ละเล่นลานรัก บทที่ 6 : เด็กชายวุ่นวาย

ละเล่นลานรัก บทที่ 6 : เด็กชายวุ่นวาย

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ศศิต้อนรับโสมส่องซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ที่มาเยี่ยมเยียนกันโดยมิได้บอกกล่าว หากคนเป็นน้องสาวไม่ได้มาเพียงลำพัง ยังมีเด็กผู้ชายติดสอยห้อยตามมาด้วยกัน แต่เด็กคนนั้นเหมือนจะไม่ค่อยสนใจสิ่งใด นอกจากของที่กำลังถืออยู่ในมือ แม้แต่ขณะเดินเข้าไปในบ้าน เด็กชายก็ยังไม่ละสายตาจากสิ่งที่สนใจ จนโสมส่องต้องจูงแขนผู้ที่มาด้วยกัน

“วันนี้ขับรถผ่านบ้านของพี่เหรอ ถึงแวะมาให้เห็นหน้า” ศศิถามทันทีที่พาผู้มาเยือนเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“น้องตั้งใจจะแวะมาหาพี่ศิต่างหาก” โสมส่องแก้ต่าง หลังจากได้ยินคำค่อนแคะของพี่สาว แม้รู้ตัวดีว่านานๆ ทีจะได้พบหน้ากัน ถ้าไม่มีเรื่องอยากระบายให้ฟังกันซึ่งๆ หน้า

“มีเรื่องหนักอก อยากเล่าให้พี่ฟังอีกละสิ” ศศิมองน้องสาวที่มักจะเดินทางไปนู่นมานี่บ่อยๆ เพราะเงินทองที่สามีซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนั้นเหลือไว้ให้แบบชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด ซึ่งต่างจากเธอที่มีเงินใช้แค่พอมีพอกินให้ผ่านพ้นไปวันต่อวัน

“แหม…พี่ศิก็รู้ทันเสียจริงนะ”

“อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังล่ะ หรือไปลงทุนอะไรแล้วถูกโกงมาอีก”

“อุ๊ย! พี่ศิ อย่าแช่งน้องอย่างนี้ ไม่ดีเลย ไม่กี่วันก่อนน้องเพิ่งวางเงินลงทุนไปเอง นี่ก็ลุ้นอยู่ว่าจะถูกโกงอีกหรือเปล่า” โสมส่องยังไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่มีความกลัดกลุ้มสุมอยู่ในอก

“แค่เงินทองที่มีอยู่ก็เหลือล้นแล้ว จะไปลงทุนทำอะไรต่ออีก”

“น้องก็อยากให้มันเพิ่มพูน เผื่อลูกเผื่อหลานจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก อยู่กันอย่างสบายแบบน้องอย่างนี้ไงล่ะพี่ศิ”

โสมส่องมีบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งปัจจุบันแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว และให้กำเนิดลูกชายซึ่งเป็นเด็กผู้ชายที่พามาด้วยกัน

“กีตาร์ไหว้ยายของหลานอีกคนหน่อยสิ” โสมส่องบอกหลานชายที่ลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาว หากยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับของในมือพร้อมทั้งนิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้ถึงคำใด

ศศิมองหลานชายร่างท้วมที่ส่อแววจะอ้วนอุ้ยอ้ายได้ง่ายก็ถามขึ้น

“กี่ขวบแล้วล่ะ ไม่ได้เจอกันนานเป็นปี ดูโตขึ้นเยอะนะ”

“สี่ขวบแล้วพี่ศิ แต่เป็นอย่างที่เห็น น้องไม่อยากจะพูดเลย” โสมส่องถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ “มาเข้าเรื่องของน้องดีกว่านะ”

ศศิหันมาสนใจน้องสาวตามเดิม แม้จะยังคาใจกับพฤติกรรมของหลานชายที่เหมือนจะอยู่ในโลกของตัวเองมากเกินไปจึงไม่สนใจผู้หลักผู้ใหญ่สองคนที่นั่งสนทนากันอยู่ใกล้ๆ

“มีอะไรก็ว่ามา”

