ละเล่นลานรัก บทที่ 7 : เด็ก (เริ่ม) มีปัญหา

ละเล่นลานรัก บทที่ 7 : เด็ก (เริ่ม) มีปัญหา

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ถนนทอดยาวมุ่งสู่บ้านของตน มีเสาไฟฟ้าตามรายทางตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะ หลอดไฟส่องแสงสว่างในยามพลบค่ำ ปรียานุชเพิ่งจะเลิกงาน เนื่องจากสถานที่ทำงานตั้งอยู่ไม่ไกลจึงใช้เพียงขาสองข้างก้าวเดินไปตามทางประมาณสิบห้านาทีก็ถึงที่หมาย

เกือบสุดซอยนั้นเป็นบ้านของเธอซึ่งด้านหนึ่งติดกับสวนผลไม้ของผู้อื่น อีกด้านเป็นบ้านของเพื่อนบ้านที่เธอได้เข้าไปเยือนในวันก่อน พอเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะเมียงมองไปทางห้องนอนของชายหนุ่มรุ่นน้องซึ่งมีแสงไฟให้เห็นตรงกระจกใสบนบานหน้าต่าง

ปรียานุชไขกุญแจตรงประตูหน้าบ้าน ตัวบ้านยังไม่มีแสงไฟเหมือนบ้านหลังอื่น เพราะพ่อแม่พากันออกไปต่างจังหวัดคงจะกลับดึก เธอเดินผ่านลานกว้างซึ่งยังมีความเลือนรางจากแสงไฟข้างทางให้เห็นทางเดินรำไรจนเปิดสวิตช์ไฟตรงด้านหน้าประตูบ้าน

หญิงสาวทำงานที่คลินิกหรือสถานพยาบาลที่เน้นบริการผู้ป่วยนอกซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหน้าปากซอยของถนนที่เข้ามาในชุมชนไม่มากนัก คลินิกแห่งนี้เปิดรับและทำการรักษาเด็กที่มีปัญหาในด้านต่างๆ รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองที่เป็นกังวลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกหรือพัฒนาการของเด็กอีกด้วย

ในคลินิกไม่ได้มีแค่นักกิจกรรมบำบัดหรือวิชาชีพของเธอเพียงอย่างเดียว ยังมีจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด ที่พร้อมจะรักษา ฟื้นฟู ส่งเสริม และบำบัดบรรดาเด็กที่เข้ามารับบริการได้รอบด้าน ประหนึ่งมาที่คลินิกเพียงหนเดียวก็จะได้รับการรักษาครบถ้วนสมบูรณ์แบบ

เธอเพิ่งเข้ามาทำงานได้ร่วมเดือน ด้วยประสบการณ์ในการทำงานมาหลายปี ความรู้ ความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือที่ผู้ปกครองรับรู้ได้ รวมทั้งความเป็นกันเองในการที่จะทำให้เด็กๆ ไว้วางใจก็ทำให้เด็กหลายคนชื่นชอบครูปรี จนกลายเป็นผู้ป่วยประจำของเธอซึ่งมีอยู่สิบรายในปัจจุบัน

ปรียานุชมุ่งมั่นจะเป็นนักกิจกรรมบำบัดในเด็กจนสำเร็จสมความตั้งใจ หากตอนนี้เธอคิดจะมุ่งเน้นสรรหากิจกรรมต่างๆ มาใช้บำบัดอาการของเด็กที่อยู่ในความดูแล โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันเป็นกลุ่มซึ่งเป็นแผนงานในความคิดจากที่ทำงานเดิมที่ได้เรียนรู้และศึกษาค้างไว้แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ เธอจึงตั้งใจจะนำมาใช้ในที่แห่งใหม่ หากมีแค่ปัญหาเดียวคือคลินิกนั้นมีสถานที่ไม่เอื้ออำนวย เธอจึงคิดจะเลือกใช้ลานกว้างหน้าบ้านตัวเอง

