ละเล่นลานรัก บทที่ 13 : กำทายขอถาม

ละเล่นลานรัก บทที่ 13 : กำทายขอถาม

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ปรียานุชเลิกงานเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาเย็นย่ำซึ่งอีกไม่นานจะมีแสงรำไรเข้าสู่ยามพลบค่ำ ก่อนที่จะเข้าบ้านตัวเองก็ก้าวขาไปยังบ้านใกล้เรือนเคียง เพราะครุ่นคิดถึงเมื่อสองวันก่อนที่อาจจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ไขศิลป์ไม่อยากออกนอกบ้านมากยิ่งขึ้น

เธออยากพูดกับเขาโดยตรงให้รู้ถึงความไม่ตั้งใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเข้าไปพบเขาเพื่อคลายความกังวลใจของตน ตอนแรกคิดจะพึ่งฐานินในการเข้าไปหาไขศิลป์ แต่ฝ่ายนั้นคงไม่สะดวกในทุกครั้งที่เธอสะดวก ดังนั้นก็ขอลุยเดี่ยวที่จะคุยกับน้องชายข้างบ้าน ถ้าถูกผลักให้ล้มไปกองกับพื้นเหมือนในวันนั้นก็คงไม่เป็นไร

ประตูบ้านของเขาไม่ได้ล็อก หญิงสาวเปิดเข้ามาอย่างง่ายดายเสมือนบ้านตัวเอง

ปรียานุชหยุดยืนตรงด้านหน้าประตูห้องนอนของเขา ยกมือเคาะประตูได้สามครั้ง เจ้าของห้องก็เปิดประตูแล้วออกมาคุยกับเธอ

“เป็นพี่จริงด้วย” ไขศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงปกติ พอได้ฟังเสียงเคาะประตูก็รู้ว่าไม่ใช่บิดามารดาที่มักจะเคาะเรียกให้ลงไปกินข้าวและยังไม่ใช่เวลาอาหารมื้อค่ำ

ปรียานุชเข้าเรื่องทันที ไม่อยากรบกวนเวลาของเขามากนัก “พี่มาขอโทษ วันนั้นพี่ไม่รู้จริงๆ ว่าถ้ามีคนมากๆ จะกระทบกระเทือนกับศิลป์จนรู้สึกไม่ดี”

เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอยืนก้มหน้าเหมือนคนสำนึกผิด

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษพี่ที่ทำให้พี่ล้มลงไป”

ปรียานุชได้ยินคำขอโทษจากอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นสีหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลายเป็นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเข้าใจกัน

“หายไปไหนกันหมด ไม่เห็นมีใครอยู่ในบ้านเลยสักคน ประตูบ้านก็ไม่ได้ล็อกไว้ด้วย” เธอชวนคุย

“ไม่รู้เหมือนกัน ผมอยู่แต่ในห้องนอนนะพี่”

คำตอบที่ได้ยิน เธอนั้นย่อมรู้ดีจึงเอ่ยต่อ “ทำไมไม่ออกจากห้อง ไปนั่งข้างล่างบ้างล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ จะได้ไม่อุดอู้อยู่แต่ในห้องแคบๆ ทั้งวัน”

“แค่คิดจะออกไปข้างนอก ผมก็เริ่มกลัวแล้ว อยู่ในห้องสบายใจกว่า ไม่ต้องกลัวอะไร” เขาบอกกับเธอตรงๆ

ปรียานุชทำเสียงให้ดูจริงจังขึ้น “ศิลป์รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร”

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม” เขาคาดคะเนในสิ่งที่ตัวเองเป็น หากยังเอ่ยต่อเพื่อให้เธอเข้าใจว่ารู้ได้อย่างไร “ถึงจะอยู่แต่ในห้อง ผมก็ศึกษาหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตได้เหมือนกัน”

“ทำไมไม่พบจิตแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ปล่อยไว้นานขนาดนี้ หรือปรึกษานักจิตวิทยาก็ได้” เธอไม่อยากต่อว่าชายหนุ่มตรงหน้า แต่อดไม่ได้ ทั้งที่พอทราบว่าตัวเองเป็นอะไร ก็ยังปล่อยปะละเลยจนอาจจะยากเกินแก้ไข

เขาส่ายศีรษะ “ผมไม่กล้าไปหาหรอก ออกจากบ้านก็กลัวมากแล้ว ยังต้องมากลัวคนอื่นเห็นเข้าแล้วมองว่าผมเป็นโรคจิตหรือจิตไม่ปกติถึงขนาดไปพบจิตแพทย์”

