ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เมื่อขบวนเสด็จจอมนางแห่งละโว้ออกเดินทางจากแก่งอุมหลุ ก็ไม่มีผู้ใดพบอัศวบาลหน้าด่างจากรามนครอีก ส่วนเรื่องที่เขาไปติดพันสตรีนางใดถึงขั้นยอมสละหน้าที่ทั้งปวงก็ยังเป็นที่สงสัยของชนทุกกลุ่มในขบวนเรือ มินับเรื่องที่หัวหน้าลัวะถวายชายหน้าตาท่าทางประหลาดให้เป็นข้ารับใช้ แลมีเสียงร่ำลือกระหึ่มว่าชายผู้นี้ถูกตัดเครื่องเพศออกตั้งแต่ยังเด็กเพื่อแก้เคล็ด ส่งผลให้ร่างกายยังคงแข็งแรงอย่างบุรุษ หากมิสามารถทำหน้าที่สำคัญของเพศชายได้อีก ขุนเจ้าขันติเป็นผู้อธิบายว่าหนทางเสด็จจนกว่าจะสร้างนครใหม่ได้สำเร็จนั้นยากลำบากทุรกันดารอย่างยิ่ง สมควรที่พระนางชวาลาจักมีข้ารับใช้ใกล้ชิดที่มีพละกำลังแข็งแกร่งคอยอารักขาคุ้มกัน อันตัวเขาเป็นชายแท้จึงมีข้อจำกัดในการใกล้ชิดฝ่ายใน หากได้ชายที่มิเป็นชายก็ย่อมปลอดภัยต่อสวัสดิภาพพระนางเจ้าและนางในทั้งหลาย ชายผู้ไร้เครื่องเพศนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

บุรุษผู้นี้สูงโปร่งหากกำยำแข็งแรง ผิวขาวผ่องสะดุดตา เครื่องหน้าคมคาย แต่ยังเขียนวาดเส้นขอบตาให้หนาและกว้างกว่ารูปตาจริง แลแต้มระบายเปลือกตาด้วยสีดำเหลือบเขียว เขียนเส้นลวดลายดอกไม้ ดวงจันทร์ แลดวงอาทิตย์ไว้สองข้างแก้ม ส่วนคางรกครึ้มด้วยหนวดเคราดำสนิทราวกับทาน้ำหมึกก็มิปาน ว่ากันว่าขุนเจ้าขันติและขุนเจ้ายอดทองต้องตรวจร่างกายเขาให้แน่ใจเสียก่อนว่าได้ตัดเครื่องเพศออกไปแล้วอย่างแท้จริง จึงค่อยให้ถวายการรับใช้พระนางชวาลาได้

รัญชน์สดับข่าวลือที่ขุนเจ้าขันติและคุณท้าวพี่เลี้ยงปล่อยสะพัดแล้วก็นึกทึ่ง วิธีนี้ทำให้ไม่มีใครสงสัยเขานอกจากมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าคนถูกตอนมีลักษณะอย่างไร แต่ก็ชวนให้คิดว่าหากวันหนึ่งขันทีผู้นี้ต้องชำระล้างใบหน้าแล้วประกาศตัวว่ามิใช่ขันทีอีกแล้ว จะแก้ตัวอย่างไรให้สมเหตุสมผล

กระนั้นก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า เวลานี้เขาสามารถรับใช้ดูแลเจ้าหญิงชวาลาได้ใกล้ชิดขึ้น ได้เห็นพระพักตร์พระนางแช่มชื่นและประกายเนตรแจ่มใส มีชีวิตชีวากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดก็พลอยดีใจไปด้วย

“เรามีความสุขเหลือเกิน” พระนางรับสั่งด้วยถ้อยดำรัสที่ปรับเป็นกลางมิให้ผิดสังเกต หัตถ์สองข้างวางบนพระนาภีที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น “เรากับลูกมิต้องรอนแรมกันดารกันลำพังอีกแล้ว”

ชายหนุ่มสะเทือนใจ ทราบดีว่าต้องทรงทนทุกข์ต่อพระชะตาที่พลิกผัน สูญสิ้นราชฐานะอันรุ่งเรืองในบ้านเกิด และทั้งที่ทรงพระครรภ์หากก็ต้องตกระกำลำบากเดินทางรอนแรมไปยังบ้านเมืองในป่าเขาไกลออกไป เมืองซึ่งพระนางก็มิเคยทอดพระเนตรมาก่อนว่าจะมีสภาพอย่างไร ย่อมไม่แน่พระทัยในสิ่งใดทั้งสิ้น

หากเรื่องที่ทรงลำบากที่สุดก็คือการพรากจากพระสวามีผู้เป็นที่รัก…ข้อนี้รัญชน์สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงวิญญาณว่าพระนางทรงรักเจ้าชายกัษษกรเหลือเกิน และการที่ทรงเชื่อว่าเขาคือภัสดาทำให้พระนางมีขวัญกำลังใจยิ่งขึ้น เขาก็มิปรารถนาทำลายความสุขเล็กๆ ที่ทรงยึดเหนี่ยวนั้นลง แต่ครั้นจะให้เขาสวมรอยเป็นองค์อุปราชโดยอาศัยความอ่อนไหