินเสียงโต้ตอบของสองสาวอย่างชัดเจนจนเอาแต่ยิ้มเปรมปรีดิ์

ฟุ้งนี่ก็คงแก่นแก้วพอกันกับลูกสาวเขา เพียงแต่ขยันกว่า ‘เอาถ่าน’ กว่า…ว่างั้นล่ะ

“โอย…รักพี่ดั้นจังเล้ย” ลมโชยตอบกลับพลางชวน “เออ…ฟุ้ง…ค่ำนี้แกอย่ากินแค่ก๋วยจั๊บเลยนะ มากินอาหารเหลากันมั่งดิ…มีคนเขาเลี้ยง กินฟรีนะ…ขอบอก”

“ไม่ได้…มีนัดกับพี่ดั้นกะนางแบ๊บอีกสองคนว่าจะไปดิน – นะ  – เร่อร่า -ด้วยกัน” ฟุ้งในยามนี้ก็อยู่ราวกับชีวิตกำลังถูกติดปีกให้บินขึ้นไป

โธ่เอ๋ย…ใครต่อใครก็ดีใจกันทั้งนั้นที่จะได้งานมาทำ

โดยเฉพาะงานที่ตนเองรักและทำเป็น

“เออ…ก็ไม่ว่ากันเว้ย…เอาไว้วันหลัง”

“บอกฟุ้งว่าวันหลังพ่อเลี้ยงเอง”

ลมโชยก็เลยกรอกใส่หูอีกฝ่าย มีเสียงฟุ้งตอบกลับมา

“ขอบพระคุณคุณพ่อล่วงหน้านะคะ”

“”ขอบคุณฟุ้งนะที่ให้ที่พักนอนโชยน่ะฮะ”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ หนูพอช่วยใครได้ก็ช่วยน่ะค่ะ…โชยนี่ก็สนิทกันมานาน…เดินแบบด้วยกันหลายครั้งแล้วเหมือนกันค่ะ…แต่เขาเป็นพวก…ไม่ค่อยจะถูกใจอะไรง่ายๆ” พลางฟุ้งก็หัวเราะผ่านสายเข้ามา

“วันไหนว่าง จะขอเชิญฟุ้งนะหนู” นายชัดก็เลยย้ำกับอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ

 

ยามค่ำวันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวันที่ครอบครัวนายชัดพาคนในครอบครัวนายหัน มารวมกลุ่มกันรับประทานอาหารค่ำได้พร้อมหน้า

“แหม…เสียดายจังนะฮะอา” เหินกำลังระรื่นในรสใหม่ที่มีสวนสนนั่งเคียงข้าง โดยลมโชยนั่งแถวเดียวกับเขาแต่สุดปลายโต๊ะ ไม่แลเห็นหน้ากัน ดังนั้นตรงหน้าเขาจึงมีเพียงหิ้งและลมเย็น ต่อด้วย น้าเยี่ยมเยือนและนางยาใจ ซึ่งนั่งตรงข้ามกับนายชัดและเปรียวรวม 9 คน

นับเป็นการรวมกลุ่มครั้งแรกที่ชวนประหลาดใจ ตรงที่ขาดเพียงนายหันกับนางพริ้ง

มิฉะนั้นแล้วก็คงครบถ้วนจำนวนคนทั้งสองครอบครัว บวกกับตัวแทนของคุณปรียาผู้กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นคู่บุญ หนุนนำให้บริษัทสมุนไพรไทยของนายชัดที่กำลังจะได้ ‘แบรนด์ใหม่’ อันเป็นทรัพยากรล้ำค่า โด่งดังขึ้นอีกหนึ่งบริษัทในสนามสมุนไพรของโลก

ต่างคนต่างสั่งอาหารคนละอย่างนำมาเรียงรายตรงหน้าด้วยอาการผาสุกรื่นรมย์

ขณะนี้จึงต่างก็นั่งรอ

แต่เสียงมือถือของหิ้งดังขึ้น

พ่อของเขาเอ็ดอึ้งมาตามสาย

“พวกมึงหายหัวกันไปไหนหมด กูจะถามอะไรซักเรื่องสองเรื่อง ก็ต้องควานหาตัวขนาดนี้เลยเหรอ”

“พ่อมากินอะไรกับพวกเราที่นี่ไหมล่ะ” หิ้งก็เลยเอ่ยดังๆ ให้ได้ยินทั่วถึงกัน จะได้แก้ลำพ่ออยู่ในที “นายเหินเขาเลี้ยงใหญ่ที่มีใครคนหนึ่งตามหาใครอีกคนจนเจอน่ะ”

“มึงก็สนุกของมึงไปละกัน กูไม่สนุกด้วย” อีกฝ่ายยิ่งแผดเสียงดัง

ลมเย็นก็เลยขอมือถือจากคนรัก

“ลุงคะ นี่เย็นนะคะ…ลุงอยากได้อะไรบอกเย็นก็ได้ค่ะ…ลุงทานอาหารเย็นหรือยังคะ ถ้ายังก็เชิญลุงนะคะ ที่ภัตตาคารบีเลิฟแถวหน้าซอยเราน่ะค่ะ”