หลังจากจัดการกับอาหารที่แม่เตรียมไว้ให้จนอิ่มท้องก็ได้ยินเสียงคนกดกริ่งตรงประตูหน้าบ้าน จึงเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่มาพร้อมกับลูกชาย

“ฉันเห็นบ้านปรีเพิ่งจะเปิดไฟ คิดว่าปรีคงกลับถึงบ้านแล้ว ว่างๆ ฉันก็เลยมาคุยด้วย” ธารทิพย์จูงแขนลูกชายเดินเข้าไปหาเธอ “ไหว้น้าปรีสิลูก”

แทนไทยยกมือไหว้ปรียานุชตามคำของมารดา

เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะแทนไทยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินนำคนทั้งสองเข้าไปในบ้าน

แทนไทยนั่งตบมือสองข้าง โยกตัวไปมา จนผู้เป็นแม่ต้องจับให้อยู่นิ่งๆ

“คงอยากจะหาอะไรเล่นละสิ” ปรียานุชเอ่ยกับเพื่อน

“เป็นอย่างนี้แหละปรี นั่งเฉยๆ ได้สักพัก ก็ลุกไปนั่น วิ่งไปนู่น ยิ่งตอนนี้กำลังสอนให้ใช้ช้อนกินข้าวด้วยตัวเอง ยังทำได้นิดหน่อย ตักกินไปหนึ่งคำก็วางช้อน หันไปตบมือ เล่นโน่นเล่นนี่จนฉันต้องจับนั่งป้อนข้าวให้เองจนหมดชาม”

“เป็นบ่อยไหมล่ะ” เธอสนใจในคำบอกกล่าวของเพื่อน

“ช่วงนี้เริ่มเป็นบ่อย แต่ก่อนอยู่นิ่งๆ ได้นานกว่านี้ ไม่เหมือนลิงเหมือนค่าง ทำอะไรไม่ค่อยมีใจจดจ่อกับสิ่งนั้นเลย ส่วนมากจะชอบวิ่งไปที่อื่นหรือนั่งตบมือ โยกตัวอย่างที่เห็น ลูกฉันอยู่ไม่เป็นสุขเลย คงจะเริ่มซนตามวัยของเด็ก”

ธารทิพย์พูดไม่ทันขาดคำ ลูกชายก็เริ่มปีนลงจากโซฟา วิ่งไปหยุดมองตู้วางของตรงนั้นทีตรงโน้นที จนเธอเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยในตัวเด็ก

“มาหาน้าปรีดีกว่านะจ๊ะน้องแทน” ปรียานุชพยายามดึงความสนใจของเด็กชาย

“คาฟ เล่นด้วยกัน” แทนไทยวิ่งมาหาเธอ

“เราจะเล่นอะไรกันดีนะ ขอน้าคิดดูก่อน” เธอยกมือขวา ชี้นิ้วไปที่ศีรษะ ทำท่าทางของคนกำลังใช้ความคิด

“คิดดูก่อน คิดดูก่อน” แทนไทยพูดตามเธอ

“คิดออกหรือยังคะ” ปรียานุชถามเด็กชาย

“คิดออกแล้วคาฟ” แทนไทยส่งเสียงดัง กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แล้ววิ่งไปหามารดา “มามี้ มามี้ ขอโทรสับ”

ธารทิพย์ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ยื่นส่งให้ลูกชาย

แทนไทนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดู ใช้นิ้วจิ้มตรงหน้าจอหลายที แต่ยังไม่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น “เปิดหน่อยคาฟ จะดูตูน” เด็กชายเงยหน้าบอกเธอที่เดินเข้าไปใกล้

“แม่เปิดให้เอง” ธารทิพย์ตามใจลูกชาย

แทนไทยได้สิ่งที่สมใจก็ปีนขึ้นไปนั่งบนโซฟาทั้งที่มีโทรศัพท์มือถือในมือ จากนั้นก็ก้มหน้ามองจอภาพซึ่งเป็นการ์ตูนที่ธารทิพย์เปิดให้ดู

