มหรสพเวรา บทที่ 15 : โรงมหรสพ

มหรสพเวรา บทที่ 15 : โรงมหรสพ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

ไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัดว่าการลีลาศในประเทศไทยเกิดขึ้นสมัยใด เกิดมาทัพเที่ยงก็เห็นว่ามันแพร่หลายอยู่ในหมู่คนหนุ่มสาวแล้ว ว่ากันว่าเมื่อก่อนโรงลีลาศส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่บนถนนสุรวงศ์ อย่างโรสฮอลล์ คอนเสิร์ตฮอลล์ เวมบลี้ ลูนาฮอลล์ มูแลงลูร์ ตอนนี้มันแพร่กระจายไปทั้งพระนคร ถึงทัพเที่ยงจะไม่นิยมลีลาศ แต่เดือนแรกของปี 2499 เขาก็กำลังยืนประดักประเดิดเพราะเต้นรำไม่เอาอ่าวอยู่กับจักรและเฟื่องฟ้าในวังสราญรมย์ โรงลีลาศเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่หลายแผ่นดินก่อน

“เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนคือระย้า” ทัพเที่ยงถามจักร ตาก็กวาดมองไปทั่วห้องบอลรูม

“กันคิดว่าจำได้ คนที่แนะนำมาเขาเอารูปถ่ายให้ดู ก็เป็นคนที่สะดุดตาพอสมควร”

“หล่อ…”

จักรทำหน้าพูดยาก เขาส่ายหัว

“ไม่รู้สิ…เอาเป็นว่าสะดุดตาก็แล้วกัน รูปร่างก็ประมาณกันนี่แหละแต่อาจจะหนากว่านิดหน่อย”

ทัพเที่ยงส่ายหน้า ไม่เห็นทางว่าจะหาคนแบบนั้นได้ง่ายๆ ในห้องเต้นรำมีแต่ชายหนุ่มหุ่นเพรียวลมสูงพอๆ กันกับจักรแทบทั้งนั้น

ดูเหมือนจักรจะรู้เท่าทันความคิดเพื่อน เขาบอกว่า “เอาน่า ไม่เจอตัวก็ถือว่ามาฉลองให้นายก่อนจะเป็นไร งานของนายเสร็จแล้ว ส่วนงานของกันเมื่อไรก็เมื่อนั้น” จักรพูดง่ายๆ แต่ทัพเที่ยงไม่เห็นว่ามันจะเหมือนงานฉลอง ในเมื่อเขาเต้นแทบไม่ได้เลยสักจังหวะ

เมื่อแรกถึงเฟื่องฟ้ารับอาสาเป็นคู่เต้นและจะสอนให้ แต่เมื่อเขาเหยียบเท้าจนเธอถอดใจที่จะสอนเขาแล้ว ตอนนี้ทัพเที่ยงจึงต้องมายืนดูเธอโชว์ลีลาอยู่กับหนุ่มเท้าไฟร่างผอมบางรายหนึ่ง

จักรบอกว่าคู่เต้นของเฟื่องฟ้าชื่อสุรินทร์ เขาได้ยินมาว่านายสุรินทร์คนนี้ผิดหวังจากการเรียนวิศวกรรมรถไฟ เลยแก้กลุ้มด้วยการตระเวนราตรีไปตามไนต์คลับเสียฉ่ำ ไม่รู้จริงหรือเท็จแต่ลีลาเท้าไฟที่เขาจับเฟื่องฟ้าเหวี่ยงเป็นวงกลมและพาเธอล่องลอยไปทั่วฟลอร์นั้น ทัพเที่ยงที่เต้นได้งูๆ ปลาๆ ก็บอกได้ว่านายสุรินทร์คนนี้ไม่ใช่เล่นๆ

