รักในรอยน้ำตา บทที่ 6 : คำเตือน

รักในรอยน้ำตา บทที่ 6 : คำเตือน

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

 

สรวิชญ์เดินออกจากหอพักของรินรดาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้วันนี้รินรดาจะปฏิเสธการเป็นแฟนกับเขาอีกหน แต่กลับไม่ได้ทำให้ผิดหวังสักเท่าใด เพราะอย่างน้อยปลาก็กินเบ็ดแล้ว วันหน้าเธอจะไปไหนรอด คิดเพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ พอเห็นชื่อที่หน้าจอเขาก็รีบกดรับสายทันที

“ไอ้อำนาจ…กูบอกให้พวกมึงทำเบาๆ นี่อะไรทั้งเตะทั้งต่อย จนกูสะบักสะบอมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย”

“ขอโทษครับคุณต้น ผมก็ย้ำกับไอ้สองคนนั่นหลายรอบแล้วนะครับ แต่พวกมันคงกลัวไม่สมจริงก็เลยหนักมือไปหน่อย”

“เออ…ก็จริงของมึง งั้นเดี๋ยวกูโอนเงินค่าจ้างที่เหลือไปให้ แล้วบอกคนอื่นด้วยนะ ปิดปากให้สนิท ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน”

“ครับคุณต้น”

ชายหนุ่มกดวางสาย แล้วจัดการโอนเงินค่าจ้างที่เหลือไปให้ตามที่ตกลงกันไว้ทันที

สรวิชญ์บังเอิญพบอำนาจในตอนที่เพิ่งออกจากคุกมาได้ไม่นาน และชายหนุ่มก็เป็นคนยื่นมือไปช่วยไว้ในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายลำบากสุดขีด ทำให้อำนาจสำนึกในบุญคุณมากจนทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่สำหรับเรื่องครั้งนี้ แม้อำนาจและพรรคพวกจะทำเกินคำสั่งไปบ้าง จนเขาต้องเจ็บตัวมากกว่าที่คิด แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเกินคาด บัดนี้กำแพงในหัวใจของรินรดาที่ปิดกั้นต่อผู้ชายทุกคนได้ถูกเขาพังทลายลงจนหมดสิ้นแล้ว หรือหากไม่หมดก็คงเหลือไม่มาก  

“น้องระรินจ๋า อีกไม่นานพี่จะทำให้น้องยอมเป็นของพี่ให้ได้”

ดวงตาคมกล้าตวัดมองไปที่ชั้นเจ็ดที่เป็นตำแหน่งห้องของหญิงสาวอย่างหมายมาด

 

เช้าวันต่อมาหลังจากที่เรียนคาบเช้าเสร็จ รินรดาและกนกอรก็มาที่โรงอาหารด้วยกันเหมือนอย่างเคย ขณะที่ทั้งสองกำลังถือจานอาหารอยู่ จู่ๆ สรวิชญ์ก็เดินปรี่เข้ามาหารินรดาพร้อมฉวยจานในมือหญิงสาวไปถือไว้แทน ใบหน้าของเขาเริ่มเขียวช้ำจากรอยโดนต่อยเมื่อคืน มีปลาสเตอร์ปิดแผลให้เห็นชัด

“มาครับน้องระริน เดี๋ยวพี่ถือให้นะ”

“ขอบคุณค่ะพี่ต้น”

รินรดายอมให้อีกฝ่ายถือให้โดยไม่ปฏิเสธเหมือนที่ผ่านมา ทำให้กนกอรที่ยืนข้างๆ ซึ่งไม่เคยเห็นเพื่อนรักมีทีท่าแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน ถึงกับแปลกใจและงงเป็นไก่ตาแตก

“ระริน ทำไมแกยอมให้พี่ต้นถือจานข้าวให้ล่ะ”

ดูเหมือนว่าคำถามของเธอจะลอยผ่านหูไป เพราะอีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม แล้วเดินตามสรวิชญ์ไปนั่งเสีย ยิ่งทำให้กนกอรยิ่งสงสัยมากขึ้น พอทุกคนนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว กนกอรจึงทักชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีค่ะพี่ต้น เราเคยเจอและคุยกันแล้ว แต่พี่ต้นอาจจะจำอรไม่ได้”

“จำได้สิครับ น้องอรเป็นเพื่อนสนิทกับน้องระรินไง ทำไมพี่จะจำไม่ได้ล่ะ”

รอยยิ้มหวานละมุนระบายบนใบหน้าของสรวิชญ์ ดูเหมือนบาดแผลและรอยฟกช้ำไม่ทำให้ความหล่อของเขาลดน้อยลงเลย

“งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปซื้อข้าวก่อนนะ น้องระรินกับน้องอรดื่มอะไรดีครับเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”

“ขอน้ำเปล่าแล้วกันค่ะ” กนกอรหันขวับไปมองเพื่อนที่ตนคิดว่าจะปฏิเสธเหมือนเคยอย่างงุนงง

พอคล้อยหลังชายหนุ่มสุดหล่อไป กนกอรจึงหันไปถามคนเป็นเพื่อนทันที

“นี่ฉันตกข่าวอะไรไปหรือเปล่ายะ เท่าที่จำได้ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วแกยังทำเย็นชากับพี่ต้นอยู่เลยนี่นา วันหยุดเสาร์อาทิตย์มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ทำไมเปิดมาวันจันทร์แกถึงได้ยอมให้พี่ต้นเขาเทกแคร์แบบนี้ล่ะ ว่าแต่ทำไมหน้าตาพี่ต้นเขาถึงได้ยับเยินแบบนี้ล่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก คือวันก่อนพี่ต้นช่วยเราไว้ตอนที่เรากำลังโดนคนทำร้ายเอาน่ะ”

“อะไรนะ! แกโดนคนทำร้ายเนี่ยนะ เมื่อไหร่น่ะ แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

คนฟังถึงกับตาโตละล่ำละลักถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมสำรวจทั้งใบหน้าและร่างกายของเพื่อนรักเป็นการใหญ่

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกแก มีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อย แต่พี่ต้นน่ะสิน่าจะหนักกว่า ทั้งโดนเตะโดนต่อยเลยมีสภาพอย่างที่เห็นนั่นแหละ อรรู้ไหม ถ้าเมื่อวานไม่ได้พี่ต้นนะ ฉันต้องแย่แน่ๆ เลย พวกนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ มากันตั้งสามคนแถมใส่หมวกไอ้โม่งปิดหน้าปิดตาทุกคน”

“แล้วนี่พวกมันได้อะไรไปบ้างไหม ไม่ได้การละ แกไปแจ้งความหรือยังเนี่ย”

“พวกมันไม่ทันได้อะไรไป ตอนแรกเราก็ว่าจะไปแจ้งความเหมือนกัน แต่พี่ต้นบอกว่า เราไม่มีหลักฐาน แถวนั้นก็ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย แจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันก็เลยไม่ได้ไปแจ้งน่ะ”

“เฮ้อ! แกนี่ตกปีชงไหมเนี่ย คราวก่อนก็บัตรนักศึกษาหาย คราวที่แล้วก็เกือบโดนรถชน มาคราวนี้ก็เกือบโดนคนทำร้าย ดีนะที่พี่ต้นมาช่วยไว้ทัน…” พูดแล้วก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้

“หรือนี่จะเป็นบุพเพสันนิวาส!”

“บุพเพอะไร มันก็แค่เรื่องบังเอิญน่า”

“บังเอิญอะไรยะ เมื่อวานเป็นวันอาทิตย์พี่ต้นไม่น่าจะบังเอิญมาช่วยแกได้หรอกมั้ง”

รินรดานิ่งไปเพราะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เธอพบกับสรวิชญ์ นั่นเพราะอีกฝ่ายคอยตามดูเธออยู่ต่างหาก ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร สรวิชญ์ก็เดินกลับมาพร้อมจานข้าวในมือเสียก่อน

