ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

“ด้วยเหตุนี้ จงฟังสิ่งที่ข้าจักขอจากเจ้าต่อไปนี้ให้ดีเถิดรัญชน์” ถ้อยรับสั่งนั้นทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง “ข้าใคร่ขอให้เจ้าติดตามขบวนเสด็จเจ้าหญิงชวาลาไปนครหนขุนน้ำนั่นด้วย เจ้าจักยินดีช่วยดูแลพระชายาให้ข้าและไปอยู่นครใหม่ในแดนเหนือนั้นตลอดชีพได้หรือไม่เล่า”

ถึงคราวรัญชน์เป็นฝ่ายนิ่ง พยายามประมวลสิ่งที่ได้ยินทั้งหมด ในที่สุดจึงพยักหน้า

“ข้ายินดีเจ้าข้า” เขาตอบหนักแน่นแต่แล้วก็กลับขมวดคิ้ว “แต่ข้าจะไปในฐานะใดล่ะ คนเลี้ยงม้าดูแลองค์หญิงมิได้หรอกนะเจ้าข้า” พูดไปแล้วรัญชน์ก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เพราะฟังดูราวกับว่าเขาพูดเป็นนัยว่าต้องอยู่ในฐานะใดถึงจะดูแลพระชายาของพระองค์

“เรื่องนั้น ข้าต้องขอสารภาพตามตรงว่ายังคิดมิตก…คงต้องขอให้เจ้าใช้ไหวพริบปฏิภาณคิดหาหนทางด้วยตนเอง”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ” เขาเผลออุทาน “แล้วข้าก็ยังหน้าเหมือนท่านด้วย มิยิ่งยากเข้าไปใหญ่หรือ”

“ด้วยเหตุนี้แลที่ข้าจักขอร้องเจ้า…ด้วยเป็นเรื่องที่ต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง”

“ยังไม่หมดหรือ” โพล่งไปแล้วชายหนุ่มก็คอหด “ขอประทานอภัย ประสงค์สิ่งใดโปรดบอกเถิด”

“เจ้าจักยินยอมปิดอำพรางใบหน้าไว้…ตลอดชีวิตหรือไม่ เรื่องนี้ข้าต้องถามความสมัครใจ จะมิบังคับเจ้าเด็ดขาด”

“ปิดหน้า…ตลอดชีวิต?” รัญชน์พยายามทบทวนความหมายที่เจ้าชายรับสั่ง

“เพราะหน้าตาของเจ้า” ทรงเว้นวรรคให้รู้ว่าหมายถึงใบหน้าฝาแฝด “อีกทั้งชวาลาก็ยังมิเคยพบหน้าเจ้าโดยตรงสักครั้ง น่าจักพอให้เจ้าเอาตัวรอดไปได้ ทว่าทั้งนี้ก็ย่อมแล้วแต่ความสมัครใจของเจ้า”

“ข้ายินดีจะช่วยท่าน แต่ตลอดไปก็นานเกินไปนั่นละ เอาอย่างนี้เถิด ข้าจะอำพรางหน้าไปก่อน ถึงนครใหม่เมื่อไรค่อยเปิดเผยใบหน้าก็คงได้ เพราะคนที่นั่นไม่เคยมีใครพบท่านมาก่อน ส่วนข้าราชบริพารชาวละโว้ที่จะติดตามขบวนไปด้วย ก็มิใช่ทุกคนที่เคยเห็นพระพักตร์ท่าน มีเพียงทหารและนางในจำนวนหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลานั้น ต่อให้มีใครจำหน้าเจ้าชายรามราชได้…ก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้วละ”

พระเนตรอุปราชมีแววสนพระทัย “ก็ถูกของเจ้า… แลหากจะว่าไปนั้น ข้าเองก็มิได้สลักสำคัญอันใดกับนครแห่งใหม่นั้น มิช้าคนก็คงลืมเลือนนามเจ้าชายรามราชไปเอง เจ้าจะเปิดเผยใบหน้าแท้จริงก็ย่อมทำได้ มิแน่หรอก เวลานั้นอาจมาถึงเร็วกว่าที่พวกเราคิดก็เป็นได้” รับสั่งแล้วก็นิ่งไปอึดใจ ก่อนแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เห็นเขี้ยวพระทนต์ซี่เล็ก และแววเนตรนึกสนุก ชวนให้นึกถึงเด็กผู้ชายซนๆ คนหนึ่ง “แต่ถึงเพลานั้น เจ้าจงหาข้อแก้ตัวดีๆ ให้ชายาของข้าเถิด ว่าเหตุใดคนหน้าเหมือนสวามีของพระนางจึงปรากฏตัวในขบวนด้วยได้”

“ต้องหาวิธีดูแลใกล้ชิดพระชายาท่านยังไม่พอ ยังต้องหาข้อแก้ตัวว่าทำไมตัวเองหน้าเหมือนท่านอีก บอกว่าเป็นท่านแอบหนีมายังจะง่ายเสียกว่า” กล่าวออกไปแล้วก็รู้สึกว่าวาจานั้นค่อนข้างสามหาว ทั้งยังพูดเป็นเชิงอีกครั้งว่าต้องการสวมรอยเป็นพระองค์ “คือข้าหมายถึง…ภารกิจนี้ใหญ่หลวง มีหลายเรื่องให้คำนึงถึง ข้าก็อยากจะคิดให้รอบคอบและรับผิดชอบให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ท่านวางพระทัย”

“เหตุใดเมื่อเอ่ยถึงชายาข้า เจ้าจึงพูดจาอึกอัก หน้าแดงทุกครา” เจ้าชายกัษษกรหรี่พระเนตร จ้องมองเขาราวอ่านลึกไปถึงก้นบึ้งหัวใจ “ข้าเป็นบุรุษเหมือนกันเหตุใดจักดูมิออก ฤๅข้ากำลังฝากปลาย่างไว้กับแมวกันเล่า ข้าไว้ใจเจ้าได้ใช่หรือไม่…รัญชน์”

“หามิได้ ทรงไว้ใจข้าได้แน่นอนเจ้าข้า ข้ายอมรับว่าไม่เคยเห็นสตรีใดงดงามเท่าองค์หญิงชวาลามาก่อน อันบุรุษเห็นสตรีงามก็ย่อมอดมองมิได้ แต่ข้าหาได้อาจเอื้อมคิดสิ่งใดเกินเลยต่อพระนางไม่เจ้าข้า”

“เจ้าจงจำถ้อยคำที่เราพูดคุยกันไว้ให้ดีเถิด ข้าถามว่าข้าไว้ใจเจ้าให้ดูแลชายาของข้าได้หรือไม่ และเจ้าตอบข้าว่าข้าไว้ใจเจ้าได้ และเจ้าจักรับผิดชอบให้ดีที่สุด”

“เจ้าข้า” แค่ไม่ทรงคิดว่าเขาลามปามพระชายาของพระองค์ก็บุญนักหนาแล้ว

“วาน้อย…องค์หญิงชวาลาน่ะ กำลังจะได้มีชีวิตใหม่ ได้ไปสร้างบ้านสร้างเมืองปกครองราชธานีใหม่อย่างอิสรเสรี ไม่ต้องมีกรอบระเบียบหรือกลการเมืองใดๆ บังคับ แต่ข้า…คงต้องติดอยู่ในกรงขังที่เรียกว่าวังเจ้านี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่นั้นแล” พระองค์ทรงรำพันอย่างเศร้าสร้อย ขณะที่รัญชน์เมื่อได้ยินคำว่า ‘กรงขัง’ ก็พลันนึกถึงใครอีกคนขึ้นมา

“เจ้าเขนน้อย…ติดอยู่ในกรงขังกาลเวลาเจ้าข้า มิใช่นรกหรือสวรรค์ แต่เป็นภพอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีเวลา ไม่มีสรรพสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น”

“เจ้าติดต่อกับเขนน้อยได้ความแล้วฤๅ” พระเนตรเจ้าชายระยับขึ้นด้วยความยินดี “เขนน้อยเป็นอย่างไรเล่า ยังอาฆาตโกรธเคืองข้าอยู่หรือไม่”

“ข้าไม่แน่ใจ เพราะเจ้าเขนน้อยไม่ได้ว่าร้ายท่านสักคำ ข้าสัมผัสได้แต่ความเศร้าสร้อย”

“งั้นหรือ” พระองค์นิ่งครุ่นคิด “เช่นนั้นเจ้าคงรู้เรื่องราวของเขนน้อยแล้วกระมัง”

“ไม่แน่ใจว่ารู้แค่ไหน รู้แต่ว่าชีวิตเขาน่าสงสารเหลือเกิน เติบโตมายังไม่ทันรู้ความก็ถูกตีตราว่าเป็นตัวอัปมงคล ถูกพรากฐานันดร พรากจากครอบครัว ถูกบังคับให้เป็นดาบส ใช้ชีวิตเยี่ยงทาส ถูกข่มเหงรังแกจากนักบวชแก่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต” พอนึกถึงผู้ติดอยู่ในกรงขังกาลเวลาแล้วชายหนุ่มก็สังเวชใจ

“เขนน้อยเป็นคนฉลาด แต่พอเริ่มจะฉายแววเก่งขึ้นมา ก็จะถูกโหรพราหมณ์กดเอาไว้ อ้างว่าเพราะเป็นภัยต่อบ้านเมือง ครั้นจะติดตามท่านไปละโว้ หวังจะลืมตาอ้าปากได้มีชีวิตอิสระ ก็กลับถูกบังคับให้กลายเป็นคนรับใช้เหล่าดาบส บังคับให้ปิดหน้าปิดตา ไม่มีกระทั่งชื่อเรียกจริงๆ ด้วยซ้ำ”