“นอกจากสปันคุณหนูนักเรียนอังกฤษคนนั้น เห็นจะไม่มีใครเกินแม่หลานสาวกันเป็นแน่” จักรเข่นเขี้ยวแกมชื่นชมแกมหมั่นไส้ ทัพเที่ยงรู้จักหญิงสาวนามสปันจากหน้าข่าวสังคมบ้าง แต่ไม่เคยเห็นลีลาของหล่อน ที่จำได้คือเจ้าหล่อนจบออกแบบแฟชั่นมาจากเมืองนอกและเก๋จับจิต จักรผู้ซึ่งนิยมการลีลาศพูดถึงสปันหลายครั้ง ทัพเที่ยงเข้าใจไปเองว่าเขาก็นิยมชมชอบเธอเช่นเดียวกับหนุ่มๆ ในพระนครคนอื่นๆ ว่าไปแล้วจักรไม่เป็นรองใคร ทั้งฐานะ หน้าตา ชาติตระกูล แต่ทัพเที่ยงก็ไม่ได้รู้เรื่องราวส่วนตัวและชีวิตในวงผู้ดีของจักรนัก บางทีเขาอาจจะถูกวางตัวจับคู่ให้คุณหนูสักบ้านอยู่แล้วก็ได้

“ได้ข่าวว่าหล่อนจะถูกจับดองกับลูกชายตระกูลใหญ่ที่เรียนอังกฤษมาด้วยกัน ช่วงนี้เก็บตัวอยู่เชียงใหม่โน่น หมดสปันไปแล้ว ทีนี้ละแม่หลานสาวของฉันคงจะเนื้อหอมขึ้นอีกโขแน่” จักรยังพูดถึงหญิงสาวนามสปันต่อ ทัพเที่ยงเพียงยิ้มตอบเพราะเขาไม่รู้จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรเช่นกัน

“มานั่นแล้ว” จักรบุ้ยใบ้ เฟื่องฟ้าหยุดเต้นแล้ว เธอกำลังเดินตรงมาหาจักรและทัพเที่ยง แต่แล้วหนุ่มสังคมนายหนึ่งก็เข้ามาตัดหน้าชวนคุย แล้วก็คนที่สอง แล้วก็คนที่สาม จักรมองอย่างเหม็นเบื่อ

“ดูเถอะ” จักรว่า “ทั้งคุณชาติ คุณอเนก ยังคุณชายระพี ห้อมล้อมเรียงตัว สาวๆ ในนี้จะไม่ค้อนยังไงไหว กันว่าจะเสนอให้เปลี่ยนเรื่องจาก –สาปรัก- เป็น –สุดเสน่หา- ให้รู้แล้วรู้รอด” จักรยกแก้วเครื่องดื่มจ่อปาก แต่ไม่ทันดื่มเขาก็พูดต่อ วันนี้เขาพูดมากเสียจริง ทัพเที่ยงหันไปดูก็เห็นว่าผิวใสๆ ของเขาแดงเรื่อ กี่แก้วไปแล้วล่ะ ทัพเที่ยงส่ายหน้า ในเมื่อทั้งทัพเที่ยงและเฟื่องฟ้าขับรถได้ จักรคงกะเมาให้เต็มคราบทีเดียว

“ว่าแต่…กันถามจริงๆ เถอะ แม่แก้วในเรื่องของนายไม่มีต้นแบบจริงหรือ” ปากถามแต่ตาของจักรจ้องไปตามจุดต่างๆ เขายังมีความหวังว่าจะได้เจอระย้า

“ทำไมถาม”

“ก็มัน” จักรทำท่าขนลุก “กันอ่านแล้วก็ทั้งหลงทั้งกลัว เราจะหาใครมาแสดงให้ได้อย่างนั้นนะ วิไลวรรณก็ไม่เอากับเราด้วย” จักรยกแก้วเครื่องดื่มเทพรวดลงคอทีเดียวหมดแก้ว เขายังผิดหวังไม่เลิก ก่อนออกจากบ้านเขาก็มาเปรยว่าสงสัยจะต้องเข้าทาง ‘พันคำ’ ดาราหนุ่มซึ่งแสดงร่วมกับวิไลวรรณบ่อยๆ ตอนนั้นทัพเที่ยงพาซื่อคิดว่าทั้งคู่เป็นแต่เพียงเพื่อนนักแสดง เขาเลยออกความเห็นไปว่า พันคำไม่น่าจะช่วยอะไรได้ จักรน่าจะไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการที่รู้จักกับเธอมากกว่า จักรได้ฟังก็หัวเราะเยาะว่า ทัพเที่ยงเป็นแต่สอดกระดาษใส่พิมพ์ดีดจริงๆ ไม่รู้หรือไงว่าพันคำนั้นเป็นสามีของวิไลวรรณ คนวงในเขารู้กันทั้งนั้น คราวนั้นทัพเที่ยงยอมรับว่าไม่รู้ ก็เขาเป็นแค่คนเขียนเรื่อง ไม่ได้เป็นหนุ่มสังคมจัดเหมือนจักร กลับเมืองไทยไม่เต็มสองปีดี แต่รู้จักคนไปทั้งวงการ

