มหรสพเวรา บทที่ 28 : ไม่อาจเอ่ยคำ

มหรสพเวรา บทที่ 28 : ไม่อาจเอ่ยคำ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

ความทุกข์ของเขาคือการอโหสิกรรมให้กับแม่กลิ่น…เขาไม่อยากอโหสิกรรมให้หล่อน

เมื่อไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหา ทัพเที่ยงจึงไม่กลับเรือนก้านมะลิ แต่เลือกจะอยู่ที่วัดต่อไปแทน

ในทุกวันเขาได้ไปเดินตามหลังหลวงพ่อบิณฑบาต ใช้เวลาที่เหลือกวาดลานวัด เพื่อจะมีเวลานั่งมองใบไม้ที่ตัวเองกวาด พิจารณารูปทรง สีสัน รอยแหว่งของพวกมัน รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาทำวัตรเย็น เขาสวดมนต์กับพระ ก่อนจะเข้านอนไปโดยไม่คิดอะไร เพื่อจะตื่นขึ้นไปเดินตามหลังหลวงพ่อในเช้าวันถัดไปอีกครั้ง

มันจะเรียกว่าสมาธิได้ไหมนะ เขาอาจจะพออธิบายเรื่องนี้ได้อยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองแตกฉานแค่ไหน ก็เหมือนการท่องจำนิยามอะไรสักอย่างแล้วเขียนลงกระดาษคำตอบนั่นแหละ อาจจะตอบถูกแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งไปกับคำตอบนั้นทั้งหมด

จนกระทั่งเช้าวันที่ห้าหลังจากทัพเที่ยงเดินตามหลังหลวงพ่อกลับมาจากบิณฑบาต หลวงลุงก็ตัดสินใจมาคุยกับเขา

“ไอ้ทัพ เอ็งจะปล่อยให้อีหนูนั่นคอยจนถึงเมื่อไร”

“หลวงลุงหมายถึงใครครับ”

“ก็ทั้งคนทั้งผีนั่นแหละ เอ็งอย่ามาไขสือนะว่าเอ็งไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าไม่เชื่อ”

“ครับ” เขาตอบ ขยับตัวจะไปหยิบไม้กวาด แต่หลวงลุงกลับบอกให้เขาตามไปที่บ้านท้ายวัดที่แกใช้เป็นอาศรมรักษาคนอยู่

หน้าเรือนไม้ยกพื้นหลังเล็ก ด้านหนึ่งเป็นสวนสมุนไพร ด้านหนึ่งเป็นแคร่ใหญ่ใต้ต้นจามจุรียักษ์ รถบอร์กวาร์ดของจักรจอดอยู่ตรงนั้น ทัพเที่ยงชะงักฝีเท้า เขารู้สึกไม่พร้อมที่จะเจอใครเลยโดยเฉพาะเฟื่องฟ้า

จักร ปิ่นพิมุกข์เยี่ยมหน้าลงมาจากเรือนไม้ยกสูง เมื่อเห็นทัพเที่ยงกวาดตามองหาใครคนอื่นเขาเลยตะโกนลงมาว่าเขามาคนเดียว

เขามองจักร มีหลายส่วนที่ชายหนุ่มเหมือนหลวงเลิศสลักกิจ เขาเกือบจะคิดว่าน่าจะเป็นจักรที่เป็นหลวงเลิศมาเกิด แต่ก็คิดได้ว่ารูปร่างหน้าตาของคนเรานั้นมาจากพ่อและแม่ การที่เราจะเหมือนใครในอดีตทำนองว่าเป็นการกลับชาติมาเกิดนั้นคงจะเป็นภาพจำจากในหนังในละครเสียมากกว่า ในความเป็นจริง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่รวมกันเป็นคนคนหนึ่งนั้น เมื่อเราตายลงมันก็ดับสูญไปไม่ใช่แต่เพียง ‘รูป’ หรือร่างกายเท่านั้น แต่ความคิดจิตใจก็ล้วนดับสูญไปด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นคนที่เป็นพ่อลูกกันในชาตินี้ อาจจะเคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาจากชาติที่แล้ว หรือคนที่เป็นศัตรูเก่ากันมาแต่ชาติที่แล้วก็อาจจะเกิดมาเป็นคนรักกันในชาตินี้ หากความจำได้และอารมณ์ความรู้สึกที่เรามีต่อใครคนหนึ่งยังตามมาจากชาติต่างๆ ได้ เรื่องคงจะวุ่นวายพิลึก ทัพเที่ยงนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเขากำลังนอนกอดเมียตัวเองแล้วเกิดจำได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นพ่อของเรามาก่อนในชาติที่แล้ว มันจะกระอักกระอ่วนกันขนาดไหน

