ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

“น้องยังมองมิออกเลยว่ารูปการณ์จักออกมาเป็นเช่นไร พวกนั้นเงียบนานเกินไปอย่างที่เจ้าพ่อว่า แต่มิช้าหรอก จักต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหว ออกมาเคลื่อนไหวเป็นแน่ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาย่อมคาดหมายได้ว่าทางเราต้องหาวิธีส่งข่าวไปทางรักตมปุระและไชยาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจนอาจเกิดสงครามได้ในที่สุด”

“เรื่องนั้นแลที่พี่ลำบากใจ” เจ้าอุปราชถอนปัสสาสะพลางโอบพระชายาไว้แน่น “หากได้ความช่วยเหลือจากไชยาก็คงพออุ่นใจได้ แต่ท่าทีทางศรีวิชัยก็ยังคลุมเครือนัก ด้วยคงเห็นว่าคนพวกนั้นยึดอำนาจจากองค์หญิงชวาลา มิใช่จากองค์ชายกัษษกร จึงยังสงวนท่าทีจนแทบจักเรียกว่าเพิกเฉย”

เจ้าหญิงชวาลาส่ายพระพักตร์อย่างปลงตก

“ไม่มีผู้ใดอยากเอามือซุกหีบโดยมิจำเป็นหรอกเพคะ และแม้แต่รักตมปุระเองนั้นก็อาจจักกรีธาทัพมาหรือไม่มาก็ได้ พวกเราอาจถูกทางนั้นตัดหางปล่อยวัดก็ได้เช่นกัน”

“หาเป็นเช่นนั้นไม่วาน้อย พี่ได้ยินมาว่ากษัตริย์ทศรัตน์แห่งรักตมปุระเดือดร้อนพระทัยเรื่องนี้อย่างยิ่ง แลกำลังวางแผนหาหนทางให้พวกเราปลอดภัย การเดินทัพจากรักตมปุระต้องเกิดขึ้นแน่เพียงแต่เพลาใดเท่านั้น พี่ถึงเป็นกังวลว่าจักมิทันการเสียก่อน”

“มิทันการ…” ชวาลาทวนถ้อยดำรัส “หมายถึงว่าพวกมันจักสังหารน้องเสียก่อนหรือเพคะ”

กัษษกรพยักพระพักตร์ “เพราะวาน้อยเป็นหอกข้างแคร่ของพวกมัน แลยังมีผู้จงรักภักดีต่อวาน้อยอีกจำนวนมาก เก็บไว้นานเท่าไรย่อมเสี่ยงภัยที่น้องจักคิดแผนการแลรวบรวมกำลังพลต่อสู้ได้มากเท่านั้น หรือหากพิเคราะห์ในมุมกลับกัน ในเมื่อพวกมันกลัวรักตมปุระจักกรีธาทัพมาทำสงครามกับละโว้ก็เลยยังมิฆ่าวาน้อย แล้วถ้าเกิดพวกมันพลิกช่องโหว่จากสถานการณ์นี้ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบเล่า”

“เจ้าพี่หมายถึงพวกมันอาจเอาน้องเป็นตัวประกันใช่หรือไม่…ว่าหากรักตมปุระคิดกรีธาทัพมาสู้กับละโว้ก็จักสังหารน้องเสีย พวกมันจักไว้ชีวิตน้องหากรักตมปุระล่าถอยไปแต่โดยดี”

“ถูกแล้ว…มองอย่างไรก็แทบหาข้อได้เปรียบมิได้ นอกจากเราจักต้องหาจุดอ่อนของพวกมัน ซึ่งเพลานี้คงยังสามัคคีรีรออยู่เพื่อดูเชิง แต่มิช้าก็ต้องแตกคอกัน เพราะถึงอย่างไรพระราชเทวีก็มิได้ทรงจักยกวงศ์เวหะขึ้นมาอยู่แล้ว สำหรับพระนางนั้นมิมีสิ่งใดสูงส่งไปกว่าเลือดวงศ์พระจันทร์เสี้ยวอีกแล้ว”

องค์ชายจากไชยาทรงหวนระลึกถึงเจ็ดทิวาก่อนที่ทรงขอเฝ้ามัณฑนาเทวีตามลำพัง ทรงปรารถนาจะถามในเรื่องที่ค้างคาหฤทัยอันไม่สามารถจาระไนต่อหน้าธารกำนัลในท้องพระโรงครานั้นได้