“ทำไมนายถึงอยากได้คุณวิไลวรรณนัก” ทัพเที่ยงชักสงสัย จะว่าเขาคิดจะได้ใกล้ชิดเธอ จักรก็รู้อยู่แล้วว่าเธอมีพันคำเป็นสามีแล้ว

จักรซี้ดปาก “ก็กันหวังกับเรื่องนี้มาก กันว่าบทสาวทันสมัยก็ต้อง อมรา อัศวนนท์ ส่วนนางเอกผีนัยน์ตาโศกกับพระเอกนักเขียนหน้าดุมันก็ต้องวิไลวรรณกับ ส.อาสนจินดา ทั้งสามคนอย่างกับหลุดออกมาจากเรื่องของนาย กันเสียดายนักเชียว ติดต่อใครก็ไม่มีคิวให้เราเลย อาจารย์ส.ก็ว่าตัวเองแก่เกินบท แก่เก่ออะไรกัน” คำหลังเขาเริ่มน้อยใจชะตาชีวิตนักทำหนัง เพราะมันไม่มีอะไรง่ายเลย

“เอาเถอะ…ถ้าไม่ได้จริงก็…” เขาบุ้ยใบ้ไปทางเฟื่องฟ้า “อมราก็อมราเถอะ กันว่าเราอาจจะได้ดาราหน้าใหม่ก็ได้ใครจะไปรู้”

ทัพเที่ยงว่าพลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ ตาก็จ้องวงสนทนาที่มีเฟื่องฟ้าเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียว เขานึกเลยไปถึงแม่กลิ่น หล่อนยังมาหาเขา พยายามจะให้เขานอนหลับเพื่อพาเขาล่องกลับไปสู่ชาติภพไหนไม่รู้ที่เขาไม่ปรารถนาจะไป

เขาเองนั้นยุ่งเยิงเกินกว่าจะมีแก่ใจทำตามคำขอของหล่อน เลยขอร้องแกมบังคับว่าจะยอมไปกับหล่อนเมื่อเขียนบทหนังเสร็จ มันทำให้หญิงสาวยอมถอยก็จริงแต่ก็ยังวนเวียนอยู่กับเขาไม่ห่าง เพียงแต่เขาแสร้งทำไม่เห็นและกลิ่นก็ไม่รู้ ว่ากันตามจริงเขาชอบดูกิริยาหล่อนตอนเผลอไผล มันมีทั้งความอยากรู้อยากเห็น น่ารักน่าชัง ไม่เหมือนแม่กลิ่นตอนรู้ตัว กลิ่นคนนั้นจะมีมาดของหญิงไทยใจงาม แม้เขาจะไม่อาจได้ยินเสียงหล่อน แต่ทัพเที่ยงก็รู้ว่าคนอย่างแม่กลิ่นนั้นเป็นผู้หญิงที่ถูกสอนมาให้เก็บปากเก็บกิริยา วันนั้นเขาเห็นเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ อยากจะเข้าไปปลอบเสียให้ได้แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ เขายังมีภาระที่ต้องทำ รอสักหน่อยเถอะแม่กลิ่น เมื่องานสำเร็จแล้วเธอจะเอาเขาไปขึ้นช้างลงม้าที่ไหนเขาก็จะยอมทั้งนั้น

ตอนนี้งานของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าเธอรู้จะดีใจแค่ไหนนะ ทัพเที่ยงคิดถึงใบหน้าทีเผลอของกลิ่นแล้วอมยิ้ม เขาแลเลยไปทางกิริยาปราดเปรียวเข้าสังคมเก่งของเฟื่องฟ้าแล้วก็นึกเปรียบเทียบ