เธอมองเห็นพฤติกรรมของเด็กชายตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเด็กผู้ชายจมอยู่ในโลกตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ปรียานุชได้โอกาสที่จะคุยกับผู้เป็นมารดา

“ธารทำอย่างนี้บ่อยไหม”

“ฉันทำอะไรเหรอปรี” ธารทิพย์หันมาถามเพราะไม่เข้าใจคำของเธอ

“ส่งมือถือให้ลูกไปนั่งดูอย่างนั้นไงล่ะ” เธอมองไปที่แทนไทย

“ใครๆ ก็เลี้ยงเด็กแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” ธารทิพย์เอ่ยแบบไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

ปรียานุชยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทีไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนใดๆ ของเพื่อนสาว ก่อนเอ่ยขึ้น “คงจะเป็นอย่างที่เคยได้ยินมาจริงๆ พ่อแม่สมัยนี้คิดเพียงจะมีเด็ก แต่ไม่อยากเลี้ยงเองจึงผลักภาระการดูแลเด็กไปให้หน้าจอสี่เหลี่ยมแทน คนที่เลี้ยงเด็กแบบนี้จะรู้บ้างไหมว่ามีผลเสียกับเด็ก”

“ปรีคิดมากไปหรือเปล่า” ธารทิพย์เริ่มหันมาสนใจรับฟังเธอ

“ฉันไม่ได้คิดมากหรอกธาร ฉันเห็นจากพวกเด็กๆ ที่เข้ามาบำบัดกับฉัน หรือพ่อแม่ที่มาขอคำปรึกษา ส่วนใหญ่คือปัญหาจากเด็กติดจอทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะเด็กสมาธิสั้นหรือพูดช้าไม่เป็นไปตามวัย ยังมีเด็กที่ขาดทักษะสื่อสารกับผู้อื่นหรือเข้าสังคมไม่เป็นด้วยนะ ส่วนหนึ่งก็มาจากเป็นเด็กติดจอติดมือถือ”

“แต่มันสะดวกนะปรี โดยเฉพาะตอนฉันนั่งดูซีรีส์หรือตอนที่สามีฉันทำงาน พอลูกได้มือถือก็อยู่นิ่งๆ ไม่มาขัดจังหวะกันเลย ยิ่งตอนออกไปนอกบ้าน ถ้ามีมือถือส่งให้ก็อยู่เฉย หมดกังวลลูกจะวิ่งไปที่ไหน ไม่ต้องตามหาหรือคอยเฝ้าดูจนไม่เป็นอันทำอะไร ปรีจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ถ้าไม่ทำแบบนั้น” ธารทิพย์ถามเธอเป็นการทิ้งท้าย

“ธารรู้ไหม พ่อแม่ที่ไม่มีเวลาให้ลูก ปล่อยลูกอยู่กับจอมือถือหรือทีวีมากเกินไปจนกลายเป็นเด็กติดจอ ภาพบนหน้าจอที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว มีแสง สี เสียง ที่จะกระตุ้นประสาทสัมผัสตลอดเวลา จะส่งผลให้เด็กจดจ่อกับสิ่งอื่นรอบตัวที่ไม่มีแสงสีเหมือนหน้าจอน้อยลง จึงไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งอื่นที่อยู่นอกจอ สุดท้ายก็กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ทีนี้จะโทษใคร ถ้าไม่ใช่การเลี้ยงดูของพ่อแม่”

ปรียานุชตั้งใจอธิบายให้เพื่อนสาวรับรู้ แม้จะรู้ดีว่าธารทิพย์นั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้ซีรีส์วาย เพราะแต่ก่อนชอบอ่านนิยายที่มีพระเอกนายเอกหรือตัวละครผู้ชายคู่กัน ด้วยเหตุนี้อาจส่งผลให้ธารทิพย์คิดว่ารุ่นน้องข้างบ้านกับเพื่อนชายเป็นหวานใจกันซึ่งเธอเริ่มที่จะเชื่อเช่นนั้น แม้ไม่ได้โปรดปรานเท่าเพื่อนสาว

