ละเล่นลานรัก บทที่ 14 : หลานชายก่อกวน

ละเล่นลานรัก บทที่ 14 : หลานชายก่อกวน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

นับตั้งแต่วันที่มีเด็กผู้ชายอยู่ร่วมบ้านก็เหมือนโลกส่วนตัวถูกคนอื่นรุกรานอยู่เสมอ ชีวิตเขาได้เผชิญความไม่สงบสุข แม้จะอยู่ในห้องนอนของตัวเองก็ตาม

ไขศิลป์มักจะมองดูพฤติกรรมของหลานชายซึ่งไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง แม่ของเขาให้ทำอะไรก็ทำได้ไม่นาน อย่างเช่นแค่นั่งกินข้าว ยังเคี้ยวไม่ถึงหนึ่งคำก็ลุกขึ้น เดินไปที่อื่น หรือใช้มือเคาะสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว หรือวิ่งไปตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้างราวกับบ้านเป็นสนามวิ่งเล่น แต่หลานชายจะอยู่นิ่งจริงๆ ตอนที่ในจอโทรทัศน์มีการ์ตูนให้รับชม หรือในมือมีโทรศัพท์มือถือซึ่งมักจะเรียกร้องจากคนที่เคยให้กันได้ แต่แม่ของเขาก็ไม่ยอมทำตามใจเสียทุกครั้ง ยามที่หลานชายไม่ได้ตามต้องการจะส่งเสียงเอะอะโวยวายหรือวิ่งทั่วบ้าน จนเขาเห็นแล้วก็สงสารมารดาที่ไปรับหลานชายผู้นี้มาอยู่ด้วยกัน

นอกจากการกระทำของเด็กชายที่ได้เห็นบางเวลาแล้ว ยังมีคำพูดคำจาที่วันแรกเขาไม่ได้จะสนใจนัก คิดว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กที่มักจะไม่ค่อยพูดกับคนไม่คุ้นเคยเหมือนเขา แต่พอหลายวันผ่านพ้น เขาคาดว่าหลานชายไม่คิดจะพูดกับใครเลย แม้แม่จะชวนพูดชวนคุยก็ได้แต่แหงนหน้ามองกัน หรือพูดบางคำที่มีความหมายบ้าง ไม่มีความหมายบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกับคู่สนทนา

จนได้เจอกับตัวเอง ตอนที่นั่งรอกินข้าวตรงโต๊ะอาหาร เขาก็ได้แต่นั่งมองหลานชายวิ่งไปเกาะเก้าอี้ตัวนั้นทีตัวโน้นที หรือปีนป่ายขึ้นมาบนเก้าอี้ ยืนขย่มตัว ทั้งที่เขาอยากช่วยแบ่งเบาภาระของมารดา แต่ก็จนปัญญาที่จะปราบพยศหลานชาย

เขาเคยชวนคุยหรือถามออกไป แต่ได้ยินคำตอบไม่กี่คำ คือคำว่ากีตาร์ และหม่ำๆ เป็นส่วนใหญ่ หลานชายไม่เข้าใจคำถามเขา หรือเขาไม่เข้าใจเด็ก หรือบางทีเขาก็คิดว่าตัวเองพูดไม่รู้เรื่อง หลังจากที่ไม่ได้ออกไปพบหน้าใครต่อใครมานานหลายเดือนจนเป็นปี แต่เขาก็คุยกับพี่สาวข้างบ้านได้รู้เรื่องรู้ราว จึงปัดความคิดอย่างหลังออกไป สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเองว่าเป็นเพราะตัวของหลานชายซึ่งอาจมีปัญหาหรือแตกต่างจากเด็กคนอื่น

ถ้าไม่มีตัวอย่างให้เห็น ไขศิลป์คงจะไม่คิดย้อนมองตนเอง

บางทีสิ่งที่เขาเป็นอยู่อาจสร้างความลำบากให้แก่ผู้อื่นเช่นกันโดยเฉพาะบิดามารดา เขาจึงต้องเอาชนะความกลัวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้เพื่อเป็นทางออกของปัญหา เพราะเรื่องของเขาอาจทำให้พ่อแม่หนักใจมากพอแล้ว ยิ่งมีหลานชายเพิ่มเข้ามาอีกก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่