เมื่อพี่สาวทำเป็นสนใจใคร่รู้ โสมส่องจึงบอกกล่าวโดยไม่คิดปกปิดถึงเรื่องที่กลุ้มอกกลุ้มใจจนต้องหอบหิ้วหลานชายมาพบศศิ

“ครอบครัวของสิตางค์น่ะสิ พี่ศิ” โสมส่องพูดถึงลูกสาว “ตอนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่ ผัวไปทาง เมียไปทาง ไม่ยอมคุยกันเลย น้องไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกันเพราะอยู่กันคนละบ้าน”

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าสองคนนั้นทะเลาะกัน”

“สิตางค์มาบอกให้ฟังพร้อมเอาลูกมาฝากไว้กับน้อง แล้วหายหน้าไปเลย จะครบอาทิตย์แล้วนะพี่ ที่ผัวเมียไม่เข้ามาในบ้าน น้องไม่รู้จะทำยังไง กลัวเลิกกันไปจริงๆ คิดแล้วก็สงสารหลานมากกว่า” โสมส่องบอกถึงสาเหตุที่ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานชายไปโดยปริยาย

ศศิพอจะรู้ว่าน้องสาวอาศัยอยู่ในอาณาเขตเดียวกันกับครอบครัวของลูกสาว แต่อยู่บ้านคนละหลัง จึงไม่ทราบเรื่องราวตื้นลึกหนาบางของครอบครัวนั้นมากนัก อีกทั้งโสมส่องยังชอบเดินทางไปไหนต่อไหนสม่ำเสมอจึงไม่ใส่ใจครอบครัวของบุตรสาวเลย

“ยังดีที่ทะเลาะกันตอนที่โสมไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ถ้าโสมไม่อยู่ แล้วหลานจะอยู่กับใครล่ะ” ศศิบอกให้โสมส่องมองโลกในแง่ดีซึ่งไม่มีเรื่องแย่ไปเสียหมด

“มีอีกเรื่องด้วยนะที่น้องมาหาพี่ศิ” โสมส่องพูดอย่างคนที่ยังมีความเกรงอกเกรงใจกัน “อีกไม่กี่วัน น้องจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัด น้องไม่รู้จะทำยังไงกับกีตาร์”

ศศิพูดแทรกเมื่อเข้าใจทุกอย่างดี “เอามาอยู่บ้านพี่ก็ได้ หลานของโสมก็เหมือนหลานของพี่ จะยากเย็นอะไร พี่เคยเลี้ยงลูกชายมาก่อน มีกีตาร์เพิ่มมาหนึ่งคน บ้านคงจะมีสีสันขึ้นมาบ้าง”

ศศิหันมองหลานชายที่ไม่รู้สึกรู้สาว่าถูกกล่าวถึง หากยังก้มหน้าอยู่กับสิ่งของที่ถืออยู่ในมือ ตั้งแต่เข้ามาในบ้านจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะให้กับพฤติกรรมของหลานชาย

“ถ้าพี่ได้ลองเลี้ยงกีตาร์ บ้านจะไม่เงียบแน่นอน น้องรับรองเลย” โสมส่องพูดพลางแค่นยิ้มน้อยๆ เพราะมีบางอย่างที่ไม่กล้าบอกให้ล่วงรู้เกี่ยวกับหลานชายผู้นี้ จึงเลี่ยงไปถามถึงคนในครอบครัวพี่สาว “เห็นในบ้านมีแค่พี่ศิคนเดียว สามีกับลูกออกไปทำงานเหรอ”

“สามีพี่ไปขับรถแท็กซี่แต่เช้าแล้ว ศิลป์อยู่ในห้องนอนไม่ค่อยออกไปไหนหรอก จะเห็นหน้าก็ตอนกินข้าวกับลงมาเข้าห้องน้ำ” พอศศิพูดถึงบุตรชายก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ จึงขอระบายกับน้องสาวสักเล็กน้อย “เป็นแบบนี้ตั้งแต่เรียนจบ จนชาวบ้านลือกัน แต่พี่อธิบายไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี คนมันไม่ออกไปไหนเองจะให้ทำยังไง พี่พูดอะไรไม่ได้มากหรอก เพราะเงินที่ใช้จ่ายในบ้านส่วนใหญ่ก็มาจากศิลป์ที่นั่งทำงานอยู่แต่ในห้อง นี่ยังโชคดีมีเพื่อนหางานให้ ถ้าศิลป์ไม่ทำงาน บ้านพี่อาจจะอดตายกันทั้งบ้านไปแล้ว”