แต่ความชื่นชอบของแม่ก็ไม่ควรส่งผลเสียให้ลูก เมื่อแม่ไม่อยากให้ลูกกวนใจตอนใช้เวลาดูซีรีส์

“ปรีจะบอกอะไรกับฉันก็บอกมาเถอะ” ธารทิพย์รับรู้ถึงความหวังดีของเธอเสมอ

“ฉันคิดว่าน้องแทนมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ถ้าธารยังให้ลูกดูแต่มือถืออยู่อย่างนั้น จะอ้างว่าไม่อยากให้ลูกรบกวนเวลาทำสิ่งต่างๆ นั้นไม่ได้นะ ลูกของเราเองก็ควรสอนให้เข้าใจและเชื่อฟังเรา ไม่ใช่จะแก้ปัญหาด้วยการส่งมือถือให้ แต่ฉันไม่ได้มีอคติกับเด็กเล่นมือถือหรอกนะ ให้ใช้ได้ แต่ต้องจำกัดเวลาหรือกำหนดกฎกติกาเพื่อให้เด็กทำตาม” ปรียานุชเห็นเพื่อนตั้งใจรับฟังก็พูดต่อ “ฉันคิดว่าน้องแทนเริ่มจะเป็นเด็กติดจอ ดังนั้นเราต้องกันไว้ดีกว่าที่จะมาแก้ไขกันทีหลัง ต้องให้ลูกทำอย่างอื่นร่วมกับพ่อแม่บ้าง หรือพ่อแม่ต้องใช้เวลาเล่นกับลูกด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกเล่นอยู่คนเดียว แม้จะไม่ใช่มือถือก็ตาม”

“แล้วซีรีส์ที่ฉันติดอยู่ตอนนี้ จะให้ทำยังไงดีล่ะ พระเอกกับนายเอกกำลังทำให้ฉันฟินจิกหมอนทุกตอนเลย” ธารทิพย์ถามด้วยเสียงอ่อนเพราะกลัวเธอจะต่อว่าต่อขานกันอีก

ปรียานุชส่ายศีรษะให้คำกล่าวของเพื่อน เธอเองก็จนปัญญาที่จะหาทางออกสำหรับเรื่องดังกล่าว “ธารแบ่งเวลาดีๆ ก็แล้วกัน อย่าดูมากไปจนลืมน้องแทน”

“ปรีก็พูดได้ ลองมาเป็นฉันบ้างสิ คนกำลังดูฟินๆ จะให้มาหยุดฟินดื้อๆ ไม่ได้หรอก มันต้องฟินให้สุดนะ จะมากำหนดเวลาเลิกดูได้ยังไง”

เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อถึงเรื่องนั้น จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเมื่อไพล่ไปนึกถึงรุ่นน้องข้างบ้าน “ฉันได้คุยกับศิลป์ก็ปกตินะ คงไม่เป็นโรคร้ายหรือติดยาตามที่ชาวบ้านพูดกันหรอก”

“เห็นไหม ฉันบอกแล้ว ต้องเป็นตามที่ฉันคิดไว้แน่นอน ปรีคิดว่าน้องเป็นยังไงล่ะ” ธารทิพย์หันมาสนใจเรื่องของไขศิลป์ทันควัน

“ฉันพูดไม่ได้หรอก เหมือนความลับคนไข้ที่บอกผู้อื่นไม่ได้ ตอนนี้ฉันกำลังหาทางช่วยศิลป์ แต่ต้องขอความร่วมมือกับนินด้วย”

“นินคือใครล่ะ คนที่คลินิกเหรอ”