เขามัวแต่โทษเด็กจากสิ่งที่เห็น จนลืมไปว่าต้นตอที่แท้จริงนั้นเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ส่งผลให้เด็กต้องเป็นเช่นนี้

แต่สิ่งที่เขาเป็นนั้นไม่ใช่จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ทั้งที่รู้สาเหตุนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ยังจัดการต้นตอแท้จริงไม่ได้เสียที

ไขศิลป์สะดุ้งตัวตื่นจากนิทรารมณ์ที่เผลองีบหลับไปในช่วงบ่าย เพราะเสียงเคาะประตูและเสียงเด็กร้องโวยวาย ชีวิตในบ้านที่ไม่เคยมีเด็กมาก่อนทำให้คิดว่าฝันไปจึงขอหลับต่ออีกสักหน่อย แต่เสียงตะโกนโหวกเหวกของเด็กชายไม่หายไป พร้อมทั้งเสียงเคาะประตูก็ยิ่งทวีความดัง จนนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงของหลานชายที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้เพียงหนึ่งสัปดาห์

ชายหนุ่มตาสว่างทันทีเพื่อยุติเสียงที่ยังร้องเรียกเขาลั่นบ้าน “นาศิลป์ เปิด เปิด”

แม้จะถูกเด็กชายเคาะประตูห้องเป็นหลายสิบครั้งต่อวัน แต่เขาก็ยังไม่ชินเสียที

พอเปิดประตูออกไปดู หลานชายไม่ได้วิ่งหนีหายไปเหมือนอย่างเคย เพราะมีมารดาของเขายืนอยู่ด้านหลัง

ศศิยิ้มน้อยๆ ให้บุตรชาย ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนราวกับเกรงใจกัน “แม่ขอฝากกีตาร์ไว้กับศิลป์สักพักหนึ่ง แม่จะออกไปซื้อของกับพ่อ นี่พ่อก็มารอถึงหน้าบ้านนานแล้วด้วย ศิลป์จะลงไปนั่งเล่นกับหลานข้างล่างก็ได้นะ”

เขาอยากจะปฏิเสธแต่ทำไม่ได้ จึงจำใจจับแขนหลานชายไว้ เป็นการตอบรับคำของมารดา

เมื่อมารดาผละออกไปจากบ้าน ทั้งเขาและหลายชายก็ยังยืนอยู่หน้าห้องนอนที่เปิดประตูค้างไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ปล่อยเขาให้อยู่กับหลานชายเพียงสองคน

จะทำยังไงดี เขาถามตัวเอง ขณะที่กีตาร์ทำได้แค่ชะโงกหน้ามองไปในห้อง

“คิดอะไรอยู่รู้นะ จะเข้าไปข้างในใช่ไหม”

“เข้าไป เข้าไป ได้ไหมคาฟ” กีตาร์พูดเป็นคำๆ ได้มากขึ้น หลังจากศศิเฝ้าเคี่ยวเข็ญให้พูดและชวนพูดแทบทุกเวลา

เขาจำเป็นต้องพาหลานชายเข้าไปในห้องเพราะไม่อยากให้คลาดสายตา

กีตาร์ยืนนิ่ง จ้องมองจอคอมพิวเตอร์ด้วยความสนใจ

ไขศิลป์นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อไม่อยากให้เด็กอยู่ในห้องและจ้องแต่จอสี่เหลี่ยม เขาจูงแขนหลานชายให้เดินออกจากห้อง พาไปอยู่ด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ชั้นล่าง

ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรจึงเปิดโทรทัศน์เพื่อฆ่าเวลา แรกๆ หลานชายเหมือนจะสนใจในจอ แต่พอผ่านไปสิบนาทีก็เริ่มลุกขึ้นยืน วิ่งไปวิ่งมา จนเขาต้องตามจับตัวให้มานั่งข้างๆ กัน

