ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เหตุการณ์ต่อจากนั้นดำเนินไปราวกับกำลังรับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เจ้าชายกัษษกรและเจ้าหญิงชวาลาถูกควบคุมตัวอยู่ในตำหนักชวัลรวีของชาวรักตมปุระในละโว้ แม้มิได้ถูกจองจำให้สิ้นอิสรภาพ หากก็แทบขยับเขยื้อนคิดกระทำการใดมิได้มาก กลุ่มที่ยึดอำนาจนำโดยอัครเทวีมัณฑนาเริ่มเข้ามาควบคุมระเบียบต่างๆ ในราชสำนัก รวมถึงการปล่อยข่าวสู่พสกนิกรว่าทั้งเจ้าอุปราชและเจ้าหญิงชวาลาจะต้องทรงพักผ่อนบำรุงขวัญและพระวรกายอยู่ในพระราชวังไปอีกสักระยะก่อนที่จะมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและพิธีราชาภิเษกรามราชขึ้นเป็นกษัตริย์ลวปุระในอนาคต

เจ้าชายกัษษกรเองก็ทรงกำชับให้รัญชน์รับใช้ใกล้ชิดกลุ่มมหาดเล็กและเลี่ยงพบองค์หญิงชวาลาเช่นเดิม จนถึงตอนนี้พระองค์ยังมิสิ้นความระแวงหากก็นับว่าดีขึ้นมาก ทรงมีพระบัญชาให้เขาเรียนรู้ สังเกตความเป็นไปในราชสำนักด้วยตนเองนอกเหนือจากการบอกเล่าอบรมสั่งสอนจากพระองค์และพระฤๅษี

เขาจึงค่อยซึมซับเรียนรู้ทีละน้อยว่าเจ้าชายพระองค์นี้มิได้สืบสายเลือดละโว้สักหยด หากแต่เป็นราชนิกุลไชยา ถูกขอมาเป็นรัชทายาทให้กษัตริย์ลวปุระผู้ไร้โอรสสืบบัลลังก์และเพื่อประสานประโยชน์เรื่องเส้นทางการค้า จึงเป็นที่มาของคลื่นใต้น้ำในราชธานีที่ไม่ต้องการเห็นอำนาจชาวมลายูเบ่งบานในดินแดนทวารวดีของพวกเขามากเกินไป

รักตมปุระนั้นตั้งอยู่จังหวัดใดในยุคสมัยเขานั้นรัญชน์ก็ไม่แน่ใจนัก เคยแอบได้ยินเจ้าหญิงชวาลารับสั่งว่ารักตมปุระหมายถึงดินแดนที่มีดินสีแดง ซึ่งสอดคล้องกับจำนานจารึกเก่าแก่ของนครศรีธรรมราช ทว่าจากที่ฟังคนเก่าแก่ในตำหนักเล่า ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ารักตมปุระน่าจะอยู่ไกลกว่านครศรีธรรมราช อาจจะเลยไปไกลถึงสงขลาหรือปัตตานีด้วยซ้ำ

“ข้ามิเข้าใจ ในเมื่อองค์หญิงชวาลามีฐานอำนาจมั่นคง มีเหล่าทหารผู้จงรักภักดีที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามด้วยกัน เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดช่วยพระนางปลดแอกจากอำนาจศัตรูได้เลยเล่า” รัญชน์ถามคมิก ผู้เลิกสงสัยที่มาที่ไปของเขาแล้วเพราะเจ้าชายรับสั่งว่า

‘หากมันถามอันใดพิลึกก็อย่าได้แปลกใจ ตอบมันไปเสียให้สิ้นความ’

“จงอย่าลืมว่าพวกเราได้เสียขุนศึกยอดฝีมือไปหลายคน เหลือเพียงขุนเจ้าขันติที่ยามนี้ก็ถูกควบคุมตัวมิต่างจากพวกเรานั้นแล ทหารหาญทั้งหลายที่กลับจากสมรภูมิก็ได้รับการปลดปล่อยให้กลับบ้านช่องของตนหลังเสร็จศึก อันองค์หญิงเพิ่งนำชัยชนะมาสู่ละโว้แท้ๆ จึงหามีผู้ใดคาดคิดไม่ว่าจักเกิดเหตุทรยศยึดอำนาจอย่างอุกอาจจากในวังเช่นนี้ได้ พวกเขาคงมิรู้ด้วยซ้ำว่าพระนางตกอยู่ในอันตราย”