นึกถึงตรงนี้ทัพเที่ยงเหมือนจะคิดอะไรได้แตกฉานบางประการ แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ดับไป เขารู้สึกอึดอัดจากอาการที่เหมือนจะคิดได้แต่กลับคิดไม่ได้อีกครั้ง

“กันมารับนายกลับบ้าน” จักรว่า ชะโงกลงมาหาทัพเที่ยงที่ตอนนี้เข้าไปยืนในอ่างล้างเท้าทรงสี่เหลี่ยมหน้าบันไดเรือน เขาเอาเท้าถูกันไปมาเมื่อเห็นว่าสะอาดแล้ว ก็เดินตามหลวงลุงขึ้นไป

ชายเจ้าของบ้านเดินเข้าไปในห้องพระ ทิ้งพื้นที่หน้าเรือนให้จักรและทัพเที่ยงสนทนากันลำพัง

“ระย้าถามถึงนาย ตอนนี้หนังสือพิมพ์เริ่มจะสนใจหนังของเราแล้วนะ คือ…เมื่อวานกันเพิ่งไปกินข้าวกับสวรรยามา” จักรพูดเขินๆ

“ไหนระย้าว่าแค่สร้างข่าวลือ พวกนายไม่ได้ไปเดินแถวถนนหนังสือหรอกหรือ” ทัพเที่ยงหมายถึงถนนย่านนางเลิ้ง

“ไปซี ได้ผลเสียด้วย บังเอิญเจอคุณสิงห์นักข่าวบันเทิงเข้าพอดี เขาเข้ามาถามกันว่าเป็นอะไร กันแสดงยังงี้เลยนะ” จักรยกนิ้วให้ตัวเอง “ทีนี้ก็ตามแผนระย้า วันรุ่งขึ้นคอลัมน์ซุบซิบลงข่าวสวรรยากับกัน ไม่ผิดไปจากที่ระย้าตั้งใจสักนิด”

“แล้วคุณสวรรยาว่ายังไงบ้าง”

“ก็นั่งคอแข็งเหมือนเดิมนั่นแหละ เมื่อวานกันไปเจอสวรรยาเดินซื้อของแถวบางลำพู คิดว่าถ้าจะให้สมจริงก็เลยชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันสักหน่อย ก็ลุ้นว่าถ้าบังเอิญพวกนักข่าวตาเหยี่ยวมาเจอ จะได้เอาไปลงกันอีก”

ทัพเที่ยงหรี่ตามอง รอยยิ้มมุมปากของชายร่างใหญ่มากพอที่จักรจะรีบแก้ตัว

“กันไม่ได้ขู่เข็ญเขานะ สวรรยาเขาไปเอง”

“เขาเต็มใจไปหรือ”

“ก็…” จักรอึกอัก “กันก็แค่บอกว่า ถ้าไม่อยากให้เปลืองตัวโดยเปล่าประโยชน์ก็ต้องเล่นให้จบๆ”

คราวนี้ทัพเที่ยงยิ้มกว้าง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อตามเคยแต่ก็ทำให้จักรแก้ตัวพัลวัน

“ก็แค่กินข้าว ร้านข้างทางเอิกเกริก ไม่ได้ไปหลบๆ ซ่อนๆ กินในคลับเสียเมื่อไร กันก็ทำไปตามหน้าที่ยังงั้นเอง ว่าแต่นายเถอะเมื่อไรจะกลับ กันตั้งใจจะมารับเลยนะ” จักรเปลี่ยนเรื่อง

“ได้ กันจะกลับไปกับนาย” ทัพเที่ยงตอบ จักรมองทัพเที่ยงเหมือนไม่เชื่อหู ดังนั้นในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากทั้งคู่กราบลาหลวงลุงและหลวงพ่อแล้ว รถบอร์กวาร์ด อิสซาเบลล่าคันงามของจักร จึงมีทัพเที่ยงนั่งรับลมติดรถกลับไปด้วย