“เจ้ารู้เยอะทีเดียว” สุรเสียงอุปราชขมปร่า “ข้าก็หายินดีไม่ที่ต้องเอ่ยเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…แม้กับตนเองก็ตาม ว่าพวกเราไชยาทำตามคำพยากรณ์ เขนน้อยเกิดยามราหูกลืนจันทร์มืดมิด เป็นภัยต่อบ้านเมืองและต่อตนเอง หากมิทำเช่นนี้เขาจักกลายเป็นปีศาจ สร้างความวิบัติฉิบหายได้อย่างคาดไม่ถึง”

รับสั่งเหมือนท่องจำ ด้วยเป็นสิ่งที่ทรงถูกกรอกพระกรรณมาตั้งแต่จำความได้

“แต่สุดท้ายแล้ว ต่อให้ราชสำนักไชยาพยายามป้องกันเพียงใด ก็มิอาจต้านชะตาร้ายนั้นได้ เพราะเขนน้อยก็ได้กลายเป็นปีศาจร้ายตามคำพยากรณ์อยู่ดี เขาจากไชยามาก็ยังทำเรื่องอุกอาจต่อบัลลังก์ละโว้จนแทบวอดวายมาแล้ว”

“มิใช่หรอกเจ้าข้า” รัญชน์โคลงศีรษะ “เขนน้อยมิได้กลายเป็นปีศาจตามคำพยากรณ์ แต่คำพยากรณ์ต่างหากที่สร้างปีศาจขึ้นมา

เจ้าชายทรงชะงัก แววเนตรสนใจ “ที่เจ้าพูดนั้นน่าคิด จงขยายความให้ข้าฟังหน่อยเถิด”

“ลองนึกตามเถิด ว่าเด็กคนหนึ่งเกิดมาก็ถูกคนตราหน้าว่าเป็นกาลกิณี เป็นตัวอัปมงคล แล้วทรงคิดว่าคนรอบข้างจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร ก็ต้องรังเกียจเดียดฉันท์ พูดจาส่อเสียดว่าร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรืออาจจะถึงทำร้ายร่างกายด้วยซ้ำใช่หรือไม่ เด็กเล็กแค่นั้นจะเข้าใจอะไรได้แค่ไหนกัน เขาจะมีแต่คำถามและบาดแผลในใจ ท่านลองนึกดูว่าหากเป็นท่าน จะรู้สึกอย่างไร เจ็บปวด เสียใจใช่ไหม นานวันเข้าก็จะสะสมเปลี่ยนเป็นความคับแค้น ชิงชัง…”

“และอัปยศอดสู…คงจักแค้นใจว่าช่างมิยุติธรรมเสียเลย ข้าเข้าใจแล้ว” แววเนตรพระองค์ปวดร้าว

“พวกเราไชยาเป็นคนทำลายชีวิตเขนน้อย…เป็นผู้สร้างปีศาจขึ้นมาเอง ข้าจักจำบทเรียนนี้ให้ขึ้นใจทีเดียว วาจาเจ้าหลักแหลมนัก ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้ามิใช่เขนน้อย แต่เป็นคนจากโลกอื่นจริงๆ”

ตรัสแล้วเจ้าชายกัษษกรก็ทรงสูดอัสสาสะอีกครั้ง พระเนตรมุ่งมั่นแน่วแน่

“ดูทีเบื้องบนคงส่งเจ้าที่มีหน้าตาเหมือนข้ากับเขนน้อยทุกประการมา เพื่อให้ข้าได้ชดเชยให้เขนน้อยเป็นแน่ ให้เขาได้มีชีวิตอิสระอีกครา” พระองค์ตบบ่าเขาหนักๆ สองครั้ง

“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าจักอำพรางใบหน้าจนถึงเมื่อไรก็สุดแต่จะเห็นสมควรเถิด เขนน้อยมิควรต้องถูกปกปิดหน้าตาตัวตนอีกแล้ว เจ้าจงใช้ชีวิตแทนเขา เพราะเขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตของตนเองอย่างแท้จริงสักครั้ง ข้าเชื่อว่าแม้เขาจักถูกขังอยู่ในกรงเวลา แต่ก็จะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่เสมอ”

“ทรงเพิ่มหน้าที่ใช้ชีวิตแทนเขนน้อยให้ข้าอีกหรือเจ้าข้า” ชายจากโลกอนาคตอดเย้ามิได้ และเจ้าชายก็ทรง ‘กวน’ กลับทีเล่นทีจริงว่า

“หรือเจ้าพอใจเพียงหน้าที่แรกอย่างเดียวฤๅ”

ชายหนุ่มหน้าร้อนทันที

“การจะเป็นข้านั้น…มิง่ายนักหรอก” พระองค์แย้มพระโอษฐ์เห็นเขี้ยวพระทนต์อีกครั้ง “เจ้าไม่มีทางตบตาองค์หญิงชวาลาได้แน่ ดังนั้น จงคิดหาวิธีของเจ้าต่อไปเถิด…รัญชน์”



Don`t copy text!