มหรสพเวรา บทที่ 14 :  กลุ้ม

มหรสพเวรา บทที่ 14 : กลุ้ม

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

“ไม่ได้วิไลวรรณแน่แล้ว เราจะทำยังไงกันดี”

จักรเข้ามาหาทัพเที่ยงในบ่ายวันศุกร์ หน้าของเขาแดงก่ำ ส่วนคอของเขาว่างเปล่าไม่มีกล้องสองเลนส์คล้องติดมาเหมือนทุกครั้ง วันนี้ทัพเที่ยงกลับจากมหาวิทยาลัยเร็วกว่าทุกวัน ตอนที่จักรมาถึงเขากำลังถางหญ้าอยู่ข้างบ้าน ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงขายาวที่พับขึ้นมาครึ่งน่อง คำพูดของจักรทำให้มือที่หวดหญ้าคาอยู่นั้นชะงัก มองกลับมาที่ต้นเสียง

“ฮ้า…” เขาร้อง ไม่อยากจะเชื่อว่าเงินของจักรทำงานให้เขาไม่สำเร็จ

จักรพยักหน้ายืนยันคำพูด “จริง เราไม่มีวิไลวรรณในหนังของเราแล้ว”

ทัพเที่ยงปาดเหงื่อที่ไหลท่วมตัว ขอบกางเกงของเขาเห็นเป็นรอยด่าง “นายแน่ใจนะ” ทัพเที่ยงถาม ขยับขอบกางเกงให้เข้าที่

จักรเดินขึ้นบ้านด้วยอาการลงส้นหนักๆ “แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง” เขากระแทกเสียงเข้ากับจังหวะการเดินลงส้นของตัวเอง ทัพเที่ยงวางพร้าหวดหรือมีดหวดหญ้าด้ามงอพิงเอาไว้กับเสาบ้าน เดินตามจักรขึ้นมาด้านบน

“กันไปคุยมาด้วยตัวเอง เธอว่าไม่มีคิวให้ แต่กันว่าเพราะเราเป็นเจ้าใหม่เสียมากกว่า”

“แล้วแบบนี้เราจะเอายังไงกันดี”

“กันก็ไม่รู้แล้ว กลุ้มจะแย่” จักรควักกล้องยาขึ้นสูบ ใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเขาทำให้การจุดกล้องยาดูยุ่งยากเกินไป เขาวางมันลงบนโต๊ะกลมเล็กแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแทน ทัพเที่ยงมองจักรที่เดินไปสูบบุหรี่แล้วถอนหายใจหนัก เขาเองก็อยากได้วิไลวรรณ วัฒนพานิชไม่แพ้จักร และตอนนี้ก็กลุ้มไม่แพ้กัน เพียงแต่เขาไม่ชอบสูบจึงทำได้แต่ยืนกอดอกพิงตัวกับราวกั้น จ้องมองจักรเหมือนกับว่าการเดินไปมานั้นในที่สุดก็จะช่วยให้ได้คำตอบ

จักรหันมา “เราต้องหาทางแก้ นายว่าจะเปลี่ยนเป็นใครดี”

“กันก็ไม่รู้ หรือเราจะหาดาราชาย”

“ไม่ๆ” จักรโบกมือที่คีบบุหรี่ไปมา “กันจะต้องเอาวิไลวรรณ หมายถึงว่า…ดาราผู้หญิงที่ดังเท่าๆ กันกับหล่อน”

ทัพเที่ยงกำลังจะเสนอชื่อดาราคนใหม่ ร่างในเสื้อกระโปรงสองท่อนสีม่วงคอปาด ก็เดินกึ่งวิ่งตรงเข้ามาที่เรือนก้านมะลิเสียก่อน

เฟื่องฟ้า…แม้ในยามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลหล่อนก็ยังสวยฉ่ำ ทัพเที่ยงเผลอคิดขณะมองหญิงสาวก้าวพรวดๆ ขึ้นบันไดมา แล้วก็ทำเฉไปมองเสียที่ต้นไม้ด้านข้างไม่ปล่อยให้หล่อนจับความรู้สึกได้

“วิไลวรรณปฏิเสธหรือคะ” เฟื่องฟ้ายิงคำถามทันที หล่อนน่าจะรู้ข่าวจากจักรทางโทรศัพท์แล้วบึ่งจากบ้านของหมอโอฬารตรงดิ่งมาที่นี่เลย