“ถ้าบ้านพี่ศิขัดสนจริงๆ ยังมีน้องคนนี้อยู่ทั้งคน” โสมส่องบอกพี่สาวให้คลายกังวล “พี่ศิอย่าคิดมากเลย เลี้ยงลูกโตมาขนาดนี้ได้ก็ถือว่าดีแล้ว ยิ่งเราไปจ้ำจี้จ้ำไชมาก ยิ่งจะพาลให้ลูกไม่ชอบหน้าเรา แต่พี่ต้องระวังให้ดีนะ ปล่อยให้อยู่แต่ในห้องทั้งวันทั้งคืน คงไม่ดีหรอก”

“ต่อให้จะดีจะร้ายหรือจะเป็นอะไร ยังไงศิลป์ก็เป็นลูกคนเดียวของพี่ พี่คงผิดเองที่ปล่อยลูกให้เป็นอย่างนั้น พอรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว นี่พี่หาคนมาช่วยแก้ปัญหาให้ศิลป์ เผื่อจะออกจากบ้านไปหางานทำด้วยตัวเองได้”

“แล้วพี่ศิพอจะรู้จักคนที่ช่วยแก้ปัญหาเด็กติดหน้าจอมือถือบ้างไหม ถ้ามีบอกน้องด้วยนะ” โสมส่องเปลี่ยนเรื่องคุย

ศศิหันหน้าไปมองหลานชายที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงซึ่งไม่รู้เลยว่าถูกคนเป็นยายเอ่ยถึง เนื่องจากความสนใจของเด็กชายนั้นยังมีให้แค่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ

“ทำไมให้กีตาร์อยู่กับมือถือตลอดเลย พูดขึ้นมาแล้วก็อยากถามสักหน่อย”

โสมส่องถอนหายใจยาวให้กับอีกหนึ่งปัญหาที่ทำได้แค่มอง แต่ไม่รู้จะแก้ไขยังไง “สิตางค์นำลูกพร้อมมือถือเครื่องนั้นมาส่งให้น้อง ที่จริงน้องก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะที่จะเลี้ยงลูกด้วยมือถือ แต่พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างนี้จะให้น้องทำยังไงได้ ตอนนี้พี่ศิเห็นกีตาร์นิ่งสงบเพราะยังมีมือถืออยู่ในมือ ยามไม่มีมือถือนะพี่ อย่าให้พูดเลย”

“ตอนแรกเข้าใจว่ายายหลานนานๆ จะได้เจอกันสักทีจึงจำหน้ากันไม่ค่อยได้ก็เลยไม่สนใจกัน แต่ติดมือถือไม่ยอมปล่อยเลยนี่เอง” ศศิเพิ่งเข้าใจการกระทำของหลานชาย จากนั้นก็เอ่ยกับน้องสาวด้วยความปรารถนาดี “ลองพากีตาร์ไปปรึกษาหมอดีกว่านะ ตอนนี้ยังเป็นไม้อ่อนอยู่ คงแก้ไขได้ง่ายกว่าลูกของพี่ ถ้าปล่อยให้เป็นยิ่งกว่านี้ อาจส่งผลไม่ดีหลายๆ อย่างตามมาก็ได้”

“น้องดูออกนะพี่ศิ ไม่ใช่ปัญหาแค่ติดมือถืออย่างเดียวหรอก เรื่องการพูดการจาก็ไม่ค่อยเหมือนเด็กวัยเดียวกัน คนเคยเลี้ยงลูกมาก่อน ทำไมจะดูไม่ออกว่ามันไม่ปกติ กีตาร์อายุสี่ขวบแล้วน่าจะพูดได้มากกว่านี้ แต่น้องไม่กล้าพูดกับใคร เดี๋ยวจะหาว่าเราคิดไม่ดีกับหลาน น้องไม่อยากว่าหลานเลยนะพี่ เด็กอะไรก็ไม่รู้ ตื่นลืมตาขึ้นมาก็เรียกหาแต่มือถือ หรืออยู่ว่างๆ เป็นไม่ได้ เอะอะก็จะขอแต่มือถือ พอน้องไม่ให้ก็ดื้อด้าน งอแงจะเอาให้ได้ ตั้งแต่มาอยู่กับน้อง น้องต้องกินยาแก้ปวดหัวสองเม็ดต่อวัน อีกไม่นานพี่ศิคงรู้ฤทธิ์ของกีตาร์เอง ก็ลองดูแล้วกันว่าน้องพูดจริงหรือเปล่า”