ระหว่างทาง ทัพเที่ยงนึกถึงคำพูดก่อนจากกันของหลวงลุง ‘กลับไปทำหน้าที่ของเอ็งนะไอ้ทัพ’ เขาไม่รู้ว่าหลวงลุงมีญาณหยั่งรู้เหมือนที่ชาวบ้านร่ำลือหรือเปล่า เมื่อคิดว่าจะแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ คำพูดของหลวงลุงก็ทำให้ทัพเที่ยงตระหนักว่า เขาได้ลืมหน้าที่ความเป็นครูของตัวเองไปเสียสนิท…

 

เรือนก้านมะลิเดียวดายไร้ชีวิตชีวา เพียงห้าวันเท่านั้น ทุกอย่างดูเสื่อมโทรมลงราวกับคนป่วยไข้ ทัพเที่ยงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศของเรือนก้านมะลิเหมือนคนตรอมใจ แม้แต่จักรเองก็ยอมรับว่ารู้สึกถึงความอึมครึมเช่นเดียวกัน

“หรือเพราะแม่กลิ่น เธอเศร้าอยู่หรือเปล่า” จักรออกความเห็น

ชายหนุ่มยอมรับกับทัพเที่ยงว่า แม้เขาจะเห็นกลิ่นด้วยตามาด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลานี้เขากลับรู้สึกเหมือนฝัน เพียงหลับไปหนึ่งตื่น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนราง ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

ทัพเที่ยงเงยมองเรือนขนมปังขิงหลังสีเขียว เขาเปิดประตูรั้วเตี้ยเข้าไปในรั้วบ้าน ความรู้สึกเมื่อแรกเห็นผ่านเข้ามาอีกครั้งเมื่อต้นจันใหญ่เริ่มส่ายใบ วงแสงที่ลอดผ่านใบไม้เต้นระยับอยู่บนพื้นและผนังบ้าน ส่วนดอกสายน้ำผึ้งนั้นก็ส่ายไหวตามแรงลมราวกับจะเอ่ยคำทัก

“ฉันกลับมาแล้ว” ทัพเที่ยงกระซิบ สายลมพัดกรูเกรียวเหมือนโอบกอด อย่างจะผลักเขาเข้าไปข้างใน

จักรเดินตาม ชายหนุ่มเห็นใบไม้ม้วนเป็นวงตามลมหมุน เสียงฝีเท้าของทัพเที่ยงที่ขึ้นบันไดฟังเหมือนจังหวะกลอง มันหยุดลงเมื่อทัพเที่ยงหยุดไขกุญแจและถอดรองเท้าหนังของตัวเองวางเอาไว้ที่ข้างประตู

หน้าต่างทุกบานถูกเปิด ลำแดดบ่ายสาดแสงไล่ความหม่นมัว เสียงจุ๊บจิ๊บของนกน้อย เสียงแก๊กๆ ดังลั่นของกระรอก และเสียงสวบสาบยามกระแตวิ่งผ่านกองใบไม้บนพื้นสนาม ทำให้รู้สึกว่าบ้านกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง

จักรหันไปบอกทัพเที่ยงว่าเรือนก้านมะลิไม่เศร้าสร้อยอีกต่อไปแล้ว

“นายจะว่ากันบ้าก็ได้ กันรู้สึกยังงั้นจริงๆ”

“ถ้ามีใครบ้ากว่านายก็กันนี่แหละ” ทัพเที่ยงหัวเราะ เขารู้สึกว่าบ้านทั้งหลังกำลังต้อนรับการกลับมาของเขา

“พรุ่งนี้กันจะนัดระย้านะ” จักรหันมาหา

“นี่นายส่งคะแนนแล้วหรือ” แทนที่จะรับปากหรือปฏิเสธ ทัพเที่ยงกลับถามกลับ

“คะแนน…ตายละวา แล้วนาย…”

“กันตั้งใจจะทำคืนนี้” ทัพเที่ยงยิ้ม จักรขยับนิ้วชี้ไปมา

“สำคัญนักนะ นายยอมกลับมาเพราะเรื่องส่งคะแนนสอบ ทำกันงงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไมถึงยอมกลับมาง่ายนัก”