จักรพยักหน้าตอบ เขายกบุหรี่จ่อปาก ดูดอัดเข้าไปจนแก้มบุ๋ม ควันสีเทานั่นถ้าเป็นมวลอารมณ์ มันก็ลอยออกมาอย่างร้อนรุ่ม เฟื่องฟ้าทำหน้าบูด

“แย่จัง” หล่อนสบถเป็นภาษาอังกฤษตามมาอีกคำ ทัพเที่ยงรู้ว่าไม่ใช่คำที่ดีนัก แต่เขาไม่รู้สึกแปลกใจหรือแสลงหู ถึงหล่อนจะเป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนายแต่หล่อนก็ทำให้เขาชาชินว่า ทัพเที่ยงจะไม่มีโอกาสได้เห็นกิริยาอย่างผ้าพับไว้แบบผู้หญิงโบร่ำโบราณเป็นอันขาด สิ่งที่เฟื่องฟ้านำเสนอสู่โลกภายนอกคือความเป็นคนเก๋ไก๋ มีรสนิยม และมีความสามารถ หล่อนจะไม่มีทางก้าวตามหลังแต่จะก้าวไปข้างๆ บุรุษที่จะถูกหล่อนเลือก

หญิงสาวมองหน้าผู้ร่วมงานทั้งสองเหมือนอยากได้คำตอบที่ดีกว่านี้ แต่เมื่อไม่มีใครให้คำตอบได้ เฟื่องฟ้าก็เลื่อนสายตาจากใบหน้าทัพเที่ยงมาที่เนื้อหนังอาบเหงื่อ ทัพเที่ยงเพิ่งรู้ตัวเมื่อเฟื่องฟ้ามีอาการหน้าแดงแล้วเบี่ยงสายตาไปเสียทางอื่น

เขาก้มมองเม็ดเหงื่อจำนวนนับไม่ถ้วนบนแผงอกของตัวเอง แล้วค่อยๆ ถอยฉากหายเข้าไปหลังบ้าน พักหนึ่งก็ออกมาด้วยสภาพที่ดูดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขายังไม่ใส่เสื้อ มีเพียงผ้าขาวม้าเนื้อนิ่มซึ่งน่าจะใช้มายาวนานพาดคอเอาไว้ ร่างสูงของเขาค้อมหลังเล็กน้อยเมื่อเอื้อมมือผ่านหน้าเฟื่องฟ้าไปหยิบเสื้อเชิ้ตบนราวระเบียง เขาเดินไกลออกมา สะบัดเสื้อเสียหนึ่ง แล้วยกมันขึ้นสวม

เมื่อเห็นยังไม่มีใครพูดอย่างหนึ่งอย่างใด ทัพเที่ยงก็เสนอขึ้น

“ไม่ได้วิไลวรรณ เราก็หาพระเอกมีชื่อหน่อยแทนดีไหมครับ”

“ก็กันอยากได้เจ้าหล่อนนี่นา” จักรพูดเอาแต่ใจ แต่แล้วเขาคงรู้ตัว จักรอัดบุหรี่ระงับอารมณ์อีกครั้ง ควันสีเทาไหลทะลักจากจมูกและปาก เมื่อปลายวาบแดงนั้นลามไปจนถึงก้นกรองจักรก็ขยี้มันกับจานแก้ว เขาหันมาหาทัพเที่ยง “ไม่ใช่อะไรหรอก กันว่าเรื่องของนายมันดีมากและบทก็เหมาะกับเจ้าหล่อนมาก อีกอย่างชื่อวิไลวรรณขายได้ แค่หนังเรามีชื่อดาราชั้นนั้นโรงหนังก็ต้องสนใจซื้อ นี่เรามีแต่เนื้อเรื่อง ต่อให้ดีแค่ไหนเจ้าของโรงเขาจะสนใจหนังเราหรือ”

“ชนะ ศรีอุบลเป็นไง กำลังดังทีเดียว” ทัพเที่ยงหาทางออก

“พระเอกกล้ามแน่นน่ะ” จักรฟาดหลังมือไปที่ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องของทัพเที่ยงซึ่งกำลังไล่ติดกระดุมมาจากด้านบนไปได้เพียงสองเม็ด “แบบนายนี่ก็ใช้ได้แล้ว”

ทัพเที่ยงหน้าเหวอ “เฮ้ย…ใช้ไม่ได้”

“ใช้ได้” จักรยืนกราน

“จะประหยัดอะไรก็ไม่ว่า จะมาประหยัดค่าตัวพระเอกกันไม่เอาด้วยหรอกนะ”