“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้นที่ช่วยระรินเอาไว้ อรเพิ่งรู้เรื่องเมื่อกี้เอง พี่ต้นเป็นฮีโร่ของระรินจริงๆ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เป็นใครเจอเหตุการณ์ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นน้องระรินด้วยแล้ว พี่ก็ยิ่งเต็มใจช่วยเสมอ” เขาหันไปสบตารินรดาอย่างมีความหมาย จนเธอต้องรีบหลบสายตา เสตักข้าวกินกลบเกลื่อนความเขินอาย

“ไอ้ต้น กูก็นึกว่ามึงหายไปไหน ที่แท้มาอยู่กับน้องระรินนี่เอง”

เอกวิทย์และเจตต์เดินตรงเข้ามาทักทายปนแซว เมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังนั่งกินข้าวกับแม่สาวสวยจีบยากอย่างมีความสุข แต่พอเห็นใบหน้ายับเยินของอีกฝ่าย ทั้งสองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“อ้าว! แล้วนั่นไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ ทำไมหน้าแหกยับอย่างนี้”

“เปล่า เราก็แค่ช่วยสาวในดวงใจจากอันตรายน่ะ” แม้แต่สรรพนามก็ยังเปลี่ยน ปกติมึงกู แต่พออยู่ต่อหน้าสาวกับเรียบร้อยขึ้น ทำคะแนนน่าดู เอกวิทย์หันไปมองสองสาวก่อนทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีครับน้องระริน ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับ พี่ชื่อเอกวิทย์ ส่วนนั่นชื่อไอ้เจตต์ ไม่ใช่ๆ ต้องเรียกว่าพี่เจตต์สิ พวกเราเคยเจอน้องระรินมาก่อนแล้ว หวังว่าน้องระรินคงจะไม่ลืมกันเสียก่อนนะครับ”

“อะไรของมึงเนี่ยไอ้เอก ขอโทษทีนะครับน้องระรินน้องอร สองคนนี่เพื่อนสนิทพี่เองครับ ไอ้เอกกับไอ้เจตต์”

“สวัสดีค่ะ พี่เอก พี่เจตต์” สองสาวยกมือไหว้พร้อมกัน

“อ๋อ อรนึกออกแล้ว พี่สองคนที่เคยเข้ามาจีบระริน แต่จีบไม่ติดใช่ไหมคะ” คำถามตรงไปตรงมา ทำเอาสองหนุ่มถึงกับหน้าเจื่อนไป ก่อนจะขยับมานั่งข้างเพื่อนรัก

“แหม…น้องอรความจำแม่นจังนะครับ” เจตต์พูดอ้อมแอ้มอย่างเก้อเขิน พลางลอบมองสาวที่เขาเคยจีบไม่ติดอย่างเสียใจลึกๆ เมื่อรู้เบื้องลึกเบื้องหลังการสานสัมพันธ์ของเพื่อนซี้กับเธอในครั้งนี้ ก็แอบเสียดายไม่น้อย ทำไมไม่เป็นเขา คนที่เธอชอบและตกลงเป็นแฟน

“ไม่คิดเลยนะคะ ว่าโลกจะกลมขนาดนี้ อรเพิ่งรู้ว่าพี่สองคนเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ต้นด้วย”

“นั่นสิคะ ระรินก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ปกติเจอแต่พี่ต้นคนเดียว เลยนึกว่าพี่ต้นไม่มีเพื่อนคบเสียอีก” น้ำเสียงเข้มขึ้นทำเอาสรวิชญ์ชักร้อนตัว แต่ยังคงตีหน้าซื่อ

“พี่มีเพื่อนสนิทครับ พวกเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เพียงแต่หลังๆ ลงเรียนกันคนละวิชา ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน”

รินรดามองหน้าชายหนุ่มทั้งสามอย่างจับผิด

“งั้นเดี๋ยวระรินกับอรขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”

“อ้าว ไม่รอไปพร้อมกันเหรอครับ เดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่ตึก”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ต้นกินข้าวกับเพื่อนๆ ต่อดีกว่านะคะ ไปเถอะอร” ว่าแล้วเธอก็รีบลากเพื่อนซี้ออกจากโรงอาหารจนอีกฝ่ายต้องหันมาถามอย่างแปลกใจ

