ละเล่นลานรัก บทที่ 8 : ตบแผละแซะคำตอบ

ละเล่นลานรัก บทที่ 8 : ตบแผละแซะคำตอบ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ไขศิลป์ยืนกอดอกมองเพื่อนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงไม่ค่อยจะพอใจนัก “ทำไมแกไม่บอกฉันว่ามีพี่ปรีอยู่ข้างล่าง”

เขาไม่ได้มีอาการวิตกจนตื่นกลัวพี่สาวข้างบ้านเหมือนเจอคนแปลกหน้ายามออกไปข้างนอก เพียงแค่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมปรียานุชไม่ยอมเข้ามาพูดจากันโดยตรงซึ่งไม่ต้องใช้แผนการอย่างโยนก้อนหินเข้าห้องหรือใช้บุคคลที่สามในการที่จะได้พูดคุยกัน ทำราวกับเข้าถึงตัวเขาได้ยาก ทั้งที่ปรียานุชก็เป็นอีกคนที่เขาเคยคุ้นและไว้วางใจไม่ต่างจากคนในครอบครัว แม้จะห่างเหินกันไปนานหลายปีก็ตาม

“ทำไมแกไม่อยากเจอหน้าพี่ปรี” ฐานินถามกลับ

เขาไม่ยอมตอบ แล้วยังถามขึ้นอีก “แกไปรู้จักพี่ปรีตอนไหน เรียกกันอย่างสนิทสนมขนาดนั้น”

“ได้คุยกันอาทิตย์ก่อน ทำไมจะเรียกพี่ปรีไม่ได้ หรือแกจะเก็บไว้เรียกคนเดียว”

ยิ่งได้ฟังคำของเพื่อน อารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัวโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาจึงไม่ได้กล่าวถึงเธออีก จนเพื่อนชายเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนลง

“ทุกคนอยากช่วยแกนะศิลป์ โดยเฉพาะพี่ปรีที่อยากให้แกออกไปรับงานด้วยตัวเอง”

“แกเล่าเรื่องของฉันให้พี่ปรีฟังหมดแล้วสิ” เขาหัวเราะในลำคอ

“ใช่” ฐานินทำเป็นยักไหล่แบบไม่แยแส “ฉันอยากให้แกหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าแกไม่เห็นความหวังดีของฉันหรือของพี่ปรี ก็เลิกคุยกันแค่นี้ แกหาทางแก้ไขด้วยตัวเองแล้วกัน”

“ใครบอกว่าฉันไม่อยากคุยกับพี่ปรี” เขาบอกเพื่อนที่ส่ายศีรษะให้กับการกระทำและถ้อยคำซึ่งเหมือนจะสวนทางกัน

เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะการสนทนาระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง

ฐานินเป็นฝ่ายเปิดประตูเชื้อเชิญเธอให้เข้ามาคุยกัน แต่ไขศิลป์รีบก้าวขาไปหยุดยืนตรงทางเข้าห้องคล้ายขัดขวางไม่ให้เธอเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัว

“พี่อยากจะคุยกับศิลป์ ขอรบกวนเวลาสักครู่นะ” ปรียานุชเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขาก่อน

ฐานินต้องแทรกตัวเบียดเขาเพื่อออกมานอกห้อง แล้วยืนเคียงข้างหญิงสาว

“จะคุยอะไรกันอีกล่ะ รู้เรื่องของผมหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงห้วน พลางส่งสายตาไปทางฐานินซึ่งมีสายตาห้ามปรามมาทางเขาเช่นกัน

ปรียานุชยังใจเย็น เพราะเตรียมตัวรับมือมาเป็นอย่างดีสำหรับจัดการกับเด็กดื้อที่อาจจะโตแค่ตัว

“มีคนเป็นห่วงศิลป์ตั้งเยอะแยะ อยากให้ศิลป์มีชีวิตดีกว่านี้ ไม่ต้องอยู่แค่ในห้องนอนหรืออยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะน้าศิที่ขอให้พี่มาช่วยศิลป์ ถ้าไม่คิดจะทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อพ่อแม่ก็ได้นะ”

“พี่มาช่วยผมแล้วจะได้อะไร” เขาโพล่งถามออกไป

“ก็ไม่ได้อะไร” เธอแบมือทั้งสองข้าง “แต่ที่พี่มาช่วย เพราะอยากเห็นน้องที่เคยดูแลกันตอนเด็กๆ มีชีวิตที่ดีขึ้น จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้เหมือนคนไม่รู้จักกันได้ยังไง”