“ดูตูน นะคาฟ ดูตูน นะนะ” กีตาร์เขย่าแขนเขา มองไปทางจอโทรทัศน์

“จะดูการ์ตูนเหรอ ขอน้าหาก่อน” เขาใช้รีโมตค้นหาช่องที่มีการ์ตูน หากโชคยังช่วยที่พอจะมีการ์ตูนให้หลานชายรับชมซึ่งนั่งนิ่งจ้องจอไม่วางตา

เขานึกถึงมารดาที่พยายามไม่ให้หลานชายอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากนักซึ่งทำเท่าที่ทำได้

วันนี้ก็ยังดีที่ไม่ร้องขอมือถือจากเขา เพราะไม่รู้ว่าแม่ซ่อนโทรศัพท์มือถือของเด็กชายไว้ที่ใด

เหมือนหลานชายจะรู้ว่าเขากำลังนึกถึงสิ่งใดก็พูดขึ้นมา “ดูมือถือ ขอหน่อย นะนะ” กีตาร์เข้ามาเกาะแขนออดอ้อนเขา

“จะเอาจริงเหรอ มีแต่มือถือของน้านะ”

“ขอมือถือ ดูอีก นะคาฟ ดูอีก นะนะ”

“ถ้าอยากได้ บอกน้าก่อน ว่าชื่ออะไร”

“กีตาร์ ชื่อกีตาร์” เด็กชายตอบออกมาราวกับท่องจำชื่อตัวเองได้ขึ้นใจ

“พูดตามน้านะ ผมชื่อเด็กชายกีตาร์ครับ” อยู่ดีๆ ไขศิลป์ก็อยากจะสอนหลานชาย

“ผมชื่อเด็ก…ชายกีตาร์…คาฟ” เด็กชายพูดตามเขาได้ แม้บางคำจะพูดไม่ต่อเนื่องกัน

“วัยนี้ต้องพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้บ้างแล้ว และต้องลงท้ายด้วยคำว่าครับด้วย จะฟังดูเป็นคนนอบน้อมกับผู้ใหญ่รู้ไหม” ที่เขาพูดเช่นนี้ได้ เพราะเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกับหลานชายซึ่งค้นหาในอินเทอร์เน็ต

“มือถือ ขอดูคาฟ” เด็กชายเงยหน้าพูดกับเขา

“น้าจะไปเอามาให้ แต่ต้องอยู่ตรงนี้ ห้ามลุกไปไหน เข้าใจหรือเปล่า” เขากลัวหลานชายวิ่งออกไปข้างนอก แต่ช่วงเวลาที่ขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือในห้องแค่ไม่กี่นาทีคงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ไขศิลป์รีบวิ่งไปเอาสิ่งของนั้น พอกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็เห็นกีตาร์ยังนั่งตรงจุดเดิม ตบมืออย่างดีใจ ยามเห็นของในมือเขา

“อยากได้ต้องทำยังไงก่อน” เขาพูดกับหลานชาย นำมือที่ถือของนั้นไว้ด้านหลัง

กีตาร์ยกมือไหว้เขาโดยไม่มีคำพูดคำจา

ทั้งที่จริงเขาอยากจะสอนสั่ง แต่พูดมากไปก็กลัวเด็กจะไม่อยากอยู่ด้วยกัน หรืออาจต่อต้านจนไม่เชื่อฟังเหมือนวันแรกๆ ที่แม่พาเข้าบ้าน ใครพูดอะไรก็ไม่เคยฟัง ร้องจะเอาแต่มือถือเพียงอย่างเดียวจนแม่ใจอ่อน พอนานวัน เขาก็เห็นแม่ไม่ตามใจบ้าง ปล่อยให้ร้องจนหยุดร้องเอง

เขาส่งของซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือตัวเองให้หลานชาย