โสมส่องมองไปที่เด็กชายซึ่งเงยหน้าขึ้นมามองกันพอดี พร้อมทั้งชูโทรศัพท์มือถือในมือ

“โมะแย้ว ม่ายเห็น โมะ โมะ” กีตาร์พูดคำที่เข้าใจอยู่คนเดียว

ศศิเห็นหลานชายโบกมือไปมา ไม่นานก็โยนโทรศัพท์มือถือลงพื้นราวกับสิ่งนั้นไร้ความหมาย

“เสียข้าวเสียของหมดเลยนะ ทำอะไรไม่เข้าท่าเลย” โสมส่องเอ่ยอย่างคนไม่สบอารมณ์ ขณะก้มเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แล้วหันมองหลานชาย พูดด้วยน้ำเสียงปกติ “แบตหมดนี่เอง ไว้กลับบ้าน ยายจะชาร์จแบตใหม่ให้นะกีตาร์”

“จาเอา เอามา เอามา” เด็กชายเริ่มงอแง ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ กระโดดโลดเต้น จากนั้นก็ปีนป่ายขึ้นลงเก้าอี้อย่างคนอยู่ไม่เป็นสุข

“นั่งนิ่งๆ นะกีตาร์ ยายรู้แล้ว แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่บ้านของยายหรอกนะ เราออกมาข้างนอกกัน” โสมส่องบอกหลานชาย หากอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจในคำกล่าวใดเลย

ศศิรู้ดีว่าน้องสาวพยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่

เด็กชายหยิบหมอนอิง กระโดดลงจากเก้าอี้ ใช้หมอนตีสิ่งที่อยู่รอบกาย โดยเฉพาะโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของที่เดินเข้าไปใกล้ตามใจชอบ เดินวกไปวนมาจนทั่วทั้งห้องนั่งเล่น

“พอได้แล้วนะกีตาร์ อยู่เฉยๆ นี่ไม่ใช่บ้านของยาย” โสมส่องบอกหลานชายซึ่งเดินไปทางนั้นทีทางโน้นที แล้วหันหน้ามาพูดกับพี่สาว “ดูเองก็แล้วกันพี่ศิ พูดยังไม่ทันขาดคำเลย พูดแล้วฟังกันซะที่ไหน เอาแต่ใจเหลือเกิน เป็นอย่างนี้บางทีก็ไม่ไหว”

“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดกัน เราต้องเข้าใจตัวเด็กด้วย ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะตัวเด็กเองหรอก” ศศิเดินเข้าไปใกล้หลานชายที่ยังส่งเสียงออกมาเป็นคำๆ

“จาเอา เอามา ดูดู ดูอีก” ขณะที่ปากยังพูดไป มือของเด็กชายก็ใช้หมอนฟาดโน่นฟาดนี้อย่างไม่เป็นสุข แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีคนเข้ามาจับแขน

“มา มานั่งกับยายนะ แล้วยายจะหาให้” ศศิพยายามใช้ความโอนอ่อนยับยั้งการกระทำของหลานชาย หากยังดีที่กีตาร์เดินตามแรงจูงแขนมานั่งเก้าอี้ไม้ยาวด้วยกัน “ไหนบอกยายศิหน่อยสิ ว่ากีตาร์อยากได้อะไรครับ”

“มือถือ ดูอีก นะคาฟ นะคาฟ” เด็กชายบอกความต้องการของตน หากไม่ได้มองหน้าคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่