ไขศิลป์พยายามตีหน้านิ่ง ทั้งที่ภายในนั้นแสนจะเปรมปรีดิ์ที่หญิงสาวยังจำช่วงเวลาที่เคยมีกันและกันได้

“พี่จะทำอะไรกับผมล่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่าผมยังออกไปไหนไม่ได้ อย่ามาบังคับกันเลย”

คำกล่าวของเขาทำให้เธอมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “ถ้ายอมทำก็จะรู้เอง กล้าไหมล่ะ พี่รับประกันยังไม่พาออกไปจากบ้านหรอก ถ้าศิลป์ไม่ยินยอม”

ปรียานุชต้องค่อยๆ ประล่อมเพื่อให้เขาโอนอ่อนยอมกระทำในหลายสิ่งที่เธอต้องการ

ไขศิลป์หันมองไปทางเพื่อนสนิทที่คล้ายจะเห็นดีเห็นงามกับเธอ

“จะให้ทำอะไรก็บอกมาสิ” เขายังพูดด้วยท่าทีแข็งกระด้าง

ฐานินเห็นท่าทางของเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยเตือน “นี่รุ่นพี่ของแกนะศิลป์ พูดให้มันดีหน่อย ไม่ใช่พูดกับฉัน”

เขาไม่พอใจเพื่อนชายซึ่งเหมือนจะเข้าข้างปรียานุช แต่ต้องเก็บอาการไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม แต่ให้รู้ว่ายังไม่ค่อยจะเต็มใจนัก “พี่จะให้ผมทำอะไรหรือคาฟ”

ปรียานุชเห็นการกระทำของไขศิลป์ราวกับฝืนทำก็บอกออกมา “อยากจะพูดยังไงก็พูดเถอะ พี่ไม่ถือสาหรอก จะได้เป็นตัวของตัวเอง”

ไขศิลป์ยักคิ้วให้เพื่อนที่ตนนั้นสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้

“พี่ปรีอย่าใจดีกับมันให้มาก เดี๋ยวจะเหลิงจนไม่เห็นหัวกัน” ฐานินบอกเธอเพราะหมั่นไส้เขา

“พี่ขอเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ไหนๆ ก็มีเวลาทั้งวันแล้ว แต่ต้องนั่งเล่นด้วยกัน ไปนั่งที่โต๊ะด้านล่างดีกว่า น้าศิคงรอนานแล้ว” ปรียานุชเริ่มสร้างความเป็นกันเองให้กับเขา

ไขศิลป์ก้าวขาออกมานอกห้องนอนแล้วปิดประตู ก่อนลงนั่งบนพื้นด้านหน้าประตูห้อง “ขอนั่งตรงนี้ ลองดูก่อนได้ไหม พี่จะทำอะไรกับผม”

เขาแค่อยากยียวนหญิงสาวและเพื่อนชาย ทั้งที่สามารถลงไปด้านล่างได้เหมือนทุกวันที่ลงไปรับประทานอาหารพร้อมครอบครัว

ปรียานุชหันไปมองฐานินที่แสดงสีหน้าเอือมระอาเต็มทน ยามเห็นท่าทีของเขา

“แกลุกขึ้นเถอะศิลป์ นี่บ้านของแกเอง จะกลัวอะไร”

“ไม่เป็นไรหรอกนิน นั่งตรงนี้ก็ได้ พี่สบายมาก” เธอบอกฐานิน จากนั้นก็ลงนั่งบนพื้นตรงข้ามไขศิลป์

ฐานินไม่อยากยืนหัวโด่อยู่คนเดียวจึงต้องลงไปนั่งในท่าเดียวกัน

ปรียานุชอธิบายวิธีการเล่นตบแผละให้ชายหนุ่มทั้งสองรับฟัง เพราะเธอตั้งใจจะใช้การละเล่นไทยช่วยฉุดไขศิลป์ออกมาจากห้อง พอเธอพูดจบ ไขศิลป์ก็เอ่ยขึ้นทันที

“พี่เห็นผมเป็นเด็กเล็กๆ ไปได้ จะสอนให้นั่งตบมือกัน ถ้ามาช่วยแค่นี้ คิดว่าผมทำไม่ได้เหรอ เสียเวลาเปล่าๆ”

“เฮ้ย! ศิลป์ แกลองทำที่พี่ปรีบอกก่อนก็ได้ ฉันคิดว่ามันน่าสนุกดีเหมือนกัน” ฐานินรีบเอ่ยสนับสนุนเธอ เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมจะกลับเข้าห้อง