พอกีตาร์จับดู กดปุ่มต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือได้ไม่นาน ยื่นคืนให้เขาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ “เปิดหน่อยคาฟ อยากดูตูน”

เขามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็จนปัญญา เป็นรุ่นล้าสมัยซึ่งมีแค่หน้าจอและปุ่มกด ใช้สำหรับโทร.เข้ากับโทร.ออกเพียงเท่านั้น เพราะชายหนุ่มมักจะท่องโลกอินเทอร์เน็ตในคอมพิวเตอร์

“ของมันเชยแล้วไง จะให้น้าทำยังไงดีล่ะ” เขาเอ่ย ยกมือขึ้นเกาศีรษะ พลางใช้ความคิด

เด็กชายไม่เข้าใจคำของเขา เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เริ่มแผลงฤทธิ์

“ขอดู ดูอีก ดูตูน ดูตูน” กีตาร์ยืนกระทืบเท้า ปากส่งเสียงดังลั่น

ไขศิลป์เริ่มเห็นเค้าลางแห่งความวุ่นวาย แต่ไม่รู้จะรับมืออย่างไร

“เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย ทำไมเป็นอย่างนี้แล้วล่ะ ฟังกันหน่อยสิ” เขาพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มีอามรมณ์ขุ่นมัว

กีตาร์วิ่งพล่านไปทั่วบ้าน พอฉวยหมอนอิงติดมือมาได้ก็ตีตรงโน้นทีตรงนี้ทีตามที่อยากจะตีโดยไม่สนใจว่าตรงนั้นจะเป็นสิ่งใด

ไขศิลป์ต้องตามไปจับตัว อุ้มมาไว้ที่ห้องนั่งเล่น โชคดีที่ยังพออุ้มไหว แม้หลานชายจะมีร่างอวบและยังดิ้นในอ้อมแขนของเขาก็ตาม

กีตาร์ไม่ยอมอยู่เฉย หากยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

ไขศิลป์เริ่มอับจนหนทางที่จะจัดการหลานชายให้อยู่อย่างสงบ

ยิ่งได้เจอกับตัวเองก็ยิ่งสงสารมารดาที่ต้องมารับมือกับเด็กดื้อช่างเอาแต่ใจเช่นนี้ ตอนแรกก็คุยกันดี นึกว่าจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายยังคงเหมือนเดิม หรืออาจจะเริ่มดีขึ้นสักนิดหน่อย เพียงแค่ต้องใช้เวลาสำหรับทุกอย่างซึ่งไม่ต่างจากเขา

กีตาร์สะบัดแขนหลุดจากมือเขาได้ วิ่งออกไปทางหน้าบ้านพร้อมกับตะโกนถึงสิ่งที่อยากได้ไม่หยุดปาก

ไขศิลป์จำเป็นต้องรีบวิ่งตามไปจับตัวจนรู้สึกเหนื่อยก็ยังจับไม่ได้สักที โชดดีที่หลานชายวิ่งอยู่แค่ในลานกว้าง

“ศิลป์ทำอะไรอยู่เหรอ” เสียงตะโกนถามของหญิงสาวที่ยืนตรงประตูหน้าบ้าน

เธอเพิ่งจะกลับมาจากทำงาน พอเดินเข้าไปในบ้านแล้ววางของก็ได้ยินเสียงเด็กโวยวายอยู่ในบ้านข้างเคียงจึงอดไม่ได้ที่ต้องเดินมาดู

“พี่ปรี” เหมือนมีนางฟ้ามาโปรด ยามเห็นคนที่จะรับมือกับหลานชายได้

“เล่นอะไรกันอยู่เหรอ” เธอถาม ทั้งที่ได้ยินสิ่งที่เด็กชายร้องเรียกอย่างชัดเจน

“เปล่าพี่” เขาตอบ เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้

กีตาร์เรียกร้องความสนใจ ยามที่ไม่มีคนวิ่งไล่ตามกันอีก เด็กชายลงไปนั่งบนพื้นซึ่งเป็นลานดิน งอแข้งงอขา นั่งดิ้นอยู่ตรงนั้น