“เพื่อนของศิลป์ คนที่มาหาศิลป์บ่อยๆ คนนั้นนั่นแหละ” เธอตอบคำถามของเพื่อน

“ฉันเห็นมาบ้านหลังนั้นออกจะบ่อย ยังไม่รู้จักเท่าปรีเลย ปรีเจอสองคนนั้นแล้วคิดว่าจะใช่คู่รักกันจริงหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมฟิน จิ้นน้องศิลป์กับน้องนินไว้ก่อน ศิลป์นิน แค่ชื่อก็เข้ากันแล้วสิ” ธารทิพย์คิดฝันไปไกลเหมือนกำลังนั่งดูซีรีส์วายที่อาจจะกลายเป็นภาพจริงให้เห็นตำตา

ปรียานุชอุตส่าห์เลี่ยงหลบไม่ให้เพื่อนนึกถึงสิ่งที่โปรดปราน แต่คงเลี่ยงได้ยาก จึงบอกถึงสิ่งที่ตั้งมั่นกับตัวเอง “ฉันอยากจะช่วยให้ศิลป์เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ออกมาจากบ้านได้ ไม่ใช่อยู่แต่ในห้องซึ่งอาจจะมีผลที่น่ากลัวตามมา”

“ปรีจะทำไงล่ะ” ธารทิพย์ยังสนใจเรื่องที่เธอเล่าให้ฟัง

“ฉันเป็นนักกิจกรรมบำบัดก็ต้องหากิจกรรมสักอย่างมาช่วยให้ศิลป์มีชีวิตปกติมากที่สุด ฉันจะลองใช้การละเล่นไทยซึ่งมีประโยชน์และคุณค่าหลายด้าน โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะมีการละเล่นหลายอย่างที่ต้องร่วมเล่นกันเป็นกลุ่ม คงเหมือนกับการฝึกเข้าสังคมไปในตัว”

พอเล็งเห็นถึงปัญหาของไขศิลป์จึงคาดว่าการละเล่นไทยน่าจะช่วยแก้ไขได้ระดับหนึ่ง

“ปรีจะนำการละเล่นมาใช้ยังไง น้องจะมาเล่นด้วยเหรอ โตเป็นหนุ่มขนาดนั้นแล้ว”

“การละเล่นไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กเท่านั้นจะเล่นได้หรอกนะ พ่อแม่ก็ใช้เล่นกับลูกได้ ฉันกำลังจะจัดกิจกรรมให้พวกเด็กๆ พอดี ธารพาน้องแทนมาเล่นด้วยกันสิ นอกจากจะได้เพื่อน ได้ความสนุกสนาน ได้รู้จักการเข้าสังคม ยังได้ใช้เวลาร่วมกันระหว่างพ่อแม่ลูกด้วยนะ เด็กที่ฉันจะพามาร่วมเล่นด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กที่เคยชอบอยู่กับหน้าจอมาก่อนทั้งนั้นเลย”

“น่าสนใจมากเลยนะ เด็กๆ สมัยนี้คงไม่รู้จักกันแล้วการละลงการละเล่นไทย อย่าว่าแต่เด็กสมัยใหม่เลย ฉันเองตอนนี้ก็เกือบลืมไปหมดแล้ว เพราะไม่เคยเห็นใครนำมาเล่นกัน” ธารทิพย์ดูมีท่าทีสนอกสนใจมากเป็นพิเศษที่จะเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของเธอ “ถ้าจัดกิจกรรมวันไหน อย่าลืมมาบอกฉันด้วย”

ปรียานุชตั้งใจจะใช้การละเล่นไทยกับเด็กที่อยู่ในความดูแลและไขศิลป์ เพราะมองเห็นถึงประโยชน์ที่จะนำมาใช้ในคราวเดียวกันได้ อีกทั้งยังอยากให้เด็กสมัยนี้ได้รู้จักการละเล่นไทยซึ่งมีมากมายที่จะมอบความสนุกสนานได้เทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าการนั่งเล่มเกมในโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์

แทนไทยเริ่มงัวเงียเพราะใกล้ช่วงเวลาเข้านอน ก่อนธารทิพย์จะพาลูกชายกลับบ้าน เธอยังเน้นย้ำเรื่องที่ไม่ควรเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กติดจอ เพื่อนสาวเหมือนจะเริ่มเป็นกังวลเพราะไม่อยากให้ลูกชายต้องกลายเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือมีปัญหาด้านอื่นตามมา จึงทำตามคำแนะนำของเธอและยังเตรียมพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นไทยที่เธอจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

