ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

รัญชน์ไม่คิดมาก่อนว่า ‘คนเลี้ยงม้า’ อย่างตนจะได้ตามเสด็จเจ้าชายกัษษกรเข้าไปในท้องพระโรงด้วย ทรงจัดแจงให้เขากลมกลืนไปกับเหล่ามหาดเล็ก คงเพราะไม่ต้องการให้เขาคลาดสายพระเนตร และเพราะยังทรงระแวงแคลงใจรัญชน์อยู่ดีแม้ว่าเขาจะง้างปากนักโทษจนนำสารเด็ดที่ทรงต้องการทราบที่สุดมาให้ได้สำเร็จก็ตาม และก็ยิ่งไม่คาดคิดอีกเช่นกันว่าจะได้เป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์ตึงเครียดที่เรียกให้เข้าใจง่ายว่าเป็นการยึดอำนาจต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ แม้บัดนี้จะยังไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะไม่เกิดขึ้น และถ้าหากเหตุการณ์บานปลายเลวร้ายไปจนถึงสังหารหมู่เล่า…

โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่เจ้าชายทรงเรียกขานว่า ‘เจ้าแม่’ นั้นยังยิ้มหวานอย่างเยือกเย็น ลักษณะเช่นนี้ละที่น่ากลัว…แม่แบบไหนกันที่ทำเรื่องเลวร้ายกับบัลลังก์ของลูกได้ลงคอ

“รามราช…เจ้ากำลังกริ้วแทนพระชายากระมังจึงพาลมาถึงแม่” พระนางยังรับสั่งนุ่มหวาน “แต่แม่จักมิถือโกรธที่เจ้าเอ่ยจาบจ้วงเช่นนั้นก็แล้วกัน จงรู้ไว้เถิดว่าหาได้มีผู้ใดกระทำต่อเจ้าไม่ อันแสงชวาลาสว่างจ้าบาดตาเกินไป ที่ผู้คนต้องร่วมใจกันดับต้นแสงนั้นก็เกินวิสัยแม่จักต้านทานได้”

โอ…ผู้หญิงอะไรช่างน่ากลัวเหลือเกิน

และหากเมื่อพิจารณาให้ดี รัญชน์ก็เริ่มเห็นเค้าโครงรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันชัดเจนของแม่ลูกคู่นี้ ขณะที่มัณฑนาเทวีมีพระฉวีเหลืองนวลค่อนไปทางขาวจัด วรองค์เล็กบาง และมีเครื่องหน้าแบบที่เรียกว่าปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้ม คล้ายมีเชื้อจีนผสมด้วยซ้ำ เจ้าชายกัษษกรกับมีวรองค์สูงใหญ่ผึ่งผาย ฉวีสีน้ำตาลอ่อนชวนให้นึกถึงสีผืนทราย พักตร์เข้มเนตรคม กระบอกตาค่อนข้างลึก ให้ความรู้สึกว่ามีเชื้อแขกผสมชัดเจน และลักษณะเหล่านี้ก็มิได้ปรากฏในกษัตริย์จักวัติวิราชสักนิด…ชายหนุ่มจึงเริ่มเฉลียวใจขึ้นมา

“อันคนพวกนี้จักคิดคดอย่างไรข้ามิแปลกใจนัก” เจ้าอุปราชปรายเนตรไปยังราชนิกุลวงศ์เวหะจนทุกพระองค์ก้มหน้างุด “แต่พระชนนีของข้า…” ตรัสแล้วก็นิ่งไปเหมือนก้อนสะอื้นจุกอยู่กลางอุระ สะเทือนหฤทัยอย่างยิ่ง “หามิได้ ท่านคงมินับข้าเป็นโอรส…เอาเป็นว่าหากปราศจากท่านแล้ว ไฉนเลยคนพวกนี้จักอาจหาญทำการใหญ่เช่นนี้ได้”

“ตั้งแต่มีชวาลาเป็นชายา ลูกก็มิใคร่เห็นหัวแม่” พระนางยังมีรอยยิ้มประดับพักตร์พลางส่ายไปมาช้าๆ เป็นเชิงเหมือนแม่ที่ระอาใจในความดื้อรั้นของบุตร “หากเจ้าคิดว่าแม่เป็นคนกระทำ ก็ตามใจเถิด”

“นางยมลสารภาพแล้วเจ้าข้า…ว่ารับบัญชาจากพระอัครเทวีมัณฑนาให้มาช่วงชิงเครื่องรางเพื่อทำร้ายองค์หญิงชวาลา”