เขายืนเท้าเอวมองการกระทำของหลานชายอย่างเอือมระอา พูดให้เธอได้รู้ “พอถูกขัดใจเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ไม่ได้ดูมือถือก็วิ่งร้องลั่นบ้าน เมื่อกี้ยังนั่งดูทีวีด้วยกันอยู่เลย”

หญิงสาวจ้องมองเด็กชายอย่างเข้าใจดี ก่อนเอ่ยถามชายหนุ่ม “น้าศิไปไหนล่ะ ปล่อยหลานให้อยู่กับศิลป์แบบนี้”

“แม่ออกไปซื้อของกับพ่อ เลี้ยงเด็กนี่มันยากมากเลยนะ” เขาเปรยกับเธอ

ปรียานุชขบขันกับคำของเขาที่ฟังแล้วไม่ค่อยมีชีวิตชีวา “เราต้องเข้าใจเด็กด้วยนะศิลป์ ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เหมือนพี่ที่ต้องเข้าใจศิลป์ก่อน จึงจะคุยกันได้รู้เรื่อง”

หญิงสาวพูดจบก็ลงไปนั่งยองใกล้ๆ เด็กชายที่ยังนั่งดิ้นถูไถขาไปกับพื้น

“น้องชื่ออะไรหรือครับ”

เด็กชายหยุดดิ้น มองหน้าเธอ แล้วก้มหน้ามองพื้น

“ชื่อกีตาร์ก็บอกไปสิ” เขาตอบแทนหลานชาย

ปรียานุชหันไปส่งสายตาให้กับไขศิลป์เพื่อบ่งบอกว่าให้เด็กพูดเอง

เขารู้โดยไม่ต้องบอก ทำเป็นมองฟ้ามองเมฆไปตามเรื่องตามราว

“บอกพี่ได้ไหมครับ จะเอาอะไร” เธอถาม เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายถูกขัดใจ

เด็กชายก้มหน้าก้มตาตอบด้วยเสียงเบา ใช้นิ้ววนไปซ้ำๆ บนพื้นดิน “มือถือ จะดู ขอดูอีก”

“เราคุยกันก่อนดีไหมครับ แล้วพี่จะให้มือถือ” เธอเห็นเด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจคำกล่าวของเธอ แต่ก็เริ่มเอะใจที่เด็กวัยประมาณนี้น่าจะพูดได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เธอถามอีกครั้ง “น้องชื่ออะไรครับ พี่ชื่อพี่ปรี”

เขากลั้นขำไว้ไม่ไหว เมื่อได้ยินเธอแนะนำตัวกับหลานชาย

หญิงสาวตวัดสายตาไปทางคนที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วกลับมามองเด็กชาย พร้อมทั้งส่งยิ้มให้อย่างคนโอบอ้อมอารี

“กีตาร์ ชื่อกีตาร์” เด็กชายตอบโดยไม่มองหน้าเธอ มือยังอยู่ไม่สุข ใช้นิ้วเขี่ยพื้นดินเรื่อยไป

“ลุกขึ้นก่อนนะครับ เลอะดินหมดแล้ว เข้าไปในบ้านกันก่อน แล้วพี่จะเอามือถือให้”

เด็กชายทำตามอย่างเชื่อฟังเพราะหวังจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

เธอช่วยปัดเศษฝุ่นดินตามกางเกงของกีตาร์ซึ่งยังคงมีรอยเปรอะเปื้อนเห็นได้ชัด

กีตาร์วิ่งนำหน้าเข้าไปในบ้านอย่างเร็วไว ปล่อยให้เธอกับเขาเดินตามหลังไป

“พี่ปรีบอกให้กีตาร์เรียกพี่เหมือนกับผมได้ยังไง ผมยังยอมให้หลานเรียกว่าน้าเลย อย่างนี้ผมก็แก่กว่าพี่ปรีสิ มันไม่ใช่เลยนะ” เขาเอ่ยกับเธอ