หากเป็นดอกไม้เฟื่องฟ้านั้นเหมือนดอกกุหลาบงาม หอมหวน ชวนดม แต่กลิ่นนั้นเหมือนดอกแก้วหน้าเรือนก้านมะลินั่นแหละ ดอกเล็กกระจิริดไม่เด่นงามเท่าแต่ก็หอมรื่นเย็น จนถ้าถามว่าเขาชอบดอกไม้ชนิดไหนมากกว่ากัน เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

 

จักรมองดูหลานสาวตัวเองด้วยความหมั่นไส้ เขารอบมองทัพเที่ยงสงสัยครามครันว่าเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนกันจริงๆ รู้สึกอย่างไรกับภาพตรงหน้าบ้าง เขาเห็นทัพเที่ยงยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ ตามองตรงไปที่เฟื่องฟ้าซึ่งห้อมล้อมด้วยหนุ่มมีชื่อของพระนคร หากแต่สีหน้านั้นอ่านยากเหลือเกิน

“อาจารย์คะ” เสียงใสของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทั้งจักรและทัพเที่ยงหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสุ่ม ปากสีชมพูกระพุ่มมือไหว้ หล่อนยืนคู่กับเพื่อนวัยเดียวกันที่ดูกระมิดกระเมี้ยนกว่า จักรรู้สึกคุ้นหน้าแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นผู้หญิงสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน

“ดิฉันอรพินกับมาลี เคยเรียนกับอาจารย์ทัพเที่ยง ตอนนี้จบมาได้ปีนึงแล้วค่ะ”

“อ้อ…อรพิน มาลี” ทัพเที่ยงจำได้ทันที จักรเองก็จำได้เพราะอรพินคือนักศึกษาสาวช่างเจรจาที่มักจะนั่งจ้องอาจารย์ร่างสูงอย่างตั้งอกตั้งใจ หล่อนทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งในวิชาที่ทัพเที่ยงเป็นผู้สอน และยังไม่มีนักศึกษาคนไหนทำลายคะแนนที่หล่อนทำเอาไว้ได้ เรื่องแรกนั้นจักรรู้เพราะเคยไปรอทัพเที่ยงในห้องเรียนรวมที่ชั้นหนึ่ง แต่เรื่องที่ว่าหล่อนทำคะแนนได้ดีเยี่ยมนั้นเป็นทัพเที่ยงที่ยกย่องอรพินให้จักรได้ชื่นชมความตั้งใจของนักศึกษาคนนี้ด้วย

“ค่ะ…อาจารย์มาที่นี่บ่อยไหมคะ” เสียงหล่อนเจื้อยแจ้ว

“ไม่บ่อยหรอก แล้วคุณล่ะ” ทัพเที่ยงตอบ สีหน้าของเขายินดีที่ได้เจอลูกศิษย์

“บ่อยค่ะ เห็นอาจารย์จักรหลายครั้งแล้วแต่ไม่กล้ามาทักเกรงว่าจะรบกวน”

“ทักได้ครับ ไม่รบกวนอะไร” จักรตอบ พินิจดูรอยยิ้มสดใสก็เห็นว่าหล่อนเป็นคนน่ามองอยู่พอควร ปากอิ่มสีสดและการแต่งเนื้อแต่งตัวเต็มยศสำหรับคืนนี้ คงจะเป็นสาเหตุหลักที่กว่าทัพเที่ยงจะจำหล่อนได้ก็ใช้เวลาเป็นครู่ ก็ใครจะคิดกัน เด็กสาวหน้าจืดๆ ที่เห็นอยู่ไม่กี่วัน จะเฉี่ยว เปรี้ยว ได้ถึงปานนี้