“แล้วอย่างไรเล่า” พระนางยังไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ “แม่ได้กล่าวไปแล้วว่าหาได้มีผู้ใดกระทำต่อเจ้าไม่”

รัญชน์หวนนึกถึงเมื่อครั้งเข้าไปสนทนากับนางนักโทษยมลโดยอาศัยคราบนักโทษเดนตายเช่นเดียวกับนาง ยังนึกแปลกใจว่าเจ้าชายกัษษกรช่างกล้าไว้ใจให้เขาทำเรื่องสำคัญเช่นนี้เพราะหากจะว่าไปรัญชน์ก็แทบไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น ทั้งยังพูดผิดพูดถูก แต่ถ้ามองอีกมุม ยิ่งเขารู้น้อยเท่าไร ก็จะแสดงละครได้แนบเนียนเท่านั้น

ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นรำพึงถึงโชคชะตา ว่าเกิดมาเป็นทาสรับใช้ต้องสละกระทั่งชีวิตตนให้เจ้านายที่สุดท้ายก็มิได้ดูดำดูดีอันใด มีค่าน้อยยิ่งกว่าผักปลาเสียอีก ตายไปอย่างน่าอเนจอนาถไร้เกียรติ ไร้คนทำบุญให้ มิหนำซ้ำผู้ที่เรารับใช้ภักดีถวายชีวิตให้ก็อาจลืมเลือนนามเราไปได้เพียงชั่วข้ามคืน และทำทีเปรยถามนางยมลว่าชะรอยจะทำงานให้คนคนเดียวกัน เพราะเขาได้รับคำสั่งมาว่าให้ทำงานชิงสร้อยพระศอของพระนางชวาลาให้สำเร็จแทนนางที่ทำพลาด และได้ยินกับหูว่าหากยมลรอดชีวิตกลับมาได้ก็จักถูกสังหารให้ตายตกไปทั้งโคตร เพียงเท่านั้นนางยมลก็ร้องไห้โฮ พูดออกมาเองว่ามัณฑนาเทวีมีพระคุณกับนางยิ่งนัก แต่ก็ใช้นางไปฆ่าคนและทำเรื่องสกปรกมากมายทั้งที่นางไม่เต็มใจ โดยเฉพาะการทำร้ายองค์หญิงชวาลา รัญชน์จึงรีบสำทับว่ายมลชดใช้บุญคุณที่ว่ามาเกินพอแล้ว พระราชเทวีต่างหากที่ทรงติดหนี้บุญคุณนาง

ยมลมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินการให้เหตุผลด้วยตรรกะจากโลกอนาคตของเขา แต่ขบคิดอยู่อึดใจเดียวก็พยักหน้า ถอนหายใจโล่งอกราวได้ปลดเงื่อนพันธนาการในใจออกได้

และสุรเสียงเจ้าชายกัษษกรก็ปลุกเขาตื่นจากภวังค์

“มิได้กระทำต่อข้า แต่กระทำต่อชวาลา และชวาลาคืออัครชายาของข้า” ทรงคำรามในพระศอ “แลท่านกับพวกพ้องทั้งหมดนี้ได้กระทำการขายชาติบ้านเมืองให้ไตมาว พวกท่านคือกบฏทรยศบ้านเมือง”

“หม่อมฉันเป็นกบฏหรือเพคะฝ่าบาท” มัณฑนาเทวีทรงหันไปถามพระราชสวามีเสียงอ่อนหวาน ขณะที่กษัตริย์จักวัติขบกรามแน่น ดวงเนตรวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะหากพยายามระงับไว้สุดความสามารถ

รัญชน์นึกเห็นใจพระองค์ เพราะไม่มีสิ่งใดน่าอัปยศอดสูเท่าการถูกภรรยาที่ไว้ใจร่วมชีวิตกันมาทรยศแทงข้างหลังได้อย่างเลือดเย็นที่สุด

“รามราชเอ๋ย พระชนกของเจ้ายังมิกล่าวหาข้าเช่นนั้นเลย ทรงหมายถึงพวกวงศ์เวหะเหล่านั้นต่างหาก” รับสั่งแล้วก็สรวลออกมาเบาๆ “หม่อมฉันก็เพียงแค่ต้องยื่นมือเข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยเท่านั้นเองเพคะ ฝ่าบาทอาจจะทรงเหน็ดเหนื่อยวรกายมากเกินไปจนหลงลืม ละเลย ปล่อยให้ราชสำนักเละเทะ มีแต่อิทธิพลพวกแขกจามเต็มละโว้ไปหมด”