หญิงสาวถอนหายใจให้กับเหตุผลที่ได้ยินจากปากคนที่ยังมีความคิดล้าหลังกับการเข้าไปหาจิตแพทย์

“สมัยนี้ไม่ต้องกลัวใครจะมองอย่างนั้นหรอก อย่างแรกเราต้องปรับความคิดของเราก่อน เริ่มจากเรื่องของจิตแพทย์ก่อนเลย เลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว เข้าใจที่พี่พูดหรือเปล่า”

จริงๆ แล้วสิ่งที่ชายหนุ่มเป็นนั้นก็ต้องแก้ไขที่ความคิดของเขาเอง ถ้ายังรู้สึกกลัวยามเจอคนหมู่มาก หรือยังคิดไปต่างๆ นานาจากสายตาของคนแปลกหน้าที่จ้องมองกัน ก็ต้องห้ามคิดว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นเหมือนอดีต ถ้าเขาไม่คิดกลัวหรือไม่นึกถึงสิ่งใดๆ เลย คงออกจากบ้านได้โดยไม่หวั่นกลัวแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปแก้ไขตรงจุดนั้น ต้องปรับความคิดของการเข้าไปพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาให้ได้ก่อน

“ตอนนี้ผมมีพี่ปรีแล้ว จะให้ผมออกไปพบใครอีกล่ะ” เขาแย้มยิ้มมากขึ้นเมื่อพูดเอาใจเธอ “ผมเชื่อว่าพี่จะทำให้ผมออกจากบ้านไปรับงานมาทำได้”

ปรียานุชไม่ถามเหตุผล เพราะมัวแต่ปลื้มปริ่มต่อคำของเขาที่กล่าวด้วยความเชื่อมั่น

“ถ้าเชื่อว่าพี่จะช่วยศิลป์ได้ พี่ให้ทำอะไรก็ต้องทำนะ” เธออยากลองเชิงเขาว่าพูดด้วยความจริงใจ ไม่ใช่แค่กล่าวเพื่อให้ผ่านพ้นไป

ไขศิลป์พูดออกไปเช่นนั้น เนื่องจากอยากจะเข้าใกล้หญิงสาวมากขึ้น เพราะจะได้ขัดขวางไม่ให้สนิทกับเพื่อนชายมากเกินควร เขายอมสละตัวเองเพื่อไม่ให้คนทั้งสองแอบเผลอมีใจให้กัน

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับคำของเธอโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดตัดสินใจ เพราะคิดมาได้สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะได้พบหน้ากันในยามนี้

“ถ้าอย่างนั้น ลงไปนั่งที่โต๊ะข้างล่างกันดีกว่า” เธอหมุนตัว ก้าวขานำไปชั้นล่าง

นี่เป็นเพียงบททดสอบแรก แค่อยากรู้ว่าเขาจะทำตามความต้องการของเธอได้หรือไม่

หากผลปรากฏว่าเขาเดินตามหลังเธอมาจริงๆ

ไขศิลป์บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม ยิ่งได้พูดจากันก็ยิ่งไว้ใจและคุ้นเคยกับเธอมากขึ้น

หรือเป็นเพราะวันวานในชีวิตช่วงหนึ่งที่คนทั้งสองได้มีกันและกันในแบบพี่สาวน้องชายก็เป็นได้

เธอลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยมีโต๊ะอาหารคั่นอยู่ตรงกลาง

“พี่จะชวนศิลป์เล่นกรรไกร ไข่ ผ้าไหม” ปรียานุชไม่รอช้าที่จะทดสอบคำพูดของเขาซึ่งจะยอมทำตามคำของเธอ

การเล่นกันเพียงสองคนเป็นจุดเริ่มต้นของการละเล่นกันเป็นกลุ่ม ถ้าเขายอมเล่นกับเธอก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการจัดกิจกรรมครั้งถัดไป แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างให้ต่างจากครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น

ทั้งที่เขาพยายามจ้องมองไม่วางตาเพื่อให้รู้ว่ากำลังสนใจกับสิ่งที่เธอเอ่ย แต่ต้องบอกออกไปเพื่อให้เธอเริ่มอธิบายเสียที “ว่ามาสิครับ จะให้ผมเล่นยังไง”