“เดี๋ยวๆ แก ช้าหน่อยเพิ่งกินข้าวอิ่มๆ เดี๋ยวก็จุกพอดี” กนกอรบ่นอุบ “แล้วนี่ทำไมแกรีบออกมาล่ะ กำลังคุยกับพวกพี่เขาถูกคอเลย”

“ฉันว่ามันแปลกๆ น่ะสิ”

“แปลก…แปลกยังไงเหรอ ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลกเลยนี่ พี่ๆ เขาก็ดูเฟรนด์ลี่นิสัยดีอยู่นะ”

“แกคิดดูสิอร เพื่อนพี่ต้นอีกสองคน ก็คือคนที่เคยจีบฉัน ถึงตอนนี้พี่ต้นเองก็มาจีบฉันอีกคน แกไม่คิดว่ามันแปลกหรือยังไง” สีหน้ากลัดกลุ้มของรินรดาทำเอากนกอรหลุดหัวเราะออกมา

“โธ่ ฉันก็นึกว่าเรื่องอะไร ไม่เห็นจะแปลกเลยสักนิด ก็แกน่ะทั้งสวยทั้งเรียนเก่ง ผู้ชายคนไหนก็ต้องชอบเป็นธรรมดา ในเมื่อพี่เอกกับพี่เจตต์เคยจีบแกแล้วไม่ติด ถ้าพี่ต้นจะจีบแกบ้าง มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่นา ฉันว่าแกน่ะคิดมากเกินไปแล้วนะ”

“ไม่รู้สิ ฉันขอระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า”

“ตามใจย่ะแม่คนขี้ระแวง ระวังเถอะ ระแวงจนผู้ชายหนีหมด ตัวเองต้องขึ้นคาน”

“ขึ้นก็ขึ้นสิ ฉันไม่เห็นอยากมีเลยแฟนน่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงกระด้าง เมื่อหวนคิดถึงเรื่องของคนเป็นพ่อในอดีตที่ผ่านมา เธอไม่อยากเดินตามรอยแม่ ต้องกินน้ำตาต่างข้าว ดื่มเหล้าประชดชีวิตไปจนตาย

“พี่ต้นเขาชอบแก แถมยังช่วยเหลือแกตั้งหลายครั้ง ดูเขาก็เป็นคนดีมีน้ำใจคนหนึ่งนะ ฉันว่าถ้าแกจะคบหาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าไม่ได้เป็นแฟน อย่างน้อยก็คบเป็นเพื่อนเป็นพี่ชายก็ยังดีนี่ ส่วนพี่เอกกับพี่เจตต์น่ะเขาก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไร พอคบได้ แกก็อย่าให้ความระแวงมาทำให้ต้องเสียโอกาสได้เจอคนดีๆ เลยนะ”

คำเตือนของเพื่อนทำให้รินรดาฉุกคิด หรือบางทีเธออาจจะระแวงมากเกินไปอย่างที่กนกอรว่า ในสายตาเธอตอนนี้ สรวิชญ์ก็ไม่ได้ร้ายกาจเหมือนพ่อของเธอ แต่หากจะคบเป็นแฟนคงต้องขอดูกันไปอีกที

“อ้าวๆ จ้องเข้าไป น้องเขาไปถึงไหนแล้วยังจ้องอยู่ได้” เอกวิทย์กระเซ้าเพื่อน ส่วนเจตต์ก็หันมาจ้องหน้าสรวิชญ์อย่างสงสัย

“ไอ้ต้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมน้องระรินถึงได้คุยกับมึงดีแล้วล่ะ แล้วหน้ามึงเนี่ยไปโดนตีนใครมาถึงได้แหกยับเยินแบบนี้” เจตต์เปิดประเด็นทันที

“นั่นสิไอ้ต้น มึงไหวหรือเปล่าเนี่ย”

“แผลแค่นี้ กูสบายมาก”

“ว่าแต่มึงไปมีเรื่องกับใครมาวะ พวกกูสองคนจะได้ช่วยแก้แค้นให้”

