แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง

แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ในตรอกเล็กแคบขนาดคนสองคนเดินสวนกันสบาย ๆ นั้นค่อนข้างยาว  ช่วงแรกด้านหนึ่งของตรอกเป็นกำแพงกุฏิพระ  ส่วนอีกด้านเป็นบ้านสองชั้นขนาดเล็กเรียงกัน  บ้านหัวมุมมีขนาดใหญ่หน่อยเปิดเป็นร้านโชห่วย  ในร้านเท่าที่ซิ่วเฮียงเห็นมีของจำเป็นทุกอย่างตั้งแต่หม้อไหเตาอังโล่ไปจนถึงข้าวสารอาหารแห้งต่างๆ ข้าวของในร้านแออัดจนเหมือนไม่มีที่เดิน

ตรอกบังคับให้คนเดินเลี้ยวขวาหักข้อศอก  สองข้างทางเดินยังเป็นบ้านสลับกับร้านค้า  แต่มีขนาดเล็กกว่าบ้านที่ติดกับกุฏิพระ  ตอนที่ซิ่วเฮียงเดินผ่านตรอกนี้ครั้งแรกเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ  บ้านส่วนใหญ่ปิดประตูเงียบ  แต่ช่วงเช้าบ้านแถวนี้จะคึกคักเปิดบานเฟี้ยมกว้างจนสุดเพื่อขายอาหาร  มีทั้งบ้านที่ขายข้าวขายก๋วยเตี๋ยว  ร้านขายโจ๊ก  พอสาย ๆ ขายหมดก็ปิดร้านเปิดประตูแง้มไว้เพียงบานเล็ก ๆ

ทางเดินเล็กทอดเลี้ยวหักข้อศอกไปทางขวาอีกครั้ง  แต่ก่อนถึงทางหักศอกมีศาลเจ้าองค์แป๊ะกงที่สร้างจากไม้ทาสีแดงสดตั้งอยู่  ในศาลเล็ก ๆ มีรูปปั้นผู้เฒ่าหนวดเครายาวน่าเกรงขามยืนอยู่  ด้านหน้ามีกระถางธูปขนาดใหญ่  ข้าง ๆ ศาลมีต้นคูณต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านคลุมหลังคาศาลอยู่ครึ่งหนึ่ง  ฝักสีดำที่ห้อยเต็มต้นตัดกับสีเขียวของใบที่ดกหนา

เนื่องจากสองสาวต่างวัยหอบหิ้วข้าวของกันมาเต็มสองมือ  จึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากก้มศีรษะแสดงความเคารพกับองค์แป๊ะกง  เง็กซิมบอกว่า

“องค์แป๊ะกงและทีกงท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะเฮียง  คนแถวนี้นับถือกันทั้งนั้น  เดี๋ยวเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็มาไหว้ท่านเสียหน่อย  ขอให้องค์แป๊ะกงคุ้มครองอยู่เย็นเป็นสุข”

“จ้ะ  เฮียงก็ตั้งใจว่าจะไหว้เหมือนกัน”  ซิ่วเฮียงตอบ  รู้สึกสบายใจขึ้นที่แถวนี้มีศาลเจ้าให้กราบไหว้

ด้านหลังศาลเจ้าองค์แป๊ะกงคือบ้านไม้สองชั้นขนาดใหญ่  ตัวบ้านนอกจากมีประตูบานเฟี้ยมขนาดใหญ่แล้วยังมีประตูเล็กที่เปิดเข้าไปจากกำแพงรั้วได้อีกทาง  ตอนแรกซิ่วเฮียงมองไม่เห็นอะไรเพราะกำแพงบ้านสูงและยาวเหยียด  หล่อนเห็นแค่บ้านสองชั้นด้านหนึ่งกับต้นมะม่วงใหญ่…ใหญ่กว่าต้นหน้าบ้านที่สุพรรณมากอยู่สุดรั้วอีกด้านสองต้น