“ศิลป์ยกมือสองข้างมาไว้บนโต๊ะเหมือนพี่ได้เลย แล้วกำมือ ชูนิ้วชี้แค่นิ้วเดียว ชูสองนิ้วแค่นิ้วชี้กับนิ้วกลาง และแบมือ” หญิงสาวทำมือตามคำกล่าวให้เขาได้เห็น

“เหมือนเป่ายิ้งฉุบกันใช่ไหม” เขาพูด หากสองมือก็ทำตามเธอ

“คล้ายๆ นะ แต่ไม่ได้จะเล่นเป่ายิ้งฉุบ พี่จะร้องเพลง แล้วทำมือตามคำในเพลงแบบนี้” เธอเริ่มขับขานบทร้องช้าๆ พร้อมทำมือทั้งสองข้างไปตามคำนั้นๆ “กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ไข่ หนึ่งใบ สองบาท ห้าสิบ ห้าสิบ สองบาท หนึ่งใบ ไข่ ผ้าไหม ไข่ กรรไกร”

หญิงสาวชูสองนิ้วตรงคำว่ากรรไกร กำมือตรงคำว่าไข่ แบมือตรงคำว่าผ้าไหม ชูหนึ่งนิ้วตรงคำว่าหนึ่งใบ ชูสองนิ้วตรงคำว่าสองบาท และแบมือตรงคำว่าห้าสิบ

พอร้องถึงคำไหนก็ทำมือตามนั้น

ไขศิลป์พยายามร้องและทำมือไปพร้อมเธอ แม้จะทำพลาดให้เห็นชัดเจน เดี๋ยวแบมือ กำมือ ชี้นิ้ว สลับกันบางคำ ขณะเดียวกันปากก็พูดผิดๆ ถูกๆ แม้จะได้ยินเสียงของเธอก็ตาม

ชายหนุ่มรู้สึกอยากเอาชนะตัวเองให้ได้จึงต้องทำให้ได้เหมือนเธอ

ปรียานุชยังร้องบทร้องวนเวียนไปอย่างช้าๆ เพื่อให้ชายหนุ่มทำตามให้ได้ เธอเห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายซึ่งมีให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มมีหวังที่เขาจะยอมเล่นอย่างอื่นอีกด้วย

“ผมทำได้แล้วพี่” ไขศิลป์เอ่ยด้วยความดีใจ จากนั้นก็ขับขานบทร้องด้วยตัวเองพร้อมค่อยๆ ทำมือไปตามแต่ละคำที่เหมือนจะท่องได้ขึ้นใจ

เขาทำมือถูกต้องตรงกับทุกคำที่เอ่ยออกมา แต่เสียงร้องยังเป็นจังหวะเนิบนาบเกินไป

“พี่ร้องให้เอง ศิลป์ทำมือตามก็แล้วกัน” ปรียานุชเริ่มร้องด้วยทำนองเชื่องช้า เมื่อวนได้สองรอบก็เร่งทำนองให้เร็วขึ้นจนชายหนุ่มทำมือไม่ทันและพยายามจะทำให้ตรงกับคำที่ได้ยิน

“พี่อย่าแกล้งผมสิ ร้องเร็วอย่างนั้น ใครจะไปทำได้ทัน” ชายหนุ่มตัดพ้อเธอ แต่ไม่คิดจริงจังนัก

“พี่นี่ไงทำได้” หญิงสาวแสดงให้เขาเห็น

ไม่รู้ว่าใครจะสนุกกว่าใครระหว่างเธอหรือเขา แต่เขาก็ยังฝึกฝนด้วยความมุ่งมั่นต่อไป

ไขศิลป์แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ให้ความสนใจนั้นกำลังสร้างความสนุกให้แก่ชีวิตทีละนิดทีละน้อย แม้แรกๆ จะไม่รู้สึกถึงเลยก็ตามซึ่งไม่ต่างจากการก่ออิฐสร้างบ้าน ตอนวางอิฐก้อนแรกคงไม่เห็นว่าเป็นบ้าน หากใช้เวลาสักพักคงเห็นเป็นรูปร่างของตัวบ้านได้แน่นอน

ปรียานุชเห็นถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะชวนเขานั่งเล่นกันต่อ “ฝึกไปก่อนนะ พี่ขอตัวสักครู่ ขอไปหาของก่อน”