“ไม่ต้องหรอก แผลพวกนี้ถือว่าจิ๊บๆ ถ้าเทียบกับผลลัพธ์ที่กูได้ เจ็บตัวแค่นี้ถือว่าคุ้มมาก”

“ลงทุน…ตกลงมึงไปทำอะไรมากันแน่วะ หรือว่าการลงทุนที่ว่าจะเกี่ยวกับที่น้องระรินยอมคุยกับมึงใช่ไหมวะ”

“ถ้าให้กูเดานะ มึงจะต้องไปมีเรื่องชกต่อยกับผู้ชายที่คิดจะมาจีบน้องระรินใช่ไหมวะ” สรวิชญ์ส่ายหน้าแทนคำตอบพลางยิ้มอย่างนึกสนุก

“ถ้าไม่ใช่ แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ”

เจตต์มองสรวิชญ์ที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนกับบาดแผลที่อยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาก็นึกแปลกใจ หากแล้วความคิดอะไรบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว

“ไอ้ต้น! นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงจ้างคนทำร้ายมึง เพื่อให้น้องระรินสงสารน่ะ” คราวนี้สรวิชญ์หลุดหัวเราะออกมา

“เกือบถูกแล้วละไอ้เจตต์ แต่นี่…กูจะบอกให้เอาบุญ คราวนี้กูจ้างให้คนดักทำร้ายน้องเขา แล้วกูก็แค่สวมบทเป็นพระเอกขี่ม้าขาวไปช่วยก็แค่นี้เอง”

สรวิชญ์กระซิบบอกเพื่อนทั้งสอง ทำให้เอกวิทย์กับเจตต์มองหน้ากันด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป

“ไอ้ต้น มึงนี่มันเจ้าแผนการจริงๆ ว่ะ กูยังคิดไม่ถึงเลย กูขอคารวะเลย วิธีแบบมึงเนี่ย ต่อให้ผู้หญิงใจแข็งแค่ไหน ร้อยทั้งร้อยก็ต้องใจอ่อนรักมึง”

คำชื่นชมของเอกวิทย์ทำให้สรวิชญ์ยืดอกรับด้วยความภูมิใจ โดยไม่ได้เอะใจที่จู่ๆ เจตต์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

“ไอ้ต้น กูว่าวิธีนี้ มันไม่โอเคเลยว่ะ มึงทำแบบนี้เหมือนเอาความปลอดภัยของน้องระรินมาล้อเล่น ถ้าน้องเขาบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง มึงจะรับผิดชอบไหวเหรอ”

“ไอ้เจตต์ แต่เมื่อกี้มึงก็เห็น น้องระรินก็ปลอดภัยดีนี่นา”

“น้องระรินปลอดภัยดีแล้วยังไง วิธีที่มึงใช้มันสกปรกเกินไป ถึงขนาดต้องใช้วิธีหลอกลวง ต้องใช้สารพัดวิธีโดยไม่สนถูกผิด เพื่อให้น้องเขาเห็นว่ามึงเป็นคนดี แล้วหันมารักมึง แล้วคิดบ้างไหมว่าถ้าน้องระรินมารู้ทีหลังว่าที่ผ่านมามันเป็นแผนชั่วๆ ที่มึงทำไปเพื่ออยากเอาชนะ ไม่ได้ชอบหรือคิดอยากจะจริงจังอะไรกับน้องเขา มึงคิดดูสิว่าผู้หญิงเขาจะเสียใจขนาดไหน มึงแม่งเลวว่ะ”

“ไอ้เจตต์ กูเลวตรงไหน ก็แค่ใช้แผนนิดๆ หน่อยๆ แล้วถ้าน้องเขามาชอบกูเอง ก็ไม่ผิดหรือเปล่าวะ”

“ถ้าถึงวันที่น้องเขาชอบมึง แล้วตกลงเป็นแฟนกับมึงขึ้นมาจริงๆ มึงคิดจะคบกับน้องระรินคนเดียว ไม่มองผู้หญิงคนอื่นไหมล่ะ” เจตต์ถามดักคอด้วยรู้นิสัยเพื่อนตัวเองเป็นอย่างดี