“นี่บ้านเถ้าแก่ส่วง  คนเขาเรียกง่าย ๆ ว่าบ้านลานมะเกลือ”  เง็กซิมบอก

ตรงข้ามบ้านลานมะเกลือมีทางระบายน้ำขนาดใหญ่  อีกด้านของทางระบายน้ำมีร้านและบ้านเรือนเรียงเป็นแถว  ทุกร้านมีทางเดินข้ามที่เป็นแผ่นซีเมนต์กว้าง ๆ เชื่อมไว้  ร้านที่ว่ามีทั้งร้านขายยาที่ด้านหน้าตั้งตู้แช่ทรงสูง  ในตู้มีถ้วยน้ำเก๊กฮวยและน้ำขมเรียงกันเป็นตับ  ถัดจากร้านขายยาขายขนม  มีกระจาดวางขนมลูกอมสารพัดรวมถึงตู้หมุนไข่เพื่อหลอกล่อเด็ก ๆ  ต่อจากร้านขายขนมเป็นร้านทำกระปุกออมสิน  ทางร้านผึ่งกระปุกหมูที่ทำจากปูนปลาสเตอร์เรียงไปตามทางเดิน  มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่  พอหมูแห้งก็พ่นสีแดงสีเหลืองสีเขียว  กลิ่นสีฟุ้งในอากาศแรงพอ ๆ กับกลิ่นธูป

“ที่นี่มีของขายทุกอย่างเลยนะจ๊ะ”  หญิงสาวพอใจ  เมืองกรุงมันดีอย่างนี้เอง  ขนาดบ้านอยู่ในตรอกซอกซอยขนาดนี้ยังมีทั้งร้านขายยาร้านขนม  เวลาป่วยไข้หรือหิวก็ไม่ต้องวิ่งหาไปไกล ๆ

“ใช่  ที่นี่อยู่สบาย  ตรงออกไปจนสุดข้ามถนนไปก็เป็นตลาดสด  ไว้เง็กซิมจะพาเฮียงไป  ต่อไปจะซื้ออะไรมาทำกับข้าวก็สะดวก”

เง็กซิมยังเดินนำไปเรื่อย ๆ ขณะที่ซิ่วเฮียงยังหันไปมองกระปุกหมูสีแดงสดลายดอกไม้อย่างหมายมั่น  ตั้งใจว่าวันไหนได้กลับบ้านที่สุพรรณหล่อนจะซื้อตัวใหญ่สุดไปฝากหาญ  ลูกคงชอบ…

สุดเขตรั้วบ้านลานมะเกลือมีตรอกเล็ก ๆ แยกไปทางซ้ายมือ  แม่บุญธรรมของซิ่วเฮียงอธิบายว่า  สุดตรอกเล็กคือลานมะเกลือ  ในลานมะเกลือมีทั้งโรงงานและบ้านชาวบ้านทั่วไปและห้องพักคนงาน  แต่เง็กซิมพักอยู่ในเรือนแถวที่อยู่ติดกับบ้านลานมะเกลือ  เรือนแถวสองชั้นนี้หน้าตาคล้ายกับห้องเช่าที่มหาชัย  แต่กว้างขวางและดูเป็นสัดเป็นส่วนกว่า  แต่ละชั้นมีห้องสามห้อง  มีห้องสุขาและห้องอาบน้ำรวมถึงลานเล็ก ๆ สำหรับซักล้างอยู่ด้านข้าง  และแม้จะอยู่ในกรุงเทพฯค่าเช่ากลับราคาไม่แพงนัก

“เถ้าแก่ปลูกเรือนแถวนี้ไว้สำหรับคนงาน  ค่าเช่าเลยไม่แพงมาก  ไม่งั้นหาไม่ได้หรอกแถวเจริญผลราคาขนาดนี้  เห็นบ้านหลังนั้นไหม”  หญิงสูงวัยชี้ไปทางบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่ด้านหน้าปลูกต้นชมพู่พลาสติกหรือชมพู่แก้วที่กำลังออกลูกดกเต็มต้น  ลูกยังไม่แดงจัดแต่ก็ชวนให้น้ำลายสอแล้ว  “นั่นเถ้าแก่ก็ปลูกไว้เผื่อหลงจู๊หรือญาติจากเมืองจีนมาพัก  แต่ตอนนี้ไม่มีใครเลยปิดไว้”