ไขศิลป์ไม่ได้ฟังคำของเธอมากนักจึงปล่อยให้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะยังทำมือให้ได้รวดเร็วตามคำร้องในทำนองที่เร็วขึ้นเช่นกัน

เมื่อเธอได้ของที่ต้องการมาเต็มสองกำมือจึงกลับเข้ามาหาเขาอีกครั้ง ยังเห็นเขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอยู่เช่นเดิม ปรียานุชอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “การละเล่นต่างๆ เล่นกันเพื่อเอาความสนุก ไม่ใช่จะต้องเก็บเอาไปเครียดหรือคร่ำเคร่งกับมันขนาดนั้น”

ไขศิลป์เพิ่งรู้ตัวว่าตั้งใจเกินไป และรู้อีกด้วยว่าไม่ได้นึกถึงเกมในคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย

ปรียานุชดึงความสนใจจากเขาอีกครั้ง เมื่อแนะนำอีกหนึ่งการละเล่นให้ชายหนุ่มได้รู้จัก

“เรามาเล่นกำทายกันดีกว่านะ”

“แล้วนี่ล่ะ” ชายหนุ่มเงยหน้าถาม ทั้งที่มือสองข้างยังชูสองนิ้วเหมือนท่าของกรรไกรค้างไว้

“ศิลป์เล่นเป็นแล้ว ลองเอาไปเล่นคนเดียวสิ หรือจะสอนคนอื่นเล่นบ้างก็ได้ ทำบ่อยๆ คงจะคล่อง”

ไขศิลป์จำเป็นต้องหยุดมือ รับฟังเธอแนะนำการละเล่นที่เพิ่งจะรู้จักเป็นครั้งแรก

หญิงสาววางหินก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดลำใยจำนวนสิบสองก้อนไว้บนโต๊ะ แต่ละก้อนมีลักษณะกลมมนซึ่งออกไปเก็บที่หน้าบ้านตัวเองแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นก็เริ่มอธิบายการละเล่นลำดับถัดไป

“กำทายเป็นการละเล่นไทยอย่างหนึ่ง ปกติจะเล่นกันหลายๆ คน แต่มีพี่กับศิลป์สองคนก็เล่นกันได้” เธอแบ่งก้อนหินให้ตัวเองและเขาจำนวนเท่าๆ กัน “เห็นหินตรงหน้าไหม พี่จะเป็นเจ้ามือ กำก้อนหินของพี่ไว้ในมือ แล้วยื่นมาข้างหน้า ศิลป์ต้องเดาว่าในมือพี่มีหินกี่ก้อนก็ไปกำหินของศิลป์ แล้วยื่นมาข้างหน้าเหมือนกัน พอเราแบมือออก จะรู้ว่าศิลป์เดาถูกไหม แค่นี้เองง่ายไหมล่ะ เหมือนการเดาใจเจ้ามือว่าจะกำหินไว้กี่ก้อน”

เขาพยักหน้ารับทราบอย่างเข้าใจดี พลางใช้มือรวบรวมก้อนหินมาไว้บนตักตัวเองเหมือนเธอ

“ถ้าผมเดาใจพี่ถูกล่ะ” ไขศิลป์ถาม ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นเล่นกับเขา

“เจ้ามือก็จะให้หินตามจำนวนในมือให้แก่คนที่ทายถูก” เธอตอบ แล้วชี้แจ้งเพิ่มเติม “ถ้าเล่นกันหลายคน พอยื่นมือมาข้างหน้าที่กำหินไว้จนครบทุกคนแล้ว ถ้าใครเดาใจเจ้ามือถูก ก็ต้องแบออกให้เห็น ส่วนคนที่เดาผิด เจ้ามือก็จะต้องทายว่าในมือของแต่ละคนจะมีหินอยู่กี่ก้อน ถ้าทายถูกก็จะได้ก้อนหินในมือของคนนั้นไป ถ้าทายผิดก็ไม่ได้”

“ตอนนี้มีแค่ผมกับพี่ ถ้าผมเดาใจของพี่ได้ถูกต้อง ผมจะไม่เอาก้อนหินของพี่ แต่ผมขอตั้งคำถาม พี่จะต้องตอบตามความจริงด้วย” เขายื่นข้อเสนอเพราะมีบางเรื่องที่อยากจะรู้จากปากเธอ