“นั่นมันก็เรื่องของกูไหมวะ กูจะคบใคร จะเลิกกับใครมันก็เรื่องของกู ต่อให้กูจะคบกับผู้หญิงพร้อมกันกี่คน มึงก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องของกู มึงเป็นแค่เพื่อนไม่ใช่พ่อ อย่าล้ำเส้น”

“เออ กูมันก็แค่เพื่อน ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องของมึง แต่กูทนไม่ได้ที่จะเห็นมึงทำแบบนี้กับผู้หญิงดีๆ แบบน้องระริน”

“ไอ้เจตต์ ก็มึงกับไอ้เอกไม่ใช่เหรอวะ ที่ท้าทายกันตอนนั้น อย่าลืมสิ ถ้ากูได้น้องระรินเป็นแฟน พวกมึงสองคนก็ต้องเลี้ยงข้าวกู”

“เออ พวกกูไม่ลืมหรอก แต่มันต้องไม่ใช่วิธีสกปรกแบบนี้”

“ใจเย็นๆ น่าไอ้เจตต์ มึงด้วยไอ้ต้น จะมาทะเลาะกันทำไม เรื่องแค่นี้เอง”

เอกวิทย์พยายามช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ตึงเครียดให้ผ่อนคลายลง

“ไอ้ต้น กูไม่เคยลืมเรื่องคำท้า แต่มึงก็ควรจีบน้องเขาด้วยวิธีที่ดีกว่านี้และจริงใจไม่ใช่เหรอวะ วิธีที่มึงทำอยู่ตอนนี้ อย่าเรียกว่าจีบเลย เรียกว่าหลอกลวงเสียมากกว่า ถ้ามึงยังเป็นคนอยู่ก็อย่าใช้วิธีระยำแบบนี้กับผู้หญิงเลยว่ะ มันทุเรศ”

“ไอ้เจตต์!” สรวิชญ์ขึ้นเสียใส่ด้วยความหงุดหงิด จนนึกอยากชกปากคนเป็นเพื่อนสักที

“เพราะกูเห็นมึงเป็นเพื่อน กูถึงเตือนไม่อยากให้มึงทำอะไรทุเรศๆ แบบนี้ ถ้ากูทนไม่ไหว กูนี่แหละจะไปแฉมึงให้น้องระรินฟังทั้งหมดเอง”

พูดจบเจตต์ก็ลุกพรวดพราดจะเดินหนีไปเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่แล้วทันใดนั้นเองเขาก็ถูกกระชากแขนให้หันกลับมา พร้อมกับที่หมัดหนักๆ ของสรวิชญ์ซัดเข้าใส่ใบหน้าอย่างจัง จนเซถลาล้มลงไปกองที่พื้น

ผลัวะ!

“เฮ้ย! พวกมึงใจเย็นก่อน” เอกวิทย์ที่เพิ่งได้สติ รีบถลาเข้ามายืนขวางห้ามเพื่อนรักทั้งสอง ขณะที่ผู้คนที่อยู่ในโรงอาหารต่างฮือฮาเข้ามามุงดู ต่างฝ่ายต่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปกัน จนสรวิชญ์เริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองพลาดท่าเพราะความใจร้อนของตนจนทำให้ภาพลักษณ์ผู้ชายแสนดีต้องมัวหมอง เขาจึงรีบระงับความโกรธของตนไว้แล้วใช้แผนตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

“ไอ้เจตต์ มึงจะด่าว่าใครก็ได้ แต่มึงจะมาด่าว่าน้องระรินของกูไม่ได้”

“ไอ้สันดาน!”