ไขศิลป์จับลูกบิดประตู เธอก็พูดอย่างหน้าตาเฉย “ถ้าง่ายๆ แค่นี้ยังไม่อยากทำ แล้วอะไรที่ยากกว่านี้จะกล้าทำได้เหรอ”

เขาชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู เอ่ยทั้งที่ยังยืนหลังหันให้คนที่นั่งบนพื้น “พี่อย่ามาดูถูกคนอย่างผม”

“พี่ไม่เคยคิดดูถูกใคร แต่ประเมินจากสิ่งที่เห็น อะไรนิดอะไรหน่อยก็หนีเข้าห้อง เป็นแบบนี้ เมื่อไหร่จะแก้ปัญหาที่เป็นได้สักที ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกอย่างนี้” ปรียานุชหัวเราะในลำคอ ตั้งใจจะเย้ยหยันให้อีกฝ่ายได้ยินจะจะหู

ไขศิลป์ลงนั่งบนพื้นหน้าประตูห้องตรงจุดเดิม “เล่นก็เล่น ของง่ายๆ พรรค์นี้ ผมทำได้อยู่แล้ว”

ปรียานุชนั่งเล่นตบแผละกับไขศิลป์ เหมือนที่เคยเล่นกับหลานสาว จนเขาทำตามเธอได้หมดทุกท่วงท่า ไม่มีผิดพลาดให้เห็นในทุกจังหวะความเร็ว เธอพลิกแพลงการเล่นตบแผละไปอีกขั้น เมื่อใช้สองมือได้ดีแล้วก็เปลี่ยนเป็นมือทีละข้าง รวมทั้งยังใช้หน้ามือกับหลังมือมาตบกันพร้อมกับคำร้อง

“ตบแผละ ตบแผละ ตบแผละ เสียงดัง แปะ แปะ มาตบแผละกัน ตบซ้าย ตบขวา ตบซ้าย ตบขวา

ตบหน้า ตบหลัง ตบหน้า ตบหลัง แล้วตบตรงกลาง ดัง แปะ แปะ

ฐานินเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าพึงพอใจที่เขามุ่งมั่นกับการเล่นตบแผละจึงปล่อยเขาไว้ให้อยู่กับเธอ

“ขอลงไปเข้าห้องน้ำนะครับพี่ปรี”

ขณะที่หญิงสาวเล่นตบแผละกับชายหนุ่มเพียงสองคน แม้จะไม่มีบทร้อง เขาก็ยังตบมือกับเธอไปตามลำดับได้อย่างคล่องแคล่ว พอเธอเห็นความจริงจังของเขามากเกินไปจึงลดความเร็วเพื่อที่จะได้คุยกัน

“ศิลป์เป็นเพื่อนกับนินมานานแล้วเหรอ” ปากก็พูดไป มือก็ยังตบแผละกับเขา

ไขศิลป์ชะงักมือ แล้วก็ตบมือของเธอต่อ “พี่อยากจะรู้ไปทำไม”

“เห็นสนิทและเป็นห่วงกันดี” ปรียานุชยั้งปากไว้ได้ทัน เกือบจะถามไปแล้วว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า

“รู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงป่านนี้” เขาตอบสั้นๆ ให้ได้ใจความกระชับที่สุด

“พี่ว่านินเป็นคนที่เป็นกันเองดีนะ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย อัธยาศัยดี คุยสนุกด้วย” เธอพูดถึงฐานิน พลางสังเกตสีหน้าไขศิลป์ที่เหมือนจะยิ้มน้อยๆ

“นินเป็นคนอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว คนอื่นมักจะหลงใหลโดยไม่รู้ตัว” ไขศิลป์เริ่มรู้สึกว่าหญิงสาวจะสนใจฐานินเป็นพิเศษจึงพูดดักทางไว้ก่อน “ถ้าพี่จะชอบนินก็ได้ แต่นินมีแฟนแล้ว”

ปรียานุชยังส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมนึกในใจ คิดจะกันท่าฉันละสิ!