“พี่จะสลับให้ศิลป์เป็นเจ้ามือบ้าง ถ้าพี่ทายถูก พี่ขอถามศิลป์ได้เหมือนกัน” เธอเห็นโอกาสเหมาะที่ไขข้อข้องใจระหว่างชายหนุ่มสองคน

เมื่อไขศิลป์ไม่คัดค้าน เธอก็กำก้อนหินที่อยู่บนตักไว้ในมือ ยื่นมือออกไปข้างหน้าโดยวางแขนไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มกำก้อนหิน แล้วนำแขนมาไว้บนโต๊ะเช่นกัน

“แบออกพร้อมกันดีกว่า จะได้เทียบกันเห็นๆ ไปเลย หนึ่ง สอง สาม” เขาเอ่ย

ทั้งสองคนแบมือออก ในมือเธอมีหินเพียงก้อนเดียว ส่วนในมือเขามีสามก้อน จึงเริ่มเล่นกันใหม่

ความอยากเอาชนะยังคงคั่งค้างอยู่ในความรู้สึกของไขศิลป์ การละเล่นนี้เขาจึงหมายมั่นจะต้องชนะเธอให้ได้

พอถึงรอบที่ห้า เขาสามารถเดาใจเธอถูก เมื่อก้อนหินบนฝ่ามือของแต่ละคนแสดงให้เห็นจำนวนเท่ากันคือสองก้อน

เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถามเธอทันที “พี่คิดจะมีแฟนบ้างไหม”

แม้เธอจะไม่เข้าใจที่ถูกถามเช่นนั้น แต่ต้องตอบออกไปตามข้อตกลงที่ให้กันไว้

“คิดสิ ผู้หญิงเกือบทุกคนก็อยากจะเข้าพิธีแต่งงานกันทั้งนั้นแหละ แต่ต้องหาแฟนให้ได้ก่อน ค่อยกลายเป็นเจ้าบ่าว”

“ผมให้พี่เป็นเจ้ามือต่อ เพราะผมยังมีอีกสองคำถาม”

เธอทำตามคำของเขา หากในใจบอกแค่ว่าอย่าให้ถึงทีของฉันบ้างแล้วกันจะถามรวบยอดทีเดียว

แค่เพียงสองรอบของการเริ่มต้นเล่นกันใหม่ ไขศิลป์ก็เดาใจเธอถูกอีกครั้ง

“พี่คิดยังไงกับคนที่ชอบแย่งแฟนของคนอื่น” เขาถามทันที หากยิ้มอย่างกับรู้ทัน

หญิงสาวเริ่มจะระแคะระคายแล้วว่าเหตุใดเขาต้องตั้งคำถามทำนองนั้นกับเธอ

“เรื่องอย่างนั้น จะไปโทษคนที่เข้าไปแย่งไม่ได้หรอก คนเรามันตบมือข้างเดียวไม่ดังฉันใด การแย่งแฟนของชาวบ้านก็คงไม่สำเร็จได้ฉันนั้น” ปรียานุชเลือกที่จะไม่ตอบเขาแบบตรงๆ อย่างคำถามแรก เพียงแค่ทิ้งคำกล่าวไว้ให้เขาคิดเอง เพราะหมั่นไส้ที่เขาคิดว่าเธอจะมาแย่งหวานใจของเขาไป

ไขศิลป์ตีความถ้อยคำของเธอซึ่งเห็นด้วย ถ้าคนสองคนพอใจกันและกันก็คงห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงอย่าให้ใครพอใจใครและอยู่ห่างกันไว้จะดีที่สุด

“เพื่อนของผมมีแฟนอยู่แล้วนะพี่ ผมอยากจะบอกแค่นี้แหละ”

ปรียานุชทำเป็นตีหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจแอบยิ้มที่พอจะคาดเดาได้ถูก กับสองคำถามจากเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับเพื่อนชายคนสนิท

หญิงสาวเป็นเจ้ามือเล่นกำทายกับเขาอีกครั้ง หากเพียงแค่รอบแรกเขาก็ทายใจของเธอถูก

ไขศิลป์ยิ้มให้หญิงสาว จ้องมองอีกฝ่ายพลางคิดในใจว่าไม่ใช่แค่จำนวนก้อนหินที่จะเดาได้ถูก เขายังเดาใจเธอในบางเรื่องได้ถูกต้องเช่นเดียวกัน คือเรื่องที่เธอแอบหมายปองฐานิน แต่คำถามที่สาม เขาขอถามเกี่ยวกับตัวเองบ้าง