เจตต์เอ่ยลอดไรฟัน พลางปาดเลือดที่มุมปาก เมื่อโทสะเข้าครอบงำ พอลุกขึ้นมาได้เจตต์ก็พุ่งเข้าไปผลักอีกฝ่ายจนล้ม แล้วรัวหมัดใส่เพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ไม่ยั้ง

โดยที่สรวิชญ์เองก็ไม่คิดต่อสู้ ได้แต่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งเอกวิทย์และพวกผู้ชายที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องรีบเข้ามาช่วยแยกสองหนุ่มออกจากกัน

“ไอ้ต้น มึงเป็นเพื่อนกู กูรักมึง กูถึงเตือนมึง ไม่อยากให้มึงหลงไปในทางที่ผิด แต่ในเมื่อกูเตือนมึงไม่ได้ กูก็คงคบมึงไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

“มึงแน่ใจเหรอไอ้เจตต์ที่มึงพูดออกมาว่าเตือนกูน่ะ กูว่า…จริงๆ แล้วมึงอิจฉากูมากกว่าละมั้ง ที่น้องระรินมีใจให้ กูขอโทษจริงๆ นะไอ้เจตต์ที่น้องระรินชอบกู แล้วกูก็ชอบน้องระรินจริงๆ มึงก็รู้”

“มึงโกหก…”

เจตต์พยายามจะเข้าไปเอาเรื่องเขาอีกครั้ง หากก็ติดที่เอกวิทย์ที่เข้ามารั้งไว้เสียก่อน

“ไอ้ต้น ไอ้เจตต์ มึงเป็นเพื่อนกันนะเว้ย คุยกันดีๆ ก็ได้”

“คนแบบนี้เหรอไอ้เอก ที่จะคุยดีๆ ได้ ดี…ในเมื่อมึงสองคนเข้าข้างกันนัก กูอยู่คนเดียวก็ได้”

เจตต์โกรธจนตัวสั่นก่อนจะสลัดตัวออกจากการเกาะกุมของเอกวิทย์แล้วเดินหนีไป ทิ้งให้สรวิชญ์และเอกวิทย์มองตามหลังด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน ขณะที่ไทยมุงก็สลายตัวเมื่อทุกอย่างสงบลง

เอกวิทย์รีบเข้ามาใกล้สรวิชญ์ด้วยความเป็นห่วง พลางพูดขึ้น

“ไอ้ต้น มึงรีบไปคุยกับไอ้เจตต์สิวะ”

“มึงก็เห็นเมื่อกี้ไอ้เจตต์มันทำกับกูยังไง”

“แต่ที่ไอ้เจตต์พูดมันก็ถูกนะเว้ย แล้วเมื่อกี้ทำไมมึงต้องว่าไอ้เจตต์แบบนั้นด้วยวะ มึงก็รู้ไอ้เจตต์มันไม่ใช่คนแบบนั้น มันไม่ได้อิจฉาอะไรมึงเลย”

“มึงรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ได้อิจฉากู ถ้าไม่ได้อิจฉาเพราะอยากคบน้องระรินไว้กินเอง มันคงไม่ทำตัวเป็นหมาบ้าอย่างเมื่อกี้หรอก มึงเลือกมาเลยดีกว่า ว่ามึงจะเข้าข้างไอ้เจตต์หรือกูกันแน่” สรวิชญ์หรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด

“ไอ้ต้น…มึงกับไอ้เจตต์เป็นเพื่อนรักของกูทั้งคู่ ทำไมต้องให้กูเลือกข้างด้วยวะ”

“ก็นับจากวันนี้ กูกับมันขาดกัน เลิกคบ ถ้ามึงเข้าข้างไอ้เจตต์ มึงก็ไม่ต้องมาคบกับกู แต่ถ้ามึงเลือกอยู่กับกู กูรับรองเลยว่า กูจะดูแลมึงเหมือนที่ผ่านมา แต่มึงต้องไม่ไปยุ่งกับไอ้เจตต์อีก เข้าใจหรือเปล่าวะ”

“เฮ้อ!”

เอกวิทย์ถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความลำบากใจ ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุด

“ถ้ากูต้องเลือก ระหว่างมึงกับไอ้เจตต์ กูเลือกมึงว่ะไอ้ต้น”

“ก็แค่นั้นแหละ”

สรวิชญ์เดินไปโอบบ่าเพื่อนรักพาไปนั่งรถคันเก่งของเขา ก่อนจะขับรถออกไปจากมหาวิทยาลัย หลังจากนี้เขาเหลือเพื่อนรักคนเดียวคือเอกวิทย์

ส่วนเจตต์ก็…ทางใครทางมัน!



Don`t copy text!