‘แท้จริงมิได้ทรงเกลียดชังองค์หญิงชวาลาผู้เดียว หากแต่ทรงชิงชังรังเกียจข้าด้วยต่างหาก…ใช่หรือไม่เจ้าข้า’ สิ้นถ้อยดำรัสถามนั้น ภายในห้องรับรองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน พระพักตร์อัครเทวียังฉาบด้วยรอยแย้มสรวลอ่อนหวานที่บัดนี้กัษษกรทรงมองออกทะลุปรุโปร่งว่าเป็นหน้ากากที่เจ้าตัวฝึกฝนอย่างช่ำชองเพื่อปิดบังความรู้สึกแท้จริง ‘ทรงปรารถนาจักกำจัดข้าพระองค์ให้พ้นไปจากละโว้ด้วยมิใช่ฤๅ’

ความเงียบของพระนางแทนคำตอบเสียแล้ว ทว่าสุดท้ายมัณฑนาเทวีก็รับสั่งด้วยสุรเสียงหนักแน่น

‘แต่ข้าหาทำเช่นนั้นได้ไม่ ด้วยถึงอย่างไรละโว้ก็จำต้องมีเจ้าชายรัชทายาทขึ้นสืบบัลลังก์’ จากนั้นก็เอื้อมมาบีบหัตถ์พระองค์เบาๆ พร้อมเปลี่ยนคำเรียกขาน ‘อย่างไรแม่ก็ต้องมีลูกอยู่ดีนะ…รามราช’

และแม้มิได้ถ่ายทอดถ้อยดำรัสนี้ให้ชายาฟัง ทว่าชวาลาก็พอคาดเดาพระดำรัสอันเจ็บแสบนั้นได้

“เราต่างเป็นหมากทางการเมืองอยู่แล้วตั้งแต่ถือกำเนิดเพคะ แต่อย่าได้เสียพระทัยไปเลย ถึงอย่างไรเจ้าพี่ก็ยังเคยได้รับความรักจากพระชนกและพระชนนีที่แท้จริงของเจ้าพี่ และเจ้าพี่ก็ทรงทราบดีว่าความรักนั้นเป็นจริงและจักคงอยู่เสมอมิเปลี่ยนแปร…” เจ้าหญิงชวาลาโอบกอดพระองค์อย่างผู้ที่เข้าถึงความสะท้านสะเทือนหฤทัยของคู่ชีวิตเป็นอย่างดี “และยามนี้เจ้าพี่ก็มีความรักแท้จริงอันมากล้นเหลือคณนาจากชายาเจ้าพี่ผู้นี้ ที่จักมั่นคงเช่นนี้ตลอดกาล”

วาน้อย…พระนางก็เป็นโลกทั้งใบของพระองค์เฉกเช่นกัน ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น กัษษกรผู้นี้จักปกป้องชวาลาให้จงได้

พระองค์ยังไม่วางพระทัยนัก วงศ์พระจันทร์เสี้ยวกับวงศ์เวหะยังคงรีรอดูเชิงกันอยู่ โดยมิรู้ว่าจักมีใครเริ่มจุดชนวนเปิดเรื่องแสดงเป้าประสงค์ก่อน จึงให้เขนน้อยที่อ้างตนว่าชื่อรัญชน์เข้าไปสืบความจากฝ่ายต่างๆ ค่าที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหน้าตาแท้จริงของเขา ดังนั้นรัญชน์จักปลอมแปลงเป็นใครเข้าไปล้วงความลับก็ได้ ตราบใดที่ใช้ไหวพริบเอาตัวรอดไม่ถูกจับได้เสียก่อน

เรื่องชายปริศนาผู้นี้ก็ยังกวนพระทัยอยู่มิน้อย ถึงแม้ทรงทำใจเชื่อบ้างแล้วว่าแม้โดยร่างกายจักเป็นอนุชาแฝด หากดวงจิตมิใช่รัตตกรอีกต่อไป ก็ยังทรงตะขิดตะขวงใจอยู่ดี

กระนั้นก็กลับทรงเลือกที่จะไว้ใจให้ทำหน้าที่สำคัญ โดยส่งไปศึกษาสรรพวิชาต่างๆ จากสุกกทันตฤๅษีเสียให้ช่ำชองก่อน และเป็นการให้ดาบสชราประเมินชายผู้นี้อีกทาง