“พี่จะทำยังไงกับผมต่อไป”

คำถามก้ำกึ่งที่เธอไม่รู้จะตอบไปทางไหนดี ถ้าคำถามนั้นยังเกี่ยวข้องกับฐานิน เธอก็อยากตอบไปว่าฉันไม่แย่งแฟนของน้องหรอกย่ะ แต่ยังไม่รู้ชัดเจน เธอจึงเลือกตอบคำถามที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคนถามโดยตรง

“ช่วงแรกๆ พี่จะพาคนมาเล่นกิจกรรมแค่ไม่กี่คนเพื่อให้ศิลป์ไม่ต้องตื่นกลัว สามารถลงมาเล่นด้วยกันได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ขอให้บอกกัน ไม่ใช่คิดแต่จะหนี ถ้าหนีอีกก็คงต้องหนีต่อไปแบบนี้ เราต้องชนะความกลัวที่เกิดขึ้นให้ได้ ด้วยการไม่ต้องคิดถึงมันหรือนึกถึงอดีตที่มันเคยเกิดขึ้น”

“แต่มันเกิดขึ้นอยู่ดีนะพี่ ผมพยายามไม่คิดถึงมันแล้ว”

“ศิลป์ยังไม่กล้าพอที่จะสู้กับมัน พอความกลัวเกิดขึ้นแล้วก็ต้องควบคุมให้ได้ อย่าปล่อยให้มันอยู่เหนือเรา ถ้ามันอยู่เหนือเราได้ เราอาจจะต้องหนีเพื่อที่จะกลัวน้อยลง ดังนั้นเราต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะได้อยู่เหนือมัน” เธอรู้ว่าพูดง่ายแต่อาจจะทำยาก คงต้องใช้เวลาฝึกฝนเหมือนการละเล่นกรรไกร ไข่ ผ้าไหม ถ้าไม่ฝึกสม่ำเสมอก็คงไม่มีทางที่จะทำได้คล่อง “พี่อยากให้ศิลป์ค่อยๆ ปรับความคิดยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ต้องคิดว่าทุกคนที่มาเล่นด้วยกัน พวกเขามาเพื่อสนุก ไม่ได้มาจับผิดหรือจ้องมองเพื่อจะรอดูความอับอายขายหน้าของศิลป์สักหน่อย ดังนั้นต้องเล่นกันด้วยความมั่นใจ”

เธออยากให้เขาเห็นถึงสถานการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่จึงพูดขึ้นอีก “ตอนที่เราเล่นกันสองคน ศิลป์ทำผิดๆ ถูกๆ พี่เห็นแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ยังขำ ยังหลุดหัวเราะ เพราะความสนุกสนาน ไม่ใช่จะตั้งใจเยาะเย้ย พี่ว่าศิลป์คงรับรู้ไม่ต่างกันหรอกจึงนั่งเล่นกับพี่มาจนถึงตอนนี้ได้”

ไขศิลป์เข้าใจและบอกตัวเองจะพยายามสู้กับความกลัวในใจให้มากกว่านี้ไม่เหมือนที่เคยเป็น

“ผมจะเป็นเจ้ามือเอง พี่อยากถามอะไรกับผมก็ตามสบาย”

ก่อนที่ชายหนุ่มจะกำก้อนหินแล้วยื่นแขนมาตรงด้านหน้า เธอขอพูดในสิ่งที่ยังพูดไม่หมด “ว่างๆ ลองนำสิ่งที่เล่นกับพี่ไปเล่นเองคนเดียวได้นะ ดีกว่านั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน”

“ที่ผมต้องเล่นเกมในคอม เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี งานก็ไม่มีให้ทำ” เขายักไหล่สองข้าง

“ถ้าช่วงนี้ยังไม่ได้ทำงาน ตะโกนเรียกพี่ให้มาเล่นด้วยกันก็ได้ หรือจะหาหนังสือแบบเล่มอ่านก็ดีนะ”

“ผมจะเริ่มแล้ว พี่ทายมาแล้วกัน” เขาตัดบทราวกับไม่อยากรับฟังคำแนะนำของเธออีก

ปรียานุชเล่นกำทายเพื่อเดาใจเขาหลายรอบก็ยังไม่เคยทายถูกสักที จนเริ่มถอดใจที่จะเลิกเล่น เพราะเห็นว่าถึงเวลาค่ำมากแล้วและเริ่มหิวจนแสบท้อง หากก่อนจะยุติการเล่น เธอเดาใจของเขาได้ถูก เมื่อก้อนหินในมือของเธอและเขามีสี่ก้อนเท่ากัน