หญิงสาวถือเอาคำอนุญาตนั้นเป็นการเชิญให้อยู่ต่อ ลูกศิษย์สาวจึงใช้เวลาหลายนาทีชวนอาจารย์ที่เคยสอนซักไซ้พูดคุยเสียจนจักรต้องถอยออกมาดูหนึ่งก้าว ความโชกโชนของเขามองปราดเดียวก็รู้ว่า แม่อรพินคนนี้ไม่ได้เคารพทัพเที่ยงอย่างที่ลูกศิษย์พึงมีให้อาจารย์ ประกายวิบวับและฉาบความสุขล้นนั้นบอกให้รู้ว่าหล่อนมีความในใจมากกว่านั้น ความไร้เดียงสาของหญิงสาวเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ไม่มิด แต่จักรก็ไม่แน่ใจว่าทัพเที่ยงจะเห็นสิ่งที่เขาเห็นไหม ด้วยนิสัยนิ่งและแสดงออกน้อยของทัพเที่ยงทำให้ดูยาก จักรแน่ใจว่าถ้าทัพเที่ยงไม่ได้มีใจคิดไปในทางเดียวกับอรพิน ชายหนุ่มก็คงจะแกล้งไม่รับรู้และปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปเงียบๆ

กำลังมองหนูหยอกราชสีห์ตาบอดอยู่เพลินๆ ฉับพลันนางเสือดาวก็ปราดเข้ามาแทรกกลางวงสนทนา

“คุยอะไรกันคะ ออกรสน่าดู” เฟื่องฟ้าทัก กราดยิ้มให้ทุกคนด้วยความหวานหยด

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทั้งสองกระพุ่มมือไหว้ หน้าเผือดลงเมื่อเห็นเฟื่องฟ้ากระหวัดมือคล้องแขนทัพเที่ยงเอาอย่างคุ้นเคย

“อย่าเผลอเล่าเรื่องของเรานะคะ มันยังเป็นความลับ” หล่อนว่า เอานิ้วชี้เคลือบสีแวววาวแตะริมฝีปากตัวเองพลางขยิบตาให้หญิงสาวไร้เดียงสาทั้งสอง

“ความลับทางธุรกิจน่ะคะ” เฟื่องฟ้าขยายความ ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่หยอกเด็ก หญิงสาวที่อ่อนกว่าเฟื่องฟ้าเล็กน้อยแต่ประสบการณ์นั้นน่าจะต่างกันลิบยิ้มรับ ความเก้อเกร็งปรากฏชัด จักรไม่ใจดีพอที่จะเข้าไปแก้สถานการณ์ เขายังสนุกที่จะรอดูว่านางเสือดาวจะทำอย่างไรกับหนูน้อยน่ารักสองตัวนั้นดี

ก่อนหน้านี้จักรรู้สึกขัดตาขัดใจเมื่อเห็นเฟื่องฟ้ามีท่าทีสนใจทัพเที่ยง เขาไม่ได้รังเกียจทัพเที่ยง แต่เขาก็หัวโบราณเรื่องผู้หญิงเหมือนที่หลานสาวคนสวยเคยค่อนขอด แล้วยิ่งการเห็นญาติสนิทตัวเองมีท่าทีให้ผู้ชายก่อน แม้จะไม่ได้กระทำจนน่าเกลียดแต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี

จนเมื่อจักรพาเฟื่องฟ้าออกงานสังคม ได้เห็นหนุ่มๆ รุมล้อม โดยเฉพาะกลุ่มชายเจ้าชู้ของพระนครที่เขารู้ไส้แทบทุกขด บางคนก็เป็นเพื่อนเก่า บางคนก็เคยพบกันตอนเรียนที่อังกฤษ ซึ่งในกระบวนชายทั้งหมดที่รายล้อมเฟื่องฟ้าอยู่นั้น คุณชายระพีพัฒนามีภาษีดีที่สุดแต่ก็น่ากลัวที่สุดด้วย เพราะนอกจากจะร่ำรวยมหาศาลแล้ว คุณชายยังงามพร้อมเสียจนผู้หญิงทั้งพระนครแทบจะหมอบราบคาบให้

การเป็นคนของคุณชายระพีนั้นก็เก๋ไม่หยอก แต่จะยึดคุณชายเจ้าเสน่ห์เอาไว้ได้นานแค่ไหนนั้น จักรไม่อยากคาดการณ์ ดังนั้นการที่เฟื่องฟ้ามีท่าทีให้ราชสีห์ตาบอดอย่างทัพเที่ยงนั้น เขาจึงสบายใจได้ว่าหล่อนจะไม่พบกับความเจ็บช้ำ เพราะถ้าจะพูดถึงเรื่องเงินทองนั้นตัวเฟื่องฟ้าก็มีล้นเหลือประมาณ หรือแม้เกียรติยศตระกูลของเขาก็มีไม่น้อยหน้าใคร ดังนั้นจึงไม่ควรจะต้องเอาความสุขในชีวิตมาเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้อีก