 

ปรียานุชยืนคุยกับศศิตรงบริเวณหน้าประตูบ้านของเธอ พอไม่นานก็เห็นฐานินขับรถยนต์มาจอดด้านข้างกำแพงบ้านตรงตามเวลาที่นัดหมายกันไว้

ชายหนุ่มออกมายืนนอกรถ หันหน้ามองพวกเธอแล้วเดินเข้าใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เธออดที่จะมองการแต่งกายของฐานินไม่ได้ เห็นถึงความพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าให้เข้าชุดกัน อีกทั้งผิวพรรณเนียนใสหมดจดชวนมองบ่งบอกถึงการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี

วันนี้จะเข้าไปหาไขศิลป์ซึ่งอาจบอกเรื่องปมในใจให้ได้ทราบ เมื่อมีคนคุ้นเคยและไว้ใจอยู่ใกล้ๆ เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาได้ตรงจุด

“พวกเราไปกันเลยดีไหมครับพี่” ฐานินถามเธอด้วยเสียงสดใส

หลังจากที่ปรียานุชนำเรื่องพฤติกรรมของรุ่นน้องข้างบ้านไปสอบถามจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อหาข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ปัญหา ซึ่งพอจะมองเห็นแนวโน้มต่อสิ่งที่ไขศิลป์เป็นอยู่ แต่อยากรู้ให้แน่ชัดว่าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานหรือไม่ ก่อนจะบอกกล่าวบุคคลใกล้ชิดตัวเขาให้เข้าใจกับสิ่งที่เขาเป็น

คนทั้งสามพากันเข้าไปในบ้านของศศิ ปรียานุชเดินผ่านลานกว้างซึ่งเป็นพื้นที่ว่างโล่งเหมาะสำหรับจัดกิจกรรมไม่ต่างจากบ้านของเธอ

ปรียานุชบอกให้ฐานินไปตามไขศิลป์ให้ลงมานั่งคุยกันที่โต๊ะอาหารชั้นล่าง เธออยากให้เขาออกมาจากห้องในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อดูท่าทีหรืออาการที่จะแสดงให้เห็นต่อหน้าต่อตา

เพียงไม่นาน ฐานินเดินนำหน้าไขศิลป์มาหาพวกเธอ

แต่พอไขศิลป์เห็นปรียานุชก็หยุดชะงัก จนฐานินต้องหันหลังกลับไปมอง

เขาแสดงสีหน้าซึ่งมีแต่คำถามที่ว่าทำไมไม่บอกกันก่อนว่ามีบุคคลอื่นอยู่ข้างล่าง

ฐานินเข้าใจเขาทันที “พี่ปรีอยากคุยกับแกนะศิลป์”

ไขศิลป์หมุนตัว รีบจ้ำอ้าวไปยังบันได ก้าวขาขึ้นบนชั้นสอง จากนั้นก็เข้าห้องนอนของตัวเอง พร้อมทั้งปิดประตู โดยไม่ฟังคำของเพื่อนสนิท

“อ้าว! ศิลป์ แกจะไปไหน มาคุยกันก่อนสิ”

ปรียานุชและศศิมองเห็นชายหนุ่มสองคนหยุดยืนกลางคัน เมื่อไขศิลป์หันหลังวิ่งไปทางบันไดเหมือนจะหนีหน้ากัน เธอก็ได้แค่ยิ้มน้อยๆ ให้ศศิอย่างคนเข้าใจทุกอย่างดี

“น้าศิไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าศิลป์ไม่กล้าลงมาพูดกับปรี ปรีจะไปพูดกับศิลป์เอง” เธอลุกขึ้นยืน เดินไปยังห้องนอนของเขา

 



Don`t copy text!