“หากจะลงมือยึดอำนาจพระนางก็ต้องทำในเพลาที่พระนางปกป้องตนเองมิได้เช่นนี้แล เรียกว่าฝ่ายกบฏก็ต้องวัดใจพอสมควร” ชายหนุ่มพึมพำ นึกเห็นใจในชะตาของเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งคู่

หากในความโชคร้ายทั้งปวง เขากลับพบว่าทั้งสองพระองค์ยังทรงมีโชคอันล้ำค่าอยู่กับตนต่างหาก

โชคของการมีคู่ชีวิตที่รักกันอย่างสุดแสนและพร้อมจับมือฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน เพราะในสังคมยุคโบราณที่การอภิเษกเลือกคู่ในราชวงศ์เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์เป็นหลัก การที่จะได้ครองคู่กับคนที่รักและยังเอื้อประโยชน์ให้กันได้จึงนับว่าเป็นโชคอนันต์

และการที่ยังจับมือกันแน่นในวันที่มรสุมชีวิตโหมกระหน่ำอย่างโหดร้าย คือพรอันวิเศษที่สุดที่มนุษย์พึงต้องการในการครองคู่ และรัญชน์ก็ประจักษ์สิ่งนั้นในขัตติยราชทั้งสองพระองค์นี้

อันทำให้เขาอดคิดถึงความรักที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าทุกคราของตนไม่ได้

ความรักมั่นคงลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณแบบนั้น ในชีวิตนี้เขาจะมีวันได้สัมผัสสักครั้งหรือไม่

 

แม้จักเคยเสด็จเยือนตำหนักชวัลรวีอยู่บ่อยครั้งจนเข้าพระทัยว่าเห็นตำหนักของชาวรักตมปุระอย่างทะลุปรุโปร่ง หากกลับเทียบเท่าเมื่อได้ประทับอยู่จริงมิได้เลย ด้วยตำหนักของแคว้นเพื่อนบ้านชาวทะเลใต้นั้นใหญ่โตโอฬารกว่าตำหนักจันทมณีของเจ้าชายรัชทายาทหลายเท่า ทั้งประดับประดาด้วยศิลปวัตถุ อัญมณีทรงค่าแพรวพราวอย่างมั่งคั่งเหลือเฟือ ด้านสถาปัตยกรรมก็จำลองมาจากแบบรักตมปุระผสานกับลักษณะดั้งเดิมของละโว้ เกิดเป็นเอกลักษณ์ใหม่งดงามอัศจรรย์ หากที่เจ้าชายกัษษกรทรงนึกทึ่งเป็นพิเศษคือการแทรกวิทยาการด้านดาราศาสตร์ล้ำหน้าของชาวรักตมปุระเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องทิศทางลม แสงแดด แสงจันทร์ ให้สอดคล้องกับการอุปโภคของคนในตำหนักได้อย่างลงตัว นับว่าก้าวหน้ากว่าราชสำนักไชยาอยู่มาก

และแม้จะทรงตระหนักถึงพระราชอำนาจมากล้นของพระสัสสุและเจ้าหญิงชวาลาได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว หากเมื่อทรงได้ประจักษ์ความยิ่งใหญ่เหลือเฟือของกลุ่มรักตมปุระผ่านอาณาเขตของพวกเขา กัษษกรก็เริ่มเข้าพระทัยว่าเหตุใดพวก ‘คนใน’ ถึงแสลงตาแสลงใจจนถึงขั้นคิดการใหญ่ดับแสงตะวันได้

พวกเขาจนตรอก หลังชนฝา แต่ก็พร้อมเสี่ยงตายกับโอกาสสุดท้ายอันน้อยนิดริบหรี่ และพลิกวิกฤติกลับเป็นโอกาสได้ในที่สุด

พระเจ้าจักวัติวิราชเสด็จมาเยี่ยม ‘ลูกทั้งสอง’ ในวันหนึ่ง รับสั่งขอโทษขอโพยใหญ่หลวงที่มิอาจช่วยเหลืออันใดได้ทั้งที่ทรงเป็นกษัตริย์ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในลวปุระแท้ๆ