“พวกเขามิใช่แขกจาม” พระเจ้าจักวัติแผดสีหนาทดังลั่น “แล้วเจ้าก็คือหัวหน้ากบฏ…มัณฑนา”

“กบฏก็ย่อมหมายถึงยึดอำนาจจากฝ่าบาทน่ะสิเพคะ หม่อมฉันหาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กำลังหม่อมฉันจักสู้ฝ่าบาทได้อย่างไร แลเราเองก็เป็นชาวละโว้เหมือนกันนี่เพคะ” พระราชเทวียังแย้มสรวลละไมราวรับสั่งถึงเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป “เพียงแค่…นอกเหนือจากฝ่าบาทแล้ว ดูเหมือนหม่อมฉันจักมีกองทหารในบังคับบัญชามากที่สุดเท่านั้นเอง หม่อมฉันก็แค่ร่วมมือกับพรรคพวกที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ว่ามิปรารถนาให้บ้านเมืองตกอยู่กับพวกชาวทะเลใต้มากเกินไป ร่วมแรงร่วมใจกันจัดระเบียบราชสำนักขึ้นใหม่เท่านั้นเอง…มิใช่หรือ ทวีติยา พันธิสา วิรามร”

ผู้ที่ถูกกล่าวถึงขานรับไม่เต็มเสียง แทบมิกล้าสบพระเนตรราชันและเจ้าชายกัษษกร

“เท่าที่ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าชายจากไชยามาเป็นรัชทายาทก็นับว่าเกินพอแล้ว ยังจักทรงยืนกรานให้แต่งชวาลาเป็นมเหสีรามราชอีก เช่นนั้นมิถวายบัลลังก์ให้พวกทะเลใต้ไปเสียเลยเล่า” สุรเสียงพระนางยังน่าฟังแม้ถ้อยความระคายหูสุดกำลัง “เรา…พวกเรา มิใช่กบฏ หากแต่เป็นผู้ผดุงรักษาความเป็นละโว้ให้เป็นของละโว้ เป็นของทวารวดี มิใช่คนนอก”

ทวารวดี…รัญชน์สะดุดหู เขาพลัดหลงมาสู่ยุคเก่าแก่ที่แทบหาหลักฐานประวัติศาสตร์ได้ยากเต็มที

“เอาเถิด จบเรื่องกันเสียที” พระราชเทวีมัณฑนาปรบพระหัตถ์ให้สัญญาณ เหล่าทหารก็กระชับวงล้อมเข้ามาควบคุมทั้งสองพระองค์และข้าราชบริพารทั้งสองฝ่าย…และแน่นอนว่ารวมถึงเขาด้วยเช่นกัน

“พระชนนีของเจ้าและพวกพ้องก็ถูกคุมตัวอยู่ในตำหนักชวัลรวีนั้นแล นับว่า ‘พวกเรา’ ใจดียิ่งแล้วที่มิใส่ตรวนจำตรุไว้ ดูทีแล้วพวกเราคงกลัวกองทัพรักตมปุระของเจ้ากระมัง” มัณฑนาเทวียังคงแย้มสรวลหวานตั้งแต่ต้นจนจบ “รามราช หากต้องแยกห่างเมียจักอดรนทนไหวหรือไม่เล่า”

“ข้าจักอยู่กับชายาของข้า” เจ้าชายอุปราชทรงประกาศกร้าว หัตถ์ข้างหนึ่งกุมหัตถ์เจ้าหญิงชวาลาแน่น อีกข้างยกดาบขึ้นชี้ไปทางพระอัครเทวีและเหล่าทหาร “อย่างไรก็มาบังคับข้าเรื่องนี้มิได้ มิเช่นนั้นข้าจักแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าพวกท่านจักมิเล่นสกปรกต่อชวาลาอีก อย่าได้บังอาจยุ่งกับพระนางเป็นอันขาด”

“ตายจริง…” มัณฑนาเทวีสรวลราวเอื้อเอ็นดูผู้พูดอย่างยิ่ง เป็นกิริยาที่รัญชน์เรียกหยาบๆ ในใจว่า ‘กวนตีน’ “ใครจักกล้าขัดบัญชาเจ้าอุปราชได้เล่า ใคร่ไปรวมตัวแออัดกันในตำหนักชวัลรวีก็ตามใจเถิด”



Don`t copy text!