“เถ้าแก่ของเง็กซิมใจดีจังนะจ๊ะ  รวยมากด้วยมีที่ดินเยอะเลย”  ซิ่วเฮียงไม่รู้ว่าที่ดินในกรุงเทพฯราคาเท่าไหร่  แต่เชื่อว่าคงสูงกว่าที่สุพรรณหรือที่มหาชัยมาก

“มีเงิน  แต่ที่ดินแถวนี้ไม่ใช่ของเถ้าแก่หรอกเป็นที่ดินของรัฐบาล  ที่ราชพัสดุ  เขาให้เช่าอยู่เช่าทำกิน”

“หรือจ้ะ”  ซิ่วเฮียงรับรู้  แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินหิ้วของขึ้นบันได

ห้องของเง็กซิมอยู่ชั้นบน  เป็นห้องหัวมุมที่ติดกับบ้านลานมะเกลือ  ในห้องมีหน้าต่างทั้งด้านหลังและด้านที่เปิดออกไปยังบ้านใหญ่  สองสาวต่างวัยวางข้าวของลงก็ช่วยกันเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นอับ  จากนั้นซิ่วเฮียงก็เก็บข้าวของใส่ตู้ที่เง็กซิมเตรียมไว้ให้  ข้าว ปลาแห้งและขนมที่ขึ้นชื่อจากสุพรรณเก็บไว้ในส่วนครัว  จัดเก็บแล้วก็เช็ดถูบ้านให้สะอาด  ตอนที่ซิ่วเฮียงลงไปหิ้วน้ำขึ้นมานั้นหน้าห้องของเง็กซิมมีผู้หญิงวัยสี่สิบปลายหน้าตาดุยืนหลังไหล่ตรงอยู่  พอเห็นหญิงสาวเดินหิ้วน้ำตัวเอียงเข้ามา  หล่อนก็กวาดสายตามองแบบสำรวจอย่างไม่เกรงใจ

ซิ่วเฮียงท่าทางทะมัดทะแมง  ถึงจะตัวเล็กแต่ดูหิ้วน้ำถังใหญ่ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยแล้วแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเป็นพวกทำงานเป็นหนักเอาเบาสู้  ฝ่ายนั้นจึงพยักหน้านิดหนึ่ง

เง็กซิมโผล่หน้าออกจากห้อง  แนะนำว่า

“อาเฮียงนี่เหง็กลั้ง  เรียกอี้ลั้งก็ได้  อี้ลั้งอยู่ห้องข้าง ๆ เรานี่แหละ”

หญิงสาววางถังน้ำก่อนยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างเรียบร้อย

“หน้าตาใช้ได้นะลูกสาวบุญธรรมลื้อคนนี้  อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”  เสียงของเหง็กลั้งกระจ่างชัดเจน  มีจังหวะจะโคนเหมือนคนมีการศึกษา

ซึ่งซิ่วเฮียงมารู้ภายหลังว่าอีกฝ่ายนั้นแต่เดิมเป็นลูกคนมีเงินเคยได้เรียนหนังสือมาจริง ๆ แถมสามีก็เคยเป็นครูมาก่อน  แต่ในช่วงสงครามครอบครัวของเหง็กลั้งถูกเพ่งเล็งถูกยึดทรัพย์  สองสามีภรรยาจึงหอบลูกชายหนีมาเมืองไทย  โชคไม่ดีที่สามีเหง็กลั้งสุขภาพไม่แข็งแรง  จากปัญญาชนมาสู่คนใช้แรงงาน  ทำงานได้แบกหามได้ไม่นานก็ป่วยไข้และจากไปตั้งแต่ตั้งมาอยู่เมืองไทยได้ไม่ถึงสองปีดี

เหง็กลั้งทำงานหนักเลี้ยงลูกคนเดียวจนเติบใหญ่  แม้หวังจะให้เขามีการศึกษาดี ๆ เหมือนพ่อ  แต่ปัญญาของหญิงม่ายทำได้เพียงเลี้ยงตัวให้รอดเท่านั้น  ตอนนี้ลูกชายทำงานหาเงินเองได้แล้ว  เหง็กลั้งก็ก้มหน้าก้มตาเก็บเงินหวังว่าสักวันจะเปลี่ยนชีวิตทั้งตัวเองและลูกชายให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง  มีครอบครัวใหญ่ที่มั่งคั่งและสุขสบาย