“ถ้ากันจะบอกว่าเพิ่งคิดถึงเรื่องคะแนนสอบได้ตอนหลวงลุงบอกว่า กลับไปทำหน้าที่ของเอ็งล่ะ”

“ให้เด็ดหัวก็ไม่เชื่อ” จักรยืนการ ทัพเที่ยงเลยได้แต่หัวเราะไม่ว่าอะไรต่อ

 

การสอบปลายภาคของนักศึกษา ผ่านไปแล้วในช่วงเวลาเดียวกันกับการถ่ายหนังสัปดาห์สุดท้าย ตอนนี้ทัพเที่ยงกำลังนั่งทำคะแนนนักศึกษาอยู่บนห้องนอน เมื่อเหลือคะแนนที่ต้องลงอีกเพียงคนเดียวไฟฟ้าในบ้านก็ดับลง

หน้าร้อนย่างก้าวมาถึงโดยมีพายุฤดูร้อนพัดนำมาก่อน ทัพเที่ยงได้ยินเสียงลมหวีดหวิวผ่านช่องลมและแนวไม้ ไม่รู้แมวจรที่เคยมาขออาหารไปหลบลมที่ตรงไหน เจ้ากระรอกเมื่อบ่ายคงจะซ่อนตัวอยู่ในโพรงของมัน ส่วนนกน้อยๆ นั้นน่ากลัวว่าพวกมันอาจจะต้องสร้างรังใหม่

กลิ่นปรากฏกายขึ้นในห้อง ทัพเที่ยงแสร้งทำไม่เห็น ดูเธอวิ่งวุ่นช่วยเขาเก็บข้าวของที่กำลังโดนลมพายุเป่านั้นอย่างเพลินตา

ทัพเที่ยงไม่รู้ว่า ผีอย่างเธอต้องใช้พลังงานแค่ไหนจึงจะสามารถช่วยเก็บกระดาษข้อสอบที่กำลังจะปลิวออกไปนอกหน้าต่าง ให้กลับมาข้างในห้องได้

เขามองสีหน้ากังวลของหญิงสาว ทัพเที่ยงคาดว่ากลิ่นคงจะดูเขามาพักใหญ่ จึงรู้ว่ากระดาษพวกนั้นสำคัญกับเขา แต่ที่เธอไม่รู้คือเขาลงคะแนนลูกศิษย์คนสุดท้ายเสร็จสิ้น โดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องผ่านลงมาเรียบร้อยแล้ว

เขาเข้าไปประชิดตัวเธอ กลิ่นสะดุ้ง เธอหันมาพูดกับเขา ทัพเที่ยงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงต้องแสร้งว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอด้วย ดังนั้นนอกจากเขาจะจ้องมองดวงหน้าเจ้าหล่อน ทำเป็นอ่านปาก หากครั้งนี้เขาก็ใกล้เสียจนกลิ่นต้องเอียงหน้าหลบ

“มันมืด ฉันมองไม่ค่อยเห็น” เขาว่าไปนั่น รู้แค่ว่าทำไปเพราะคิดถึงเธอเหลือเกิน

“ไม่ได้ยินน้องอีกแล้วหรือคะคุณพี่” เสียงหล่อนท้อแท้ ทัพเที่ยงยิ้มบาง เขากำลังมีความสุขที่ได้กลับมาเจอแม่กลิ่นของเขาอีกครั้ง

“แต่คุณพี่ก็รู้แล้วใช่ไหมคะว่าน้องต้องการแค่คำอโหสิกรรม”

หล่อนถาม ทัพเที่ยงจับมือกลิ่นขึ้นมาวางประกบข้างแก้มของตัวเอง กลิ่นเข้าใจไปว่าเขาทำเพราะจะอ่านคำพูดที่เขาไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเขาทำเพราะอยากจะอ่านหัวใจของเธอ ตอนนี้เขาอยากรู้ว่า สำหรับเธอแล้ว เขาเป็นทัพเที่ยงหรือเป็นคุณเฟื่อง ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยโทสะคนนั้นกันแน่