เธอเหมือนจะรู้ทันเขา แต่ยังเออออไปกับเขาด้วย “พี่ดูออก พี่ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว นินคงจะมีแฟนแล้ว ศิลป์ล่ะมีแฟนหรือยัง” เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่เธอจะถามเขาอย่างโจ่งแจ้ง

ไขศิลป์ไม่ยอมตอบ หากถามกลับ “แล้วพี่ล่ะ โสดหรือมีแฟน”

“พี่ยังโสด แต่ก็เคยมีแฟนนะ” เธอตอบไปตามจริงเพื่อให้เขาตอบความจริงกลับมาบ้าง

เขาเริ่มมองเห็นเค้าลางบางอย่างสำหรับหญิงสาวที่อยากพูดคุยกันโดยมีเพื่อนคอยหนุนหลัง จนคิดไปไกลว่าพี่สาวข้างบ้านอาจสนใจในตัวฐานินจึงใช้เขาเพื่อเป็นข้ออ้างในการตีสนิท

“แต่เพื่อนของผมไม่โสดนะ” เขาย้ำอีกครั้ง

“คบกันนานหรือยัง” เธอทำเป็นชวนคุยต่อ

“พี่จะรู้ไปทำไม แค่รู้ว่านินมีแฟนแล้วก็พอ” ไขศิลป์เริ่มไม่พอใจ

เธอคิดหาคำถามที่ดูเข้าที แต่ยังไม่เจอจนต้องถามย้ำอีกครั้ง “ศิลป์ล่ะ มีแฟนแล้วหรือกำลังคบหาดูใจกันอยู่ หรือโสด”

ไขศิลป์ลุกขึ้นยืน เปิดประตูเข้าห้อง หากก่อนจะปิดประตูก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแข็งเหมือนที่เคยเป็น “วันนี้พอก่อน นั่งเอามือตบกันแบบนี้ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย ไปนั่งเล่นเกมในคอมสนุกกว่าตั้งเยอะ”

ปรียานุชไม่รู้ว่าตนนั้นพูดคำไหนผิดไป หรืออาจเป็นคำถามล่าสุดที่ไปจี้ใจดำจนเขาไม่อยากเสวนากันต่อ จึงอดล่วงรู้เรื่องราวของเขาที่อยากรู้ในทันที

เมื่อนึกถึงคำถามที่ไขศิลป์ไม่ยอมตอบ คงมีส่วนไม่น้อยที่จะทำให้รู้ว่าบางทีเขาอาจจะยอมรับตัวเองไม่ได้ที่ชอบเพศเดียวกันจึงเป็นเหตุให้ไม่อยากออกไปพบใครต่อใคร

นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการแท้จริง

ปรียานุชแค่ชิมลางเพื่อดูท่าทีของไขศิลป์ ซึ่งไม่ต่างจากการเข้าไปหาเด็กที่เข้ามารับการบำบัด โดยเริ่มสร้างความคุ้นเคยและความไว้ใจกันทีละน้อยเพื่อจะได้ยอมทำตามในคราวถัดไป

หญิงสาวเดินลงไปชั้นล่าง เจอฐานินออกมาจากห้องน้ำเข้าพอดีจึงเดินตามหลังมาด้วยกัน

“ศิลป์เป็นไงบ้าง พอจะช่วยได้ไหมหนูปรี” ศศิเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าเธอ

“ลูกของแม่ศิน่ะเหรอครับ” ฐานินพูดขึ้นมาก่อน “คุ้มดีคุ้มร้ายจนผมตามอารมณ์ของมันไม่ทัน น่าจะไปลากตัวมันมานั่งคุยกันตรงนี้ให้รู้เรื่องกันไปเลย”

“แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ อย่าเพิ่งบังคับกันจนทำให้ไม่อยากทำอะไร วันนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ศิลป์ยอมทำตามที่ปรีให้ทำ ไม่ได้คิดจะปฏิเสธไปเสียทั้งหมด”

“ใจจริงของมันก็คงอยากได้งานทำ แต่สิ่งที่เกิดกับมัน ทำให้ไม่กล้าออกไปรับงานเอง ถ้าพี่ช่วยมันให้หายได้ ผมจะยินดีกับมันด้วย” ฐานินพูดกับเธอ

ปรียานุชรับรู้ถึงความปรารถนาดีและความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ไขศิลป์อย่างชัดเจน

คนรักกันคงจะเป็นเช่นนี้ ส่งความรู้สึกดีๆ และความหวังดีให้แก่กันเสมอ เธอให้เหตุผลกับตัวเอง หลังจากได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มสองคนในวันนี้

“ศิลป์เหมือนน้องชายคนหนึ่งของพี่ เห็นมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ก็อยากจะช่วยให้มีชีวิตดีขึ้นให้ได้” เธอบอกฐานินเพื่อให้ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะแอบคิดกับไขศิลป์เกินความเป็นพี่เป็นน้องกัน