“สิบแปด”

“ดูยังเด็กอยู่เลย”  สายตาอีกฝ่ายเหมือนคาดคะเน

เง็กซิมมองสายตาอีกฝ่ายออก  อาเต็กลูกชายคนเดียวของเหง็กลั้งอายุยี่สิบแล้ว  หลานชายข้างบ้านคนนี้ขยันขันแข็งนิสัยดีแต่ขี้อาย  ตัวแม่ก็หวงลูกชายมากคอยกีดกันสาว ๆ ตอนอาเต็กยังวัยรุ่น  ตอนนี้ถึงวัยที่แต่งเมียได้แล้ว  แม่ก็มองหาผู้หญิงถูกใจให้  แต่เง็กซิมดูแล้วไม่เหมาะ  เหง็กลั้งเป็นคนดีแต่จู้จี้เจ้าระเบียบ  แถมยังหัวโบราณมากนอกจากจะรับสาวแก่แม่ม่ายไม่ได้แล้ว  ใครเป็นลูกสะใภ้คงถูกกดจนไม่เป็นตัวของตัวเองแน่  คิดแล้วเง็กซิมจึงตัดไฟแต่ต้นลม  หัวเราะแล้วบอกว่า

“เด็กที่ไหนกัน  อาหาญลูกชายเฮียงอายุเจ็ดเดือนแล้ว  นี่เพราะกลัวจะลำบากเลยทิ้งไว้ให้แม่เขาเลี้ยงที่สุพรรณไม่ได้พามาด้วย”

เรื่องนี้เง็กซิมกับซิ่วเฮียงคุยกันก่อนเดินทางมากรุงเทพฯแล้วว่าจะไม่ปิดบัง  ซิ่วเฮียงไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่ามาชุบตัวเป็นสาวที่กรุงเทพฯ  หล่อนจึงอยากให้ทุกคนรู้ว่าซิ่วเฮียงคนนี้มีลูกติด  และหญิงสาวตั้งใจมั่นว่าจะวางตัวให้ดีไม่ให้ใครนินทาหล่อนในฐานะแม่ม่ายได้แน่ ๆ

คนถามมีสีหน้าแปลกใจ  สายตาที่มองเปลี่ยนไปทันที  ซิ่วเฮียงนึกว่าเหง็กลั้งจะถามถึงพ่อของลูกชายหล่อนเหมือนคนอยากรู้อยากเห็นทั่ว ๆ ไป  แต่ฝ่ายนั้นเพียงแค่ทำท่าเหมือนรับรู้และคล้ายหมดความสนใจ  เอ่ยเพียงแต่ว่า

“ดีแล้ว  ฝากอาม่าไว้สบายใจกว่าฝากคนอื่นเลี้ยงเยอะ”

ซิ่วเฮียงยิ้มรับ  ยกถังน้ำขึ้นมาใหม่พร้อมเอ่ยว่า

“เฮียงเข้าไปถูบ้านก่อนนะจ๊ะเง็กซิม”

เง็กซิมพยักหน้า  แต่เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานของหล่อนกลับขมวดคิ้วตำหนิว่า

“นี่เราเป็นลูกบุญธรรมเง็กซิมไม่ใช่หรือ  ทำไมเรียกชื่อแม่บุญธรรมเฉย ๆ แบบนี้  ไม่แสดงความเคารพผิดมารยาทที่สุด”

แม่และลูกสาวบุญธรรมชะงักไปทั้งคู่  ก่อนซิ่วเฮียงจะเอ่ยเสียงอ่อยว่า

“แต่เฮียงเรียกมาตั้งแต่เด็กแล้วนะจ๊ะ”

“ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่  เด็ก ๆ ไม่รู้ความไม่เป็นไร  แต่โตแล้วต้องคิดได้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร  ถึงลื้อจะโตที่นี่แต่กิริยามารยาทธรรมเนียมประเพณีดีงามก็ต้องรักษาไว้  เป็นผู้น้อยก็ต้องให้ความเคารพผู้อาวุโส  มีลูกบ้านไหนกันเรียกพ่อแม่ด้วยชื่อแบบนี้”