คราวนี้อีกฝ่ายเงียบกริบ…ในที่สุดก็ออกเสียงอ่อยๆ

“อ้อ หนูเย็น…ลุงกินแล้วล่ะ…นี่ก็แค่มีธุระกะเจ้าหิ้งมันนิดหน่อยเท่านั้น…” ว่าแล้วเขาก็วางหู

ทั้งหิ้งและเหินต่างก็พร้อมใจกันส่ายหน้า

“เอ…นี่พ่อกับอาจะกลับมาดีกันได้อีกไหมครับ” เหินก็เลยถามคนปลายโต๊ะ

นายชัดก็ได้แต่นิ่ง

แม้วันเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด แต่นิสัยของใครบางคนก็หาได้ย่อหย่อนลงไม่

เหินนั้น…พอรู้ว่าเป็นเสียงของบิดา ก็เริ่มชักสีหน้าระอาเอือมอยู่ในที

ฝ่ายหิ้ง…เพิ่งเห็นฤทธิ์พ่อแค่เวลาสั้นๆ แต่บัดนี้ก็ชักจะเริ่มคุ้นกับเสียงที่มักแผดมาตามสายโดยมิทันคาดคิดเช่นกัน

หากก็ค่อยๆ เริ่มทำใจได้

แต่สำหรับนายชัด ทำอย่างไรเสียก็ยังไม่สามารถพาใจตนเองย้อนกลับไปสนิทชิดใกล้กับวันคืนเก่าๆ ที่มีสหายสนิทหน้าเดิมผู้นี้ได้อีก

ครั้นแล้ว อาหารก็มาถึง จึงต่างคนต่างก็ก้มหน้ารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยร่วมกัน

ลมโชยกินอย่างหิวจัด เพราะตลอดวันที่ผ่านมา หล่อนก็กินแต่โยเกิร์ตแค่ถ้วยเดียว ก๋วยจั๊บหนึ่งชาม เค้กและกาแฟร้อนเท่านั้น…ไม่เหมือนอยู่บ้าน จะกินอะไร มากแค่ไหนก็มีให้กินจนอิ่ม ด้วยฝีมือของน้าสาวผู้เตรียมทั้งอาหาร ทำงานบ้าน รวมทั้งงานสมุนไพรอย่างขยันขันแข็งราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยตามวิสัยไม่ชอบอยู่นิ่ง สองพี่น้องจึงกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนแยกไม่ออก

นาทีนี้เอง ลมโชยจึงเพิ่งนึกถึงน้า แลเห็นน้าอยู่ในสายตาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีลมหายใจ

“น้า…ทานมากๆ นะคะ…ทานให้อิ่ม”

ทั้งน้าและแม่ได้แต่เงยหน้าพลางเคี้ยวพลางมองดูผู้พูดอย่างแปลกใจ เพราะนึกไม่ถึงว่า ลมโชยคนนี้น่ะหรือ…คนที่ไม่เคยมีเยื่อใยกับผู้ใดในบ้าน เสมือนทั้งแม่และน้าคือคนใช้ที่หล่อนสั่งคำใดก็ต้องทำตามคำนั้นทุกครั้งไป…จะเอ่ยประโยคที่ฟังดูอาทรทุกข์สุขคนรอบข้างออกมา

“อิ่มแน่จ้ะโชย…ของเขาอร่อยทุกอย่าง…ขอบใจเหินมากนะที่พาน้ามาเลี้ยง นานๆ ถึงจะได้กินอาหารเหลา” น้าตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ทำทีท่าราวกลับเหินและหลานสาวยังคบหากันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เมินเฉยไมตรีที่มีต่อสวนสน สาวคนใหม่จึงเลยบอกผู้นั่งตรงข้าม

“ขาหมูของเขาสุดยอดเลยหนู”

“ใช่ค่ะ…หนูก็ชอบมาก”

แต่เสียงสดใสของสวนสนก็ดลให้ใจลูกคนเล็กขอนายชัดวูบวับ ลำคอจึงคล้ายตีบตื้นขึ้นมาจนต้องวางช้อนส้อมในมือ

ลมเย็นได้แต่เหลือบไปมองทางปลายโต๊ะตรงข้าม

ค่ำวันนี้ ดูลมโชยเปลี่ยนไป

เหงา เศร้า เงียบๆ อย่างไรชอบกล

มิรู้ว่า เมื่อคืนน้องของหล่อนไปผจญกับอะไร จึงเกิดอาการเหมือนคนเพิ่งสร่างไข้

แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงจากมือถือของลมโชย

เจ้าตัวฮัลโหลเบาๆ พลางถาม

“วันละเท่าไหร่”

“หมื่นสองเอาไหม”

“ยังไงก็ต้องเอา” เสียงน้องของหล่อนตอบกลับ พลางหันมาบอกคนทั้งโต๊ะให้ได้ยินทั่วกัน

“โมเดลลิ่งมาตามหาคนเดินแบบวันเกิดเจ้าสัว…เพิ่งคอนเฟิร์มมาว่าจ้างอีกสองคน ฟุ้งกับโชย”



Don`t copy text!