แต่ความคิดเช่นนี้นายแพทย์โอฬารบิดาเฟื่องฟ้าจะเห็นด้วยนั้นก็น่าจะยาก หากแต่คุณหญิงลำเจียกผู้เป็นป้าของเขาและเป็นย่าของเฟื่องฟ้า จักรยังแน่ใจว่าถ้ารวมคุณวุฒิทางการศึกษาและหน้าที่การงานเข้ากับนิสัยใจคอของทัพเที่ยง คงจะทำให้คุณหญิงป้าของเขามองข้ามชาติตระกูลเชื้อแถวของทัพเที่ยงไปได้บ้างถ้าเกิดว่าหลานสาวท่านจะเอาจริง

ความดื้อของเฟื่องฟ้าเป็นส่วนหนึ่งและความรักก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง คุณหญิงลำเจียกสอนจักรเสมอว่าปลูกเรือนนั้นต้องตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน แต่ผู้อยู่และผู้นอนก็ต้องรู้จักตนเอง จะเลือกเรือนเลือกอู่ก็ต้องให้สมตัว ไม่ใช่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย แปลง่ายๆ ก็คือคุณหญิงลำเจียกไม่นิยมการบังคับจับคู่แต่ลูกหลานก็ต้องเลือกให้สมกัน อาการเอ็นดูทัพเที่ยงอย่างออกนอกหน้าของแม่เย็น ผู้ซึ่งเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับนายโดยตลอดบอกให้รู้กลายๆ ว่า คุณหญิงป้าของเขาพอใจทัพเที่ยงอยู่ไม่ใช่น้อย

“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ รบกวนอาจารย์มามากแล้ว” เสียงอรพินบอกลา หลังจากยืนประดักประเดิดอยู่ตรงนั้นมาครู่ใหญ่ หล่อนกระพุ่มมือไหว้ทุกคน จักรรับไหว้แล้วยิ้มให้ มองตามไปจนหญิงสาวไปรวมกับกลุ่มเพื่อนอีกมุมหนึ่งของห้อง จักรมองตาม เขาสะดุดตากับหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มนั้น ไม่ใช่ความสวยแต่เป็นวิธีเชิดหน้ามองตอบเขาอย่างยิ่งผยอง จักรไม่สนใจเพราะเขาเจอการเรียกร้องความสนใจจากสตรีมาหลากหลายวิธีแล้ว

“อย่าบอกนะคะว่านางเอกผีของสาปรักเรือนร้าง เอามาจากเด็กคนนั้น” เฟื่องฟ้ากระเซ้า ก่อนหน้านี้หล่อนขอเปลี่ยนชื่อจาก สาปรักเรือนก้านมะลิมาเป็นชื่อใหม่ เพราะรู้สึกว่าชื่อและสถานที่นั้นมันชัดเจนจนเกินไป “ฟ้ากลัวว่าคนดูจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วบรรดาเพื่อนคุณย่าจะไม่มีใครกล้ามาบ้านน่ะค่ะ” เหตุผลทีเล่นทีจริงของเฟื่องฟ้าทำทุกคนเห็นด้วย

“ว่ายังไงคะ มาจากแม่สาวคนนั้นหรือเปล่า” หล่อนยังคงถามจี้คำเดิม

ทัพเที่ยงไม่ตอบ เขาได้แต่ยิ้ม

“ไม่ใช่หรอกน่า” จักรไม่เห็นด้วย

“ดวงตากลมโต เอวบาง ผิวน้ำผึ้ง หวานอมเศร้า ก็ตรงอยู่นะคะ” เฟื่องฟ้าพูดเรื่อยๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

“ไม่ใช่หรอกครับ” ทัพเที่ยงยอมตอบ จักรมองเลยไปยังร่างเล็กบางของอรพิน เขาไม่เห็นกิริยาหวานอมเศร้าสักนิด แต่ไม่ได้พูดขัด เขายังสนุกในการดูละครโรงเล็กตรงหน้า