“น้าต้องขอบคุณหนูปรีมากๆ นะ ที่อยากจะช่วยลูกของน้า” ศศิซาบซึ้งในน้ำใจของหญิงสาว

ปรียานุชนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดกับเจ้าของบ้าน “ถ้าปรีจะขอจัดกิจกรรมตรงลานหน้าบ้านของน้าศิได้ไหมคะ อาจจะมีเสียงดังสักหน่อยหรือวุ่นวายสักนิด เพราะส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆ”

“ได้เลยจ้ะหนูปรี บ้านนี้ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ มานานแล้ว” ศศิตอบตกลงด้วยความยินดี

ตอนแรกเธอเลือกจัดกิจกรรมที่บ้านของตัวเอง แต่พอได้ยินคำพูดของไขศิลป์ก็รู้ว่าเขาคงไม่มาร่วมกิจกรรมที่บ้านของเธอง่ายๆ จึงต้องเปลี่ยนสถานที่เป็นบ้านของเขา เพื่อให้เขาเข้าร่วมกิจกรรมโดยไร้ข้อแม้หรือยากที่จะเลี่ยงได้

“พี่ปรีจะจัดกิจกรรมอะไรหรือครับ” ฐานินถามขึ้น

ปรียานุชเล่าถึงการจัดกิจกรรมการละเล่นไทยให้คนทั้งสองรับฟังอย่างคร่าวๆ เพื่อใช้บำบัดเด็กที่อยู่ในความดูแลและอาจจะช่วยแก้ปัญหาของไขศิลป์ได้อีกด้วย เพราะเชื่อว่าประโยชน์ของการละเลยไทยคงทำให้กล้าออกไปสู่สังคมได้ จากการที่ได้สร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นขณะเล่นด้วยกัน

“ผมขอร่วมเล่นด้วยคน น่าจะสนุกดี” ฐานินเอ่ยขึ้น หลังจากรับทราบวันเวลาที่เธอจะจัดกิจกรรม “แล้วผมจะช่วยพี่ปรีเอง จะพามันมาบำบัดกับพี่ปรีให้ได้”

“อย่าพูดขนาดนั้นเลย พี่แค่คิดว่าเป็นหนทางหนึ่งที่อาจจะช่วยศิลป์ได้ แล้วอย่าไปบอกศิลป์ให้มาบำบัดกับพี่ เดี๋ยวศิลป์จะคิดว่าเป็นโรคอะไรขึ้นมา เพราะบางคนยังรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือคอยบอกตัวเองเสมอว่าไม่ได้เป็นอะไร”

“บางทีมันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเป็น หรือบางทีมันอาจรู้ แต่ยังรับไม่ได้จนถึงทุกวันนี้” ฐานินเห็นด้วยกับเธอจากการที่รู้จักไขศิลป์มานานหลายปี

เธอพอจะคาดเดาได้ว่าฐานินพูดถึงเรื่องใด ซึ่งคงหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เพื่อนสาวเคยพูดให้ฟังว่าชายหนุ่มทั้งสองคงเป็นหวานใจกัน

แม้อยากจะถามว่าไขศิลป์เป็นอะไร แต่ต้องเก็บงำไว้ถามฐานินตอนอยู่เพียงสองคนน่าจะดีกว่า

ตอนนี้เธอรู้มากขึ้นว่าคนหนึ่งคงยอมรับกับสิ่งที่เป็นได้ ขณะที่อีกคนนั้นยังยอมรับตัวเองไม่ได้ จึงปิดกั้นความเป็นจริงเรื่อยมาจนยากที่จะออกมาเผชิญหน้ากับคนที่ไม่คุ้นเคย

เธอจะต้องทำให้ไขศิลป์ยอมรับตัวเองให้ได้ รวมทั้งพ่อแม่ของเขาก็ต้องรับให้ได้กับสิ่งที่ลูกชายเป็น เพราะสังคมปัจจุบันเท่าเทียมกันในด้านความรัก ถึงแม้จะมีคนหลายคู่เปิดเผยแบบไม่แคร์ใคร ขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนแท้จริงให้ผู้อื่นรับรู้ จนลุกลามส่งผลต่อการทำงานและการเข้าสังคม

ปรียานุชมุ่งเน้นให้ฐานินช่วยเหลือบุคคลอันเป็นที่รักให้กลับมามีชีวิตดีขึ้น เสมือนผู้ปกครองต้องใช้เวลากับลูกให้มากขึ้นเพื่อปรับพฤติกรรมของเด็ก

หลายสิ่งหลายอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นซึ่งคงเห็นผลได้ในไม่ช้า



Don`t copy text!