“ฝีมือ ไหวพริบเขาก็ใช้ได้ทีเดียวเจ้าข้า” พระอาจารย์ทูลความเห็นเกี่ยวกับรัญชน์ “พูดจาเขียนอ่านได้คล่องแคล่วกลมกลืนมากขึ้น ไม่โผงผางไร้สติเหมือนเพลาแรกจึงมิได้ดูน่าสงสัยเท่าไร ให้ไปสืบความอันใดก็ทำได้ดี บัดนี้เขารู้เรื่องราวฝ่ายในในตำหนักต่างๆ ละเอียดลออทีเดียว” ฤๅษีเฒ่ามองผู้ที่ถูกอ้างถึงที่กำลังฝึกวิชาดาบอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ “อาจารย์ก็พยายามสอนวิชาเขาให้มากที่สุด จะได้เอาตัวรอดได้และยังช่วยเหลือฝ่าบาทได้…จนถึงเพลานี้แล้ว อาจารย์คิดว่าเขามิใช่เจ้าชายรัตตกร”

“ถึงพระอาจารย์จักกล่าวเช่นนั้น แต่ข้าก็เสี่ยงให้คนเห็นหน้าเขามิได้อยู่ดี…มิแคล้ว ‘รัญชน์’ ผู้นี้ก็ต้องปิดหน้าไปตลอดกาล” รับสั่งอย่างเศร้าสร้อย ทว่าครั้นทรงหันมาเห็นรัญชน์ฝึกดาบเสร็จแล้วกำลังเดินตรงมา กัษษกรก็ปรับพระพักตร์เย็นชาตามเดิม

“เป็นดังที่ฝ่าบาททรงคาดไว้เจ้าข้า ทั้งสองวงศ์ต่างมีแผนกำจัดกันและกัน แต่กำลังประเมินอยู่ว่าจักจัดการกับองค์หญิงชวาลาอย่างไร…เวลานี้อู่ทอง จันเสน ศรีเทพรวมใจกันแข็งขันเป็นพวกเดียวกัน เพราะรู้ดีว่าพระราชเทวีมัณฑนามิทรงคิดเอาพวกเขาไว้ตั้งแต่แรก” รัญชน์กราบทูลด้วยท่าทางมั่นใจกว่าเดิม “เดิมทีพวกนั้นต้องหวังพึ่งอำนาจพระราชเทวีเพื่อพลิกเกม…เอ้อ หมายถึงพลิกกระดานหมากเจ้าข้า มิเช่นนั้นก็ย่อมต้องอาญาถึงตาย เวลานี้บรรลุเป้าหมายแล้วจึงถึงเวลาหักหลังพันธมิตร ต้องชิงลงมือก่อนฝ่ายพระราชเทวีเจ้าข้า”

“แม่ทัพของแผนการนี้มิแคล้วจักเป็นเจ้าหญิงทวีติยาแห่งอู่ทอง”

“หามิได้ เท่าที่ข้าสืบความมาได้ มีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายจันเสนเจ้าข้า”

“เจ้าหญิงพันธิสากระมัง” ถ้อยดำรัสบ่งเป็นนัยว่าเจ้าหญิงบุณฑรานั้นหาได้มีความกล้าหาญหรือสติปัญญาเพียงพอจักเป็นผู้นำได้

“และแม้จะไม่มีใครกล่าวออกมาตรงๆ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าพวกนั้นน่าจะลงมือในเร็ววันนี้ และหากทำสำเร็จเมื่อใด…เกรงว่าจะหันมาเล่นงานพระชายาของพระองค์ทันทีเจ้าข้า”

เจ้าชายกัษษกรทรงหนาวเยือกตลอดสันหลัง ความหวาดหวั่นจู่โจมจับหฤทัย มีทางใดที่พระองค์จักปกป้องชวาลาจากวิกฤติครานี้บ้างหนอ…

ทรงค่อยๆ ตั้งสติ สูดอัสสาสะลึกยาว…

หากให้สู้ด้วยกำลัง พระองค์กับพวกพ้องย่อมต่อกรมิได้ จึงต้องหาหนทางที่จักเอาชนะด้วยปัญญา… อย่างน้อยก็เพื่อสวัสดิภาพแห่งพระชนม์ชีพชวาลา

ทรงคิดทบทวนไตร่ตรองอยู่หลายราตรี ถึงทุกความเป็นไปได้จนถึงผลเลวร้ายที่สุดที่อาจบังเกิดได้ จนสุดท้ายก็เหลืออยู่ทางออกหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตพระชายาไว้ได้

ดำริได้ดังนั้น ก็ทรงรู้สึกราวมีผู้กรีดกลางอุระและได้ควักดวงหทัยของพระองค์ออกไปนั้นแล



Don`t copy text!