“คุณพี่…คุณพี่คิดอะไรอยู่คะ” เสียงหล่อนถาม สายตาที่จ้องมาเต็มไปด้วยความห่วง

“คุณพี่ไหน” เขาถาม “เธอพูดว่าคุณพี่ใช่ไหม” เขาแกล้งว่า

“ก็คุณพี่…คุณพี่เฟื่อง” หญิงสาวตอบไม่เต็มเสียงนัก

“เธอยังเห็นฉันเป็นคุณพี่เฟื่องของเธออีกหรือ”

“ค่ะ…สำหรับน้องแล้วยังรักนับถือคุณพี่ไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ คุณพี่ก็ยังเป็นคุณพี่ของน้อง น้องเข้าใจคุณพี่ น้องไม่เคยถือโทษโกรธเคืองคุณพี่เลย” สายตาของกลิ่นทอประกายอ่อนหวาน เธอรักและจริงใจกับคนที่เธอพูดถึงทุกถ้อยคำ

“ฉันเหมือนคุณพี่เฟื่องของเธอที่ตรงไหน” สิ้นคำถาม ทัพเที่ยงก็จับมือกลิ่นลากไปบนมัดกล้ามบนหน้าอกตัวเอง กลิ่นดึงมือออกปากคอสั่น

“ตอบฉันสิกลิ่น เธอยังเห็นฉันเป็นคุณพี่เฟื่องของเธออีกไหม”

หญิงสาวเงยหน้าจ้องตาทัพเที่ยง ดวงตานั้นงงงวย เธอถามเขาออกมาว่า เขาได้ยินเสียงของเธออย่างนั้นหรือ

ทัพเที่ยงไม่ตอบ เขาไม่จำเป็นต้องยอมรับหรือปฏิเสธ มันเป็นเรื่องของเธอที่จะต้องเดาเอาเอง ถือซะว่าเป็นการลงโทษ เปิดโอกาสให้เธอได้ชดใช้สิ่งที่เธอทำกับคุณพี่เฟื่องของเธอก็แล้วกัน…

ทัพเที่ยงคิดขำๆ กลิ่นยังมองด้วยความฉงน ส่วนเขานั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองกิริยาของกลิ่นเป็นความน่ารักน่าใคร่มากกว่าความรู้สึกอื่น

สำหรับทัพเที่ยง แม้จะไปรู้ไปเห็นชีวิตของคุณเฟื่องมาเต็มสองตา แต่ความคิดจิตใจของตัวเขาก็ยังเป็นทัพเที่ยงอยู่นั่นเอง แล้วดูเธอสิ ถ้ามองเขาเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ทำไมจะต้องหน้าแดง ปัดป้องพัลวันยามที่เขาเข้าใกล้ เธออาจจะสลัดความรู้สึกที่ว่าเขาคือคุณเฟื่องไม่ได้ แต่เธอคงจะมองเขาเป็นคุณเฟื่องอย่างเต็มหัวใจไม่ได้เช่นกัน

“เธอยังไม่ได้ตอบฉันเลย ว่าเธอยังเห็นว่าฉันเป็นคุณพี่เฟื่องของเธออีกไหม” ทัพเที่ยงรอคำตอบ

“คุณพี่…คุณพี่ได้ยินน้องหรือคะ”

“อย่าพูดยาวสิ เธอเห็นฉันเป็นใครกันแน่แม่กลิ่น” ทัพเที่ยงแกล้งว่า เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของกลิ่นยกขึ้น วางหน้าของตัวเองลงในอุ้มมือของหญิงสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้ตาของเขาจ้องตาเธอแน่วนิ่ง ก่อนจะบรรจงจุมพิตแผ่วลงบนฝ่ามือน้อยๆ คู่นั้น

กลิ่นกระชากมือกลับ แม้จะมืดจนแทบมองไม่เห็นสีของผิว แต่สายตาทั้งตื่นทั้งอายของหญิงสาวก็ทำให้เขาแน่ใจว่า แก้มแม่กลิ่นคงสุกปลั่งเหมือนสีสไบของหล่อน และหัวใจที่ซ่อนอยู่ในสไบนั้นก็คงจะหวิวไหวสะทกสะเทือนเหมือนกันกับหัวใจของเขาในเวลานี้



Don`t copy text!