ผู้หญิงหนอ…พอมีคู่แข่งเข้าหน่อยก็ถึงกับทนไม่ได้ เมื่อกี้ยังทำเหมือนปลากระดี่ได้น้ำอยู่ท่ามกลางเสือ สิงห์ของพระนครอยู่เลย ที่หล่อนถึงกลับแหวกวงล้อมหนุ่มๆ พวกนั้นออกมาทวงของคืน จากที่เคยนึกขวางทัพเที่ยงที่ไม่ใคร่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง จักรกลับรู้สึกหมั่นไส้หลานสาวของเขาเสียเอง

หล่อนสวยเฉียบขาดและรู้จักบริหารจัดการเสน่ห์ของตัวเอง จนจักรนึกเห็นใจทัพเที่ยงครามครัน จักรไม่แน่ใจว่าทัพเที่ยงรู้สึกอย่างไรแน่ แต่ที่แน่ใจคือทัพเที่ยงไม่เคยอึดอัดที่มีเฟื่องฟ้านัวเนียอยู่ใกล้ๆ หรือจักรมองทัพเที่ยงดีเกินจริง บางทีทัพเที่ยงก็คงเหมือนเขา เหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ได้ประเสริฐเลิศลอยเหมือนที่แม่เย็นยกย่องอยู่บ่อยๆ

‘เพื่อนคุณจักรคนนี้น่ะ ไม่เหมือนที่อิฉันเคยเห็น เธอสวยออกอย่างนั้นแต่ไม่เจ้าชู้เอาเสียเลย’ เสียงแม่เย็นแว่วเข้ามาในห้วงคิด ตอนนั้นเขาถามกลับว่าแม่เย็นรู้ได้อย่างไร หญิงชราทำท่าขัดใจแล้วตอบว่า

‘แหม…ไม่เห็นหรือเจ้าคะ เวลาคุณเฟื่องฟ้าพาเพื่อนสาวๆ มาบ้าน มีก็แต่คุณเท่านั้นละที่กรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ คุณทัพเที่ยงเธอนิ่งอย่างกับหินเวลาที่โดนแม่พวกสาวสมัยหยอกเอา’

จักรนึกตามคำพูดหญิงต้นห้องคนสนิทของคุณหญิงลำเจียก แล้วลอบมองคนตรงหน้า ชายร่างสูงยืนคุยเรื่อยๆ อยู่กับหลานสาวของเขา บางจังหวะที่เฟื่องฟ้าเผลอเข้าใกล้ทัพเที่ยง จักรรู้สึกว่าชายหนุ่มออกอาการเกร็ง เชื่อได้ว่าทัพเที่ยงไม่ช่ำชองเรื่องผู้หญิง แต่ในอาการต่างๆ เหล่านั้นเขาเห็นประกายตาอิ่มล้นที่ผู้ชายจะมีให้ผู้หญิงที่ตัวเองพอใจสักคน

บางทีแล้ว…เฟื่องฟ้าอาจจะเข้าไปนั่งกลางใจของทัพเที่ยง ไม่ใช่เพียงแค่แหย่ขาเข้าไปเหมือนที่เขาเคยคาดเดามาก่อนเสียกระมัง

“ถ้าคนข้างๆ ที่สวมชุดสีเหลืองผมว่ายังใกล้เคียงกว่า” เสียงทัพเที่ยงดึงจักรออกมาจากห้วงความคิด เขามองตาม อ้อ…แม่สาวหน้าหยิ่งคนนั้น

“เหมือนยังไงคะ หล่อนยืนคอแข็ง แม่แก้วเชิดขนาดนั้นเลยหรือคะ” เฟื่องฟ้าหมายถึงนางเอกผีในเรื่อง

“สวยเรียบๆ แต่หวานเหมือนกันกระมังครับ แม่แก้วบางครั้งก็มีมุมดุ จนพระเอกของเราก็ต้องถอยเมื่อเห็นสายตาแบบนั้น” ทัพเที่ยงตอบเรียบๆ อย่างคนวิจารณ์ข้าวของไม่ได้มองด้วยใจพิศวาส จักรมองตามเขาสบตากับหญิงชุดเหลืองที่บังเอิญมองมาพอดี เลยแก้เก้อด้วยการยิ้มแล้วผงกศีรษะให้ อรพินหันมายิ้มตอบแล้วสะกิดหญิงชุดเหลืองทำนองให้ยิ้มตอบไมตรีของจักร แต่หล่อนกับหันไปคว้าเครื่องดื่มจากบริกรซึ่งน่าจะเป็นน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแทน

จักรไม่ถือสา อย่างที่บอกว่าเขาพบเจอผู้หญิงมาหลายประเภท เลยสนุกที่จะดูการแสดงของหล่อนมากกว่า

“งั้นคุณก็ใช้แม่หนูอรพินเข้าหาเธอสิคะ เผื่อเธอจะยอมมาเป็นนางเอก” เสียงเฟื่องฟ้าเริ่มออกอาการงอน จักรหันไปมอง เขาเห็นทัพเที่ยงพยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีทีท่าจะรับรู้ปฏิกิริยา ‘งอน’ ของเฟื่องฟ้าสักนิด

“ผมเจรจาไม่เก่ง คุณเฟื่องฟ้าน่าจะเหมาะกว่า ให้ผมเรียกอรพินให้ไหมครับ” จักรได้ยินก็แทบจะหัวเราะก๊าก…ถ้าคนที่พูดเป็นเขามันคงจะเป็นการพูดเพราะแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ แต่สำหรับทัพเที่ยงหมอนั่นหมายความตามที่พูดจริงๆ

เฟื่องฟ้าหน้าตึงแต่ทัพเที่ยงไม่ทันมอง จักรได้ยินเสียงเฟื่องฟ้ากระแทกเสียงตอบว่า “ค่ะ” เป็นอันว่าอรพินเลยได้กลับมาสนทนากับทัพเที่ยงอีกครั้ง

แต่คราวนี้นอกจากอรพินจะนำจักรและทัพเที่ยงไปรู้จักกับหญิงชุดเหลือง สิ่งที่จักรไม่คาดหวังจะได้ยินคือเธอยังรู้จักกับระย้าคนนั้นด้วย

ตอนที่จักรถามนั้นไม่ได้หวังกับคำตอบมากนัก เขารู้ว่าอรพินมาที่นี่บ่อยๆ เลยถามเผื่อว่าหล่อนจะเคยเห็นระย้าบ้างแต่เธอดันตอบว่า “พี่ระย้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับยายแป้น อ่า…สวรรยาสุภาพสตรีชุดเหลืองที่อาจารย์อยากรู้จักนั่นแหละค่ะ”

จักรและทัพเที่ยงถึงกับตาลุกวาว จักรไม่ลังเลที่จะอาสาเข้าไปพูดคุยกับแม่สาวหน้าหยิ่งคนนั้นด้วยตัวเอง หากแต่เมื่อพวกเขาหันไปทางแม่สาวชุดเหลืองอีกรอบ เธอก็หายไปจากบริเวณนั้นแล้ว

“ตายจริง ยายแป้นคงกลับไปแล้ว ดิฉันมีเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเธอค่ะ แต่คงจะให้เลยไม่ได้ต้องไปขออนุญาตสวรรยาเสียก่อน”

“สมควรอย่างยิ่งครับ แต่ผมอยากจะขอร้องคุณอรพินสักข้อหนึ่ง” จักรว่า สายตาคมกริบของเขาทำอรพินแก้มแดง

“กรุณาบอกเธอแค่ว่าผมอยากติดต่อคุณระย้า อย่าบอกว่าผมอยากจะได้เธอมาเป็นนางเอกเรื่องนี้”

“ทำไมล่ะคะ”

“เพราะผมคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสุภาพสตรีที่อยู่ในความปกครองของคุณพ่อคุณแม่ ผมคิดว่าควรจะได้รับอนุญาตจากพวกท่านเสียก่อนที่จะไปเจรจากับเธอ”

“โอ้…ได้สิคะ ดิฉันเห็นด้วยว่าควรจะเป็นเช่นนั้น” อรพินตาวาว มองจักรด้วยความนับถือ ลูกแมวน้อยอ่อนโลกอย่างหญิงสาวไม่รู้หรอกว่า จักรนั้นวางแผนสิ่งใดเอาไว้ในใจบ้าง



Don`t copy text!