“แต่คนอื่นก็เรียกเง็กซิมแบบนี้นะจ๊ะ”

“คนอื่นก็คนอื่น  ใครจะเรียกเง็กซิมด้วยชื่อเฉย ๆ ก็ได้  แต่ลูกบุญธรรมจะเรียกแม่บุญธรรมแบบนี้ไม่ได้  เรียกม้าไม่ได้ก็เรียกอี้เรียกอึ้มเรียกซิ่ม  ไม่ใช่เรียกแค่ชื่อ  ใครได้ยินเข้าจะคิดว่าไม่ได้รับการอบรม”  น้ำเสียงของเหง็กลั้งเข้มงวดชนิดที่ไม่ยอมให้ต่อรอง

ซิ่วเฮียงคอตก  ว่ากันตามตรงหญิงสาวมีภูมิคุ้มกันการด่าทอ  แซะ จิกกัดดีมาก  พิกุลทำให้หล่อนต้านพิษคำด่าทอได้เป็นอย่างดี  ด่าได้ด่าไป  ชาชินจนเลิกเจ็บปวดเลิกใส่ใจไปแล้ว  ขนาดเสียงซุบซิบนินทาตอนกลับบ้านที่สุพรรณยังทำอะไรหล่อนไม่ได้  แต่เหง็กลั้งไม่ได้ด่า  หญิงคนนี้ตำหนิซึ่งหน้า  ดุอย่างเอาจริงเอาจังมาก  ดุจนซิ่วเฮียงที่คิดว่าตัวเองเก่งเรื่องทนเสียงด่าว่าทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่มองเง็กซิมอย่างขอความช่วยเหลือ

เง็กซิมหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้มีท่าทางขุ่นเคืองหรือไม่พอใจอะไร  หญิงสูงวัยรับว่า

“ความผิดอั๊วเองแหละที่ให้เฮียงเรียกเง็กซิมมาแต่เด็ก  ไม่ทันคิดว่ามันไม่เหมาะ  ต่อไปไม่ให้เรียกชื่อเฉย ๆ แล้ว  ให้เรียกเง็กซิ่มดีไหม”

เหง็กลั้งมีท่าทางพอใจ  ผิดกับซิ่วเฮียงที่เข้าไปถูห้องด้วยความหงุดหงิด  แต่หญิงสาวก็ทำงานเงียบ ๆ พร้อมกับฟังหญิงทั้งคู่คุยกันเรื่องเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเองไปจนถึงเรื่องหมูผักขึ้นราคา  ครู่ใหญ่แขกถึงขอตัว  เง็กซิมหยิบปลาแห้งขนาดใหญ่สองสามตัวเป็นของฝาก  ฝ่ายนั้นจึงแยกกลับเข้าห้องตัวเองไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เง็กซิมปิดประตูห้องหันมายิ้มเมื่อเห็นหน้าตึง ๆ ของลูกบุญธรรม

“เฮียงไม่พอใจที่อี้ลั้งเขาเตือนใช่ไหม”

“จ้ะ”  ซิ่วเฮียงรับตามตรง  “เฮียงไม่ชอบเลย  เพิ่งเจอหน้ากันแท้ ๆ ทำไมมาว่าเอา ๆ แบบนี้  คนคนนี้แปลกเสียจริง ๆ”

“แปลกแต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร  เหง็กลั้งเขาเห็นว่ามันไม่ถูกต้องก็อยากจะจี้อยากบอกให้เห็น  เขาเป็นคนแบบนี้แหละ  เข้มงวดกับคนรอบตัวและเข้มงวดกับตัวเองมากกว่า  เพราะถ้าไม่พูดไม่เตือนเขาก็จะรู้สึกผิด”  ลงนั่งข้าง ๆ หญิงสาว  ตบเบา ๆ บนต้นขาของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบ  “อีกอย่างที่เหง็กลั้งพูดมาก็ถูก  เง็กซิมผิดเองที่ปล่อยให้เฮียงเรียกเง็กซิมแบบนี้โดยไม่แก้ไขอะไร  เง็กซิมน่ะไม่เป็นไร  แก่แล้วอะไร ๆ ก็ไม่เป็นไร  แต่มันไม่ดีกับเฮียงเลย  เพราะคนอื่นคงมองว่าเฮียงไม่เคารพผู้ใหญ่  เฮียงไม่มีมารยาท”