ปรียานุชหันขวับมาทางชายหนุ่ม รู้ได้ทันทีถึงเหตุผลที่เขาขบขันเมื่อสักครู่

ก่อนที่เด็กชายจะเดินมุ่งหน้าไปทางห้องนั่งเล่น เธอก็รีบฉุดแขนให้ออกมานั่งบนพื้นตรงทางเข้าตัวบ้าน

“กางเกงของกีตาร์ยังมีดินอยู่เลย มานั่งตรงนี้กับน้าดีกว่านะครับ” เธอเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองทันที หลังจากที่เขาเน้นย้ำให้ได้รู้กัน

ไขศิลป์ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่บอกให้ฟัง

“พี่ขอมือถือของศิลป์หน่อยสิ” เธอบอกชายหนุ่ม

“เพราะมือถือของผมนั่นแหละ กีตาร์ถึงเป็นแบบนี้” เขาล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ยื่นส่งให้เธอ

ปรียานุชให้มือถือเครื่องนั้นแก่กีตาร์ที่รับไปก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเครื่องที่ใช้ดูอะไรไม่ได้เลย จึงยกแขนสูง ตั้งท่าจะปาของในมือ

“อย่าทำอย่างนี้นะ” ไขศิลป์รีบเข้ามาจับแขนหลานชายได้ทันท่วงที เพราะคาดเดาการกระทำของเด็กชายได้

“พูดกับกีตาร์ดีๆ หน่อยสิ” เธอหันไปต่อว่าเขา

“มือถือของผมใช้เล่นใช้ดูอะไรได้ที่ไหนล่ะพี่” เขายื่นมือถือที่ดึงออกมาจากมือหลานชายให้เธอได้เห็น

ปรียานุชพูดกับเด็กชาย “ทำอย่างนั้นไม่ดีรู้ไหมครับ ไม่ทำอีกแล้วนะ มีอะไรให้บอกกัน” เมื่อเห็นกีตาร์พยักหน้ารับรู้ก็หันหน้าไปบอกเขา “ศิลป์ต้องพูดให้กีตาร์ได้รู้ว่าโทรศัพท์เป็นยังไง เด็กจะได้เห็น ได้เข้าใจ”

“ถ้าอยู่นิ่งก็ว่าไปอย่าง จะพูดให้รู้เรื่องกันไปเลย แต่นี่วิ่งพล่านทั่วบ้าน” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง

ปรียานุชคว้าโทรศัพท์มือถือของเขามาถือไว้ตรงด้านหน้าเด็กชาย พยายามอธิบายว่าเป็นอย่างไรจึงไม่สามารถใช้งานได้ตามต้องการ

เขานั่งมองดูหลานชายที่ก้มหน้ารับฟังอย่างนิ่งเฉย หรือเป็นเพราะเธอทำงานกับเด็กมานาน จึงรู้วิธีเข้าหาเด็กเพื่อให้เกิดความไว้ใจกัน หรือเป็นเพราะท่าทีของเธอดูมีความเมตตาปรานีทำให้เด็กไม่เกรงกลัว แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม เขาโล่งใจที่เวลานี้หลานชายไม่ดื้อไม่ซนเหมือนที่เคยเป็น

“ถ้าดูไม่ได้ เล่นอย่างอื่นดีกว่าไหมครับ น้ามีอะไรสนุกๆ ให้เล่นกันด้วย ลองดูนะ” หญิงสาวยังส่งเสียงสดใส หน้าตามีรอยยิ้ม แม้เด็กชายจะไม่ค่อยมองหน้ากัน

ปรียานุชร้องบทร้องของการเล่นกรรไกร ไข่ ผ้าไหม พร้อมกับทำมือให้เด็กชายได้เห็น

กีตาร์มองดูมือของเธอด้วยความสนใจ อีกทั้งเสียงขับขานเพลงก็ยังดังขึ้นต่อเนื่องซึ่งมีเขากับเธอช่วยกันร้อง