“รู้น่า” จักรตอบ ทัพเที่ยงเหมือนนึกอะไรได้

“อ้อ…กันรู้แล้ว ที่อยากได้วิไลวรรณหนักหนาเพราะนายวางแผนจะให้กันเล่นเป็นนายโดมใช่ไหม” เขาเอ่ยชื่อพระเอกของเรื่องที่กำลังเขียน “ให้ตาย กันก็ไม่เอาด้วยหรอก”

“ตอนนี้มันก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว” จักรไม่ปฏิเสธ “แล้วยังงี้เราจะทำยังไงกันดี” คราวนี้จักรถามจริงจัง เขาจ้องหน้าหุ้นส่วนทั้งสองแต่คำตอบที่ได้คือความเงียบสนิท เฟื่องฟ้ากอดอกถอนหายใจพรืด ส่วนทัพเที่ยงซึ่งติดกระดุมจนครบทุกเม็ดแล้วยืนพิงเสาทอดตามองออกไปยังทางเดินโรยกรวด ท่าทางของพวกเขาเหมือนกำลังรอให้คำตอบเดินทางมาหา ในที่สุดทัพเที่ยงซึ่งคิดใคร่ครวญดีกว่าใครแล้วก็พูดขึ้นช้าๆ

“เรามาหาผู้กำกับให้ได้เสียก่อนดีไหม บางทีเขาอาจจะมีช่องทางดีๆ แนะนำพวกเราได้ อย่างน้อยเขาก็มีประสบการณ์ทำงานมากกว่าเรา”

“ก็ดีนะ” จักรคิดตาม

“นายรู้หรือยังว่าจะเอาใครกำกับ”

“รู้แล้ว” คราวนี้จักรตอบด้วยประกายตาแจ่มใส “เขาชื่อระย้า เป็นคนหนุ่มไฟแรง รุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรานี่แหละ”

“เขาเป็นใคร เคยกำกับเรื่องอะไรมาบ้างคะ” เฟื่องฟ้าซัก

“เขา…ไม่เคยกำกับหรอก” จักรอึกอัก “จริงๆ เขาเป็นตากล้อง มือดีเชียวละ แต่เขาเคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมาหลายเรื่อง อาก็เลย…”

“ตากล้อง…” เฟื่องฟ้าร้อง ไม่ถึงกับเสียงหลงแต่ก็ดังทีเดียว “ฟ้ารู้นะคะ” คราวนี้หล่อนหรี่ตามาทางผู้เป็นอา “อาจักรอยากจะเป็นตากล้องเสียเองเลยอยากได้ตากล้องเก่งๆ มาอยู่ในกอง จะใช้เขาสอนใช่ไหมล่ะคะ”

“ใช่ที่ไหน คนที่แนะนำมาเขาว่านายระย้าคนนี้เป็นพวกอาร์ติสต์ เป็นคลื่นลูกใหม่น่ะ ฟ้าเข้าใจใช่ไหม อีกอย่างตากล้องเขามีกล้องถ่ายหนังให้เราเช่า เราจะประหยัดไปอีกเยอะเลยนะที่ไม่ต้องซื้อเอง”

“ค่ะ” หล่อนกระแทกเสียงตอบแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เป็นความเชื่อเพียงครึ่งเดียวของเฟื่องฟ้า ทัพเที่ยงเห็นว่าหล่อนก็ไม่ได้คิดขัดความประสงค์ที่แท้จริงของจักร

“แล้วนายนัดนายระย้านี่หรือยัง”

“กันยังไม่เจอตัว คนที่แนะนำมาบอกว่าถ้าอยากเจอตัวละก็ ถ้าไม่ไปถนนสุรวงศ์ก็ลองไปที่วังสราญรมย์ แต่ถ้าหาไม่เจอจริงๆ คราวหน้าเจอตัวระย้าแล้วเขาจะนัดให้”

“ถนนสุรวงศ์งั้นเหรอ…แถวนั้นมัน…” ทัพเที่ยงไม่ทันจะพูดจบจักรก็รีบบอกว่าใช่

“เขาว่ากันว่าระย้าคนนี้เท้าไฟใช่เล่น ถามที่ไหนใครก็รู้จัก”

“แปลว่านายต้องไปหาเขาตามโรงเต้นรำ”

“ก็คงยังงั้น” จักรจ้องหน้าทัพเที่ยงท่าทางเอาจริง “และ…นายจะต้องไปด้วย”

“เฮ้ย” ทัพเที่ยงร้อง ไม่อยากเอาด้วย



Don`t copy text!