ชายหนุ่มใช้มือลูบท้อง “พี่ถามมาสามคำถามรวดเดียวเลยก็ได้ จะได้แฟร์ๆ ไม่ต้องรอเล่นให้ครบสามครั้งหรอก ถึงเวลาที่ผมต้องกินข้าวแล้ว จะได้แยกย้ายกันไป”

เธอพร้อมที่จะตั้งคำถามกับเขามานานและขอแค่คำถามเดียวที่อยากรู้คือเขากับฐานินเป็นหวานใจกันใช่ไหม

แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากถามก็มีคนเดินเข้ามาในบ้าน เธอจึงได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

“ศิลป์หาอะไรกินบ้างหรือยัง แม่ซื้อกับข้าวมาให้ด้วย” ศศิถามทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย หากในมือยังจูงแขนเด็กผู้ชายที่เขาเคยเห็นหน้า

“สวัสดีค่ะ น้าศิ” จากที่คิดจะถามเขาออกไป เธอต้องเปลี่ยนเป็นยกมือไหว้และทักทายเจ้าของบ้าน

“หนูปรีกินข้าวกับพวกน้าด้วยกันไหม” ศศิยิ้มให้ปรียานุช ก่อนจะไปวุ่นวายกับหลานชายที่พามาด้วยกัน “กีตาร์ไหว้น้าศิลป์กับน้าปรีสิจ๊ะ”

เด็กชายเงยหน้ามองคนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว แต่ไม่ได้ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ หากเริ่มวิ่งไปในบ้าน ทำตัวอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง หลังจากสะบัดแขนออกจากมือศศิได้สำเร็จ

“ฝากเทกับข้าวใส่จานด้วยนะลูก แม่ขอไปจัดการกีตาร์ก่อน” ศศิวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะ รีบจ้ำอ้าวไปยังทิศทางที่เด็กชายเพิ่งวิ่งห่างออกไป “กีตาร์อยู่กับยายที่นี่นะจ๊ะ” เสียงของศศิยังแว่วมาให้ได้ยิน

“พี่ว่าเด็กคนนั้นแปลกๆ นะ” เธอชวนเขาคุยต่อ ทั้งที่ยังอยากถามคำถามนั้น

“แค่เข้ามาในบ้านยังไม่ถึงนาทีก็วุ่นวายมากแล้ว คงซนน่าดู” เขาถอนหายใจ เมื่อนึกถึงในวันต่อๆ ไปที่บ้านจะมีสมาชิกเป็นเด็กผู้ชายเพิ่มมาหนึ่งคน

ปรียานุชตัดสินใจลุกขึ้นยืน ปล่อยผ่านคำถามที่อยากจะถามเขา เพราะเด็กผู้ชายที่เพิ่งได้พบเจอกันเป็นครั้งแรกนั้นน่าสนใจมากกว่า

หญิงสาวค้นพบอีกหนึ่งปัญหาในบ้านหลังนี้ก็เริ่มคิดหาวิธีแก้ไข

เด็กนั้นต่างจากผู้ใหญ่ ต่อให้พูดออกไปแค่ไหน เด็กก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จึงต้องหาสารพัดวิธีมาล่อหลอกเพื่อให้เด็กไว้ใจจนยินยอมทำสิ่งๆ ต่างร่วมกัน ด้วยประสบการณ์ทำงานที่ได้คลุกคลีกับเด็กมาหลายปี อาจจะทำให้เธอรับมือได้ไม่ยากเย็นนัก

ยิ่งเห็นพฤติกรรมของเด็กชายผู้นั้น เธอต้องทำอะไรสักอย่างดีกว่าปล่อยไว้ให้เนิ่นนานจนกลายเป็นปัญหายุ่งยากที่แก้ไขลำบากกว่าเดิม

หญิงสาวหันกลับไปมองไขศิลป์ซึ่งกำลังเทอาหารใส่จาน ก่อนจะเข้าไปขอตัวกลับบ้านตนเอง

ระหว่างเขากับเด็กผู้ชาย สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของใครจะแก้ไขได้ยากเย็นกว่ากัน

เธอคงพบคำตอบนั้นก็ต่อเมื่อได้ลงมือกับคนทั้งสอง



Don`t copy text!