เมื่อเรียกความสนใจของเด็กได้แล้ว เธอก็หยุดร้อง

“น้าจะสอนกีตาร์นะ ลองทำสิ นี่กรรไกรนะ” เธอชูสองนิ้ว เมื่อเด็กชายทำตามได้ ก็เอ่ยต่อ “พูดตามน้า กรรไกรครับ”

“กรรไกร” กีตาร์พูดตาม

ไขศิลป์อยากลองสอนหลานบ้าง ก็กำมือให้เห็น “นี่ไข่ ทำได้ไหม”

กีตาร์มองไปทางเธอราวกับจะให้เธอสอนมากกว่า

“กำมือกัน นี่เรียกว่าไข่ พูดตามน้านะ ไข่” เธอกำมือให้เด็กชายเห็น

“สงสัยจะยังเคืองกันที่มือถือดูอะไรไม่ได้เลย” ชายหนุ่มพูดออกมา แล้วนั่งมองหญิงสาวสอนหลานชายจนครบทุกท่าในบทร้อง

จากนั้นเธอและเขาก็พาเด็กชายทำมือไปตามคำร้องอย่างเชื่องช้า

หากร้องบทร้องได้เพียงสี่รอบ กีตาร์ก็ลุกขึ้น วิ่งไปทั่วบ้านอีกครั้ง

ทั้งสองคนต้องช่วยกันจับตัวเด็กราวกับวิ่งไล่จับกัน

พอจับตัวกีตาร์ได้ เธอบอกให้เขาไปหาชุดใหม่มาเปลี่ยนให้หลานชาย

เมื่อกีตาร์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยแล้ว เธอจูงแขนไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่น ซึ่งกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันได้ กีตาร์ก็กระโดดเหย่งๆ อยู่ไม่นิ่งเลย

ไขศิลป์หยุดพฤติกรรมทุกอย่างของหลานชาย ด้วยการเปิดโทรทัศน์ซึ่งมีการ์ตูนให้ได้จดจ้อง จนนั่งอยู่กับที่โดยไม่ลุกไปไหน

เขาถอนหายใจ หลังจากหาวิธีปราบพยศของหลานได้สำเร็จซึ่งหนีไปพ้นจอโทรทัศน์ หากยังโชคดีที่มีพี่สาวข้างบ้านมาช่วยกันได้ถูกเวลา

ไขศิลป์อยากจะปรับทุกข์กับเธอ “ตั้งแต่กีตาร์มาอยู่ที่บ้านผม ชีวิตผมไม่ค่อยจะสงบเลย ทั้งที่อยู่ในห้องนอนตัวเอง กีตาร์ชอบเคาะห้องผมไม่รู้กี่ครั้ง หายไปสักพักก็มาเคาะอีก จนผมไม่รู้จะทำยังไงดี ชีวิตไม่เคยถูกก่อกวนมากขนาดนี้เลย”

“ออกจากห้อง มาเล่นมาคุยกับหลานบ้างสิ ชวนเล่นเหมือนที่พี่เคยสอนให้ศิลป์เล่นด้วยกันก็ได้ กีตาร์ดูจะสนใจ คงไม่เคยเจอ แต่อาจจะใช้เวลาสักหน่อยที่จะให้จดจ่อได้นานๆ เหมือนตอนนั่งดูทีวี” เธอพอจะมองเห็นถึงปัญหาของเด็กชาย จึงไม่อยากละเลยกับความผิดปกติในตัวเด็กก็เอ่ยถามเขา “ศิลป์พอจะรู้จักพ่อแม่ของกีตาร์ไหม พี่ต้องคุยกับพ่อแม่ของกีตาร์โดยด่วน”

ไขศิลป์พอจะเข้าใจเธอซึ่งคาดว่าหลานชายควรได้รับการแก้ไขในสิ่งที่เป็นไม่ต่างจากเขา “ผมไม่รู้จักใครเลย พี่ปรีรู้ด้วยเหรอว่ากีตาร์เป็นอะไร”