‘พ่อโง่เองนั้นแล ทั้งโง่ทั้งน่าสมเพช เพราะเมื่อรู้ความชั่วช้าสามานย์ทั้งหมดแล้วกลับเอาผิดลงอาญาพวกมันมิได้เลย’ ราชันละโว้รับสั่งอย่างขมขื่น ‘พวกมันอ้างว่าจักเรียกเป็นการกบฏมิได้ เพราะมิได้ยึดอำนาจล้มล้างพ่อแล้วปราบดาภิเษกใครขึ้นแทนสักหน่อย พวกมันต้องการกำจัดอำนาจของชวาลาเท่านั้น พ่อประมาทเอง ทั้งที่รู้ว่ายิ่งชวาลาฉายแสงโดดเด่นเท่าไรก็ยิ่งนำภัยมาสู่ตนมากเท่านั้น แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าตนเองรับมือได้ การคิดเช่นนี้เป็นการประมาทโดยแท้ โดยเฉพาะกับ…มเหสีของพ่อ’ ทรงทอดถอนพระทัย

‘มัณฑนาเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร อ่อนหวานเพียงใดพวกเจ้าก็เห็น มิเคยแสดงออกให้รู้สักน้อยว่าชิงชังชาวทะเลใต้มากมายนัก พ่อเองเดิมก็ออกเห็นใจเสียด้วยซ้ำที่นางไม่มีทายาทเป็นของตนเอง นางเก็บความคับแค้นใจไว้นานเท่าใดพ่อก็สุดรู้ได้ แลคงค่อยๆ โน้มน้าวขุนนางมากมายเข้ามาเป็นสมัครพรรคพวก ฐานอำนาจของนางจึงเติบโตอย่างเงียบๆ เมื่อรวมกับพวกจันเสน อู่ทอง ศรีเทพก็มากเพียงพอต่อกรกับรักตมปุระและต่อรองกับพ่อได้ กระนั้น นางก็รู้ว่าจักให้พ่ออ้างอาญาสิทธิ์ลงทัณฑ์นั้นก็เอ่ยได้มิเต็มปาก ด้วยหาได้เป็นการกบฏต่อราชันไม่’

พระเจ้าจักวัติวิราชทอดพระเนตรราชธิดาด้วยพระทัยเศร้าหมอง

‘มิควรเลยที่ลูกหญิงของพ่อต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ ลูกทั้งสองจงเตรียมตัวให้พร้อมเถิด มิช้าพวกมันจักต้องเคลื่อนไหวอย่างไรสักทาง เพราะเงียบผิดวิสัยมานานเกินไป พ่อเองก็ส่งข่าวไปทางรักตมปุระกับไชยาแล้ว และประเมินกำลังพลที่มีเผื่อยามฉุกเฉิน จำไว้ว่าพ่อจักไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าเป็นอันขาด’

พระชนกเสด็จกลับไปพร้อมคำมั่นสัญญา ทว่าหทัยขัตติยราชทั้งสองพระองค์ยังหนักอึ้ง วาน้อยของพระองค์เงียบขรึมลงแม้พยายามฝืนยิ้มแย้มเมื่ออยู่ด้วยกันเพื่อมิให้พากันหดหู่เศร้าหมองลงไปอีก พระนางมักรับสั่งเป็นเชิงปรารภว่าแต่ไหนแต่ไรมาความโดดเด่นจนเป็นภัยของนางก็ทำให้พระสวามีตกที่นั่งลำบากเสมอ แม้กระทั่งวิกฤติการณ์ครั้งนี้ที่ต้องถูกควบคุมตัวไปโดยไม่มีกำหนด ต้องอยู่กับความไม่รู้ชะตาว่าจักถูกเล่นงานทางใดอีก จึงยากที่จะคาดเดาเพื่อเตรียมรับมือได้

กัษษกรจึงได้แต่เข้าไปสวมกอดและย้ำกับพระนางว่ามิต้องฝืนใจเพื่อรักษาความรู้สึกของพระองค์ ทรงเป็นคู่ชีวิตกันอย่างที่พระนางทรงเคยพร่ำพูด จักลงเรือลำเดียวกัน ล่มหัวจมท้ายด้วยกัน สนับสนุน ปกป้อง ช่วยเหลือกันฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน…



Don`t copy text!