“อยากมองก็มองไป  เฮียงไม่สนใจ”

“ถ้าเราอยู่กันแค่สองคน  หรืออยู่แค่ที่สุพรรณ  เฮียงไม่สนใจก็ไม่มีใครว่า  แต่ที่นี่ไม่ได้มีแค่เฮียงกับเง็กซิม  มีคนอื่นอีกมาก  จะทำเป็นแค่ฉันพอใจอย่างนี้ฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ  อีกอย่างแค่เปลี่ยนจากเง็กซิมเป็นเง็กซิ่ม  เฮียงก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรไม่ใช่หรือ”

“ไม่เดือดร้อนแต่ก็ไม่ชอบ” ซิ่วเฮียงอยากงอแง  “เฮียงเรียกเง็กซิมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  เฮียงไม่อยากเปลี่ยนนี่จ๊ะ”

“เด็กโง่  เปลี่ยนแค่นี้จะเป็นไรไป  นี่มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น  ต่อไปวันข้างหน้ายังจะมีเรื่องให้เฮียงไม่ชอบใจไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำอีกเยอะ  แค่เปลี่ยนคำเรียกแค่นี้มันขี้ประติ๋วจริง ๆ  แล้วเฮียงอย่าไปโกรธอี้ลั้งเลย  เขาหวังดีจริง ๆ  ถ้าเขาไม่ได้หวังดีหรือคิดว่าเฮียงเป็นลูกเป็นหลานเขาคงไม่เตือน”

“จ้ะ  เง็กซิม…เอ๊ย…เง็กซิ่ม”

เง็กซิมหัวเราะ  สอนต่อว่า

“กับอี้ลั้งก็ดีกับเขาให้มากหน่อย  นอกจากเขาจะอยู่ห้องติดกับเรายังต้องทำงานด้วยกัน  ต้องเจอหน้ากันแทบทุกวัน  สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรูนะเฮียง  อย่างที่เขาบอกแหละว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ไกล  ดีกับเพื่อนบ้านเราก็สบายใจสบายหู  มีปัญหากับเพื่อนบ้านเห็นหน้ากันทุกวันหงุดหงิดอารมณ์เสียทุกวันไม่เรียกนรกแล้วจะเรียกอะไร”

“จ้ะ  เง็กซิ่ม”  ซิ่วเฮียงพยายามเรียกอย่างตั้งใจ

“ดีแล้ว  มา ๆ ถูบ้านเสร็จแล้วเดี๋ยวเง็กซิมจะพาไปหาอะไรกิน  เดินทางมาทั้งวันเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรแล้ว  ไปกินบะหมี่ดีกว่า  แถวนี้มีเจ้าอร่อยเฮียงกินแล้วต้องติดใจแน่”

ออกจากห้องพักเง็กซิมพาหญิงสาวเดินไปทะลุไปยังถนนบรรทัดทอง  ชี้ให้ดูตลาดเจริญผลที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม  แต่เนื่องจากตลาดแห่งนี้เป็นตลาดเช้าตอนบ่ายแบบนี้ตลาดวายไปนานแล้วทั้งคู่จึงไม่ได้แวะไปดู  แต่เดินย้อนลงไปทางด้านหลังสนามกีฬาแห่งชาติ  แถวนั้นมีร้านอาหารให้เลือกหลายร้าน  เง็กซิมพาซิ่วเฮียงไปร้านบะหมี่จริง ๆ บะหมี่หมูแดงมีเกี๊ยวตัวใหญ่รสดีพิเศษ  กินอิ่มแล้วเง็กซิมยังใจดีสั่งบะหมี่แห้งสองห่อเอาไปฝากเพื่อนข้างห้องกับลูกชายด้วย