จากคำถามของเขา คงจะรู้ถึงความไม่ปกติของเด็กชาย “พี่พอจะดูออก แต่ขอคุยกับพ่อแม่ของเด็กก่อนดีกว่านะ ค่อยเล่าให้ฟัง”

ปรียานุชยังไม่บอกไปตามที่พอจะคาดเดาได้ เพราะอยากสอบถามข้อมูลจากบุพการีของเด็กเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่คิด เมื่อเขาไม่พูดอะไรต่อ เธอก็เอ่ยขึ้นอีก “พรุ่งนี้พี่ค่อยถามน้าศิก็ได้ เพราะต้องมาจัดกิจกรรมการละเล่นไทยตรงหน้าบ้านของศิลป์ มาเล่นด้วยกันได้นะ”

“จะเหมือนคราวก่อนไหมพี่” เขากลัวจะมีคนที่ไม่รู้จักจำนวนมาก

หญิงสาวอยากให้อีกฝ่ายสบายใจและไม่ต้องเก็บไปคิดกลัวไว้ก่อน ทั้งที่ยังไม่ถึงวันจริง “พรุ่งนี้มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ไม่กี่คนหรอก อย่าเพิ่งกังวลไปเลย พี่จะเริ่มให้ศิลป์เจอคนน้อยๆ ก่อน ค่อยเจอคนมากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ปรับตัวได้”

ไขศิลป์เริ่มรู้สึกดีที่มีคนเข้าใจกัน ส่งยิ้มให้เป็นคำขอบคุณ

ปรียานุชยิ้มให้เขา แล้วแจกแจงต่อ “พรุ่งนี้จะมีหลานสาวของพี่ ครอบครัวของเพื่อนพี่ และก็มีนินด้วยนะ มาเล่นด้วยกันสิ” เธอพยายามเน้นชื่อคนสุดท้ายให้เขาได้ยิน

ชายหนุ่มเห็นเธอเอ่ยชื่อของฐานินด้วยหน้าตายิ้มแย้มราวกับอยากให้ถึงพรุ่งนี้โดยไว จึงตีหน้านิ่ง พูดด้วยเสียงเรียบ “ผมมาเล่นด้วยก็ได้”

เขาต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อขัดขวางไม่ให้คนทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน เพราะไขศิลป์ยังคิดว่าเธอคงจะเห็นโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับเพื่อนของเขาให้มากขึ้นจึงมีท่าทีเบิกบาน

ส่วนเธอรับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่พอใจที่เธอเอ่ยชื่อของฐานิน ก็คิดว่าเขาออกอาการหวงแหนหวานใจ แม้กระทั่งชื่อก็ยังไม่ยอมให้เธอเอ่ยถึง

เมื่อเห็นว่าเด็กชายมีท่าทีสงบดีแล้ว และเขาเหมือนจะบึ้งตึงกับเธอขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทั้งที่ก่อนหน้าก็คุยด้วยกันดีๆ หญิงสาวจึงขอตัวกลับ ปล่อยเขาไว้ให้อยู่กับเด็กชายที่ยังสนใจแต่หน้าจอ

ไขศิลป์มองเธอเดินออกไปจากบ้านโดยไม่เดินไปส่ง เพราะไม่อยากคลาดสายตาจากหลานชาย

พอไม่นาน บิดามารดาก็กลับมาถึงบ้าน เขาไม่ได้บอกแม่ให้รู้ว่าเธออยากจะพบกับพ่อแม่ของกีตาร์ เพราะพรุ่งนี้เธอคงจะถามด้วยตัวเอง

พอนึกถึงวันพรุ่งนี้ เขาอดยิ้มกริ่มในใจไม่ได้

เมื่อแผนของเธอที่คิดจะก่อสัมพันธ์กับเพื่อนชายจะต้องพังทลาย ถ้ามีเขาอยู่เคียงข้างฐานิน



Don`t copy text!