“พี่คิดว่ากีตาร์แปลกๆ ไปนะ ทั้งคำพูดคำจา ท่าทางกิริยาไม่เหมือนเด็กวัยเดียวกันเลย” ศศิบอกน้องสาว

“เป็นอย่างนี้แหละพี่ศิ จะไม่ให้น้องปวดหัวได้ยังไง ต้องอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน” โสมส่องถอนหายใจหนักหน่วง ฝืนยิ้มทั้งที่ใจจริงสุดจะเอื้อมระอาในสิ่งที่หลานชายเป็นอยู่ “บางทีพูดด้วยก็ยังไม่หันหน้ามาพูดกับเราเลย ถ้าไม่ได้มือถือหรือนั่งดูในจอทีวีก็อยู่ไม่เป็นที่หรอก แล้วนี่จะนั่งนิ่งได้กี่นาที พอรู้ว่ายังไม่ได้ของที่ต้องการ”

โสมส่องพูดจบ กีตาร์ก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ กระโดดไปมาอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ยังถูกศศิจับแขนไว้

“ปล่อย ปล่อย จาดู ดูอีก” เด็กชายพยายามใช้มือแกะมือผู้ใหญ่จนคลายออกได้สำเร็จ รีบกระโดดลงจากเก้าอี้

“ระวังนะหลาน” ศศิกลัวหลานชายจะล้มคะมำหงายหลังไปกับพื้น แต่หลานชายไม่เป็นอะไร อีกทั้งยังวิ่งออกไปนอกห้อง

“เพราะเป็นอย่างที่เห็น น้องอยากให้แนะนำคนที่พอจะช่วยได้ น้องเคยบอกให้พาไปหาหมอเพื่อดูพัฒนาการด้วยซ้ำ แต่สิตางค์ไม่ยอม แล้วยังจะบอกอีกว่าเดี๋ยวพอโตไปก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ เอง มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะพี่ศิ”

“ค่อยหาทางแก้กันต่อไปก็แล้วกัน” ศศิบอกน้องสาวและตัวเองไปพร้อมกัน ก่อนจะเดินตามหลังเด็กชายผู้นั้นไป

กีตาร์วิ่งไปเจอขั้นบันได เกาะราวบันไดพร้อมทั้งก้าวขาขึ้นไปทีละขั้น พอถึงชั้นสองก็รีบวิ่งไปเคาะประตูห้องที่ปิดไว้

“เปิด เปิด เอามา จาดู ดูอีก” เด็กชายร้องตะโกนเสียงดัง พอห้องนั้นยังไม่มีใครยอมเปิดก็วิ่งไปเคาะประตูอีกห้อง พูดซ้ำๆ วนไปมา หากได้ผลเช่นเดิม

“ทำอย่างนั้นไม่ดีเลยนะกีตาร์ ไปข้างล่างกันดีกว่า” ศศิยังพูดอย่างคนใจเย็น ฉุดรั้งให้หลานชายเดินไปด้วยกัน

กีตาร์ยังใช้กำปั้นทุบประตูไม่หยุดหย่อนเหมือนจะรู้ว่าห้องนั้นมีคนอยู่ภายใน

หากอีกฝากฝั่งของห้อง ไขศิลป์ยังนั่งใส่หูฟัง เล่นเกมในจอคอมพิวเตอร์ แต่ไม่วายก็มีเสียงเคาะประตูดังลอดเข้ามาในหูให้ได้ยินพร้อมทั้งเสียงของเด็กผู้ชาย ตอนแรกเขาคิดว่าหูอาจจะแว่วเพราะบ้านของตนไม่มีเด็กผู้ชาย จนนำหูฟังออกจากหูจึงทราบว่ามีคนอยู่หน้าประตูห้องนอนของตัวเอง

ไขศิลป์เปิดประตูก็เห็นเพียงด้านหลังของมารดาพร้อมกับแขกผู้มาเยือนกำลังเดินลงบันได

เมื่อทิ้งช่วงเวลาไว้สักพักหนึ่งและคิดได้ว่ามีเรื่องจะต้องพูดกับมารดา เขาจึงออกจากห้อง เดินไปชั้นล่างก็พบศศินั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงผู้เดียว

“ใครมาบ้านเราเหรอแม่”

“น้าโสมกับกีตาร์เพิ่งจะพากันกลับไปเมื่อกี้นี่เอง น้าโสมยังถามถึงลูกด้วยนะ ไม่ทันได้เจอหน้ากันเลย” ศศิส่งยิ้มให้บุตรชาย “หิวแล้วเหรอ เพิ่งสี่โมงเย็นเอง แม่ยังไม่ได้เตรียมอะไรให้กินเลยนะ”

ไขศิลป์ไม่ตอบมารดา พลางนึกถึงผู้มาเยือนที่เข้ามารบกวนกันถึงหน้าประตูห้องนอน จึงคาดเดาไปเองว่าเป็นเด็กซุกซนและคงไม่ได้พบเจอกันอีก

“กีตาร์จะมาอยู่บ้านเรานะลูก แม่บอกให้รู้ไว้ก่อน บ้านคงจะไม่เงียบไปหลายวัน”

เขายิ้มน้อยๆ ให้กับคำกล่าวของมารดาซึ่งลบล้างเรื่องที่คาดการณ์ไว้ในทันที

“แม่คิดจะให้พี่ปรีมาทำอะไรกับผมหรือเปล่า” ไขศิลป์เข้าเรื่องที่ลงมาพบมารดา พูดถึงอีกบุคคลหนึ่งที่เคยมาเคาะประห้องนอน

“จำหนูปรีได้ด้วยเหรอลูก”

เขาไม่ตอบคำถามนั้น หากกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดตัวเอง “แม่จะให้พี่ปรีมาทำอะไรกับผม วันนั้นผมได้ยินแม่คุยกับพ่อ”

ไขศิลป์แค่อยากรู้จุดประสงค์แท้จริงของพี่สาวข้างบ้านที่เข้ามารู้จักกันอีกหน ถ้าเป็นเพราะแม่ บางทีเขาอาจจะยอมอ่อนโอนทำในสิ่งที่แม่ต้องการ

“แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกทั้งนั้นเลยนะ” ศศิเดินเข้าไปใกล้ลูกชาย “นินบอกแม่เรื่องงานของลูก แม่อยากให้ลูกออกไปรับงานด้วยตัวเองจึงไปขอให้หนูปรีช่วย หวังว่าลูกจะเข้าใจความหวังดีของแม่”

“แม่ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” เขายิ้มให้มารดา

“ถ้าลูกยังทำเองไม่ได้ ลองพึ่งคนอื่นก็ได้นะลูก เพราะโลกใบนี้ลูกไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนอื่นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือรอทำความคุ้นเคยกับลูกอยู่ อย่าคิดว่าคอมพิวเตอร์จะช่วยลูกได้ทุกเรื่อง มีหลายเรื่องที่ลูกต้องสัมผัสด้วยตัวเอง”

ชายหนุ่มเข้าใจทุกถ้อยคำของมารดา ถ้าเขาไม่มีงานทำก็ไม่มีเงินใช้จ่ายในบ้าน ทั้งที่พ่อยังขับรถแท็กซี่ แต่เงินคงไม่เพียงพอกับสามชีวิตในบ้านแน่นอน โชคยังดีที่ตอนนี้พอจะมีเงินเก็บหลงเหลืออยู่บ้าง

เขาอยากจะเดินออกจากบ้านอีกสักครั้งเพื่อให้รู้กันไปเลยว่าจะเป็นเหมือนเคยหรือไม่

เพียงแค่คิดจะก้าวขาพาตัวเองให้พ้นเขตรั้วบ้าน ความกลัวก็แล่นเข้าสู่มโนสำนึก แรกเริ่มไม่ต่างจากสายลมอ่อนพัดหวนต้องกายให้แค่ปลายเส้นขนส่ายไหว แต่พอยืนยันที่จะลองดูให้รู้แน่ ความหวั่นกลัวในจิตใจก็เทียบเท่าลมมรสุมพัดโหมกระหน่ำจนต้องยับยั้งขาไม่ให้ก้าวออกไปด้านนอกบริเวณบ้านของตน

ไขศิลป์ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ออกไปพบปะผู้คนโดยไร้ความกลัว



Don`t copy text!