การหิ้วบะหมี่กลับไปแบบนี้พอไม่ร้อนเส้นจะพันกันและจับเป็นก้อนเล็กน้อย  แต่ความร้อนของบะหมี่ก็ทำให้ใบตองที่รองไว้ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวออกมาจนบะหมี่หอมอร่อยไปอีกแบบ  แม้เหง็กลั้งจะเกรงใจเพราะรับปลาแห้งมาแล้วแต่พอซิ่วเฮียงเอาบะหมี่ไปส่งให้  หล่อนก็อดรับของไว้ไม่ได้  แถมยังมองซิ่วเฮียงด้วยสายตาที่ดีขึ้นมาก

กลับเข้าห้องพักอีกครั้งเง็กซิมอาบน้ำแล้วบ่นเหนื่อยจึงขอพักอยู่ในห้อง  ซิ่วเฮียงที่ซื้อธูปติดมือมาจึงเดินกลับออกไปเพื่อไหว้ศาลองค์แป๊ะกงตามลำพัง

ตอนนี้เวลาเย็นมากแล้ว  โรงเรียนเลิกแล้วและเด็กน้อยที่ส่วนใหญ่นุ่งกางเกงนักเรียนตัวเดียวออกมาวิ่งเล่นกันตามทางเดินแคบ ๆ  ส่วนใหญ่มักหยุดดูสมาชิกหน้าใหม่ในชุมชนอย่างสนใจ  พอซิ่วเฮียงยิ้มให้  เด็กน้อยพากันยิ้มตอบอย่างเขินอายก่อนวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันต่อ  พวกผู้ใหญ่ก็มองหล่อนด้วยความสนใจเหมือนกันแต่แค่มองพอเห็นหญิงสาวตั้งใจจุดธูปไหว้เจ้า  ทุกคนก็เลี่ยงไปอย่างสุภาพ

ซิ่วเฮียงจุดธูปไหว้ศาลองค์แป๊ะกงและทีกงอย่างตั้งใจ  หล่อนขอให้เทพเจ้าช่วยคุ้มครอง  ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ลานมะเกลืออย่างมีความสุข  ปราศจากปัญหา  ขอให้พบเจอแต่คนดี  มีแต่คนมีเมตตาในชีวิต…

เพราะควันธูปตลบ  หญิงสาวจึงหลับตาสวดมนต์ขอพร  ไม่ได้เห็นเลยว่ามีผู้ชายวัยต้นสามสิบท่าทางภูมิฐานหยุดมองหล่อนด้วยสายตาเอ็นดู

ผู้หญิง…น่าจะเพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาได้ไม่นาน  ตัวเล็กผอมบาง  สวมเสื้อคอจีนแขนกลีบบัวสีขาวกับกางเกงดำ  แม้จะดูดีแต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แบบที่สาวเมืองกรุงใส่กัน  หล่อนตัดผมสั้นเห็นศีรษะทุยสวย  และที่เด่นอีกอย่างคงเป็นผิวที่ไม่ได้ขาวจัดแต่นวลเนียนเต็มไปด้วยเลือดฝาด  ท่าทางตั้งอกตั้งใจไหว้เจ้านั้นดูน่าขำ  สวดภาวนาปากขยับขมุบขมิบอยู่นาน  ขนาดเขายืนมองอยู่หล่อนก็ยังไม่รู้สึกตัว

“คนมาอยู่ใหม่หรือคนงานใหม่”  เขาหันไปถามคนงานที่ช่วยถือของกลับมาจากลานมะเกลือ  ระวังให้เสียงไม่รบกวนคนตั้งใจสวดอธิษฐาน

“คงคนงานใหม่ครับเถ้าแก่  เห็นเง็กซิมบอกว่าจะไปรับลูกบุญธรรมมาทำที่โรงเย็บเสื้อ”

“อืม”  อีกฝ่ายตอบรับก่อนเดินเข้าประตูเล็กบ้านลานมะเกลือ  ปิดประตูตามหลังเงียบ ๆ

ซิ่วเฮียงลืมตาปักธูปลงในกระถาง  ยิ้มอย่างโล่งใจสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  หญิงสาวมั่นใจ…ต่อไปจะมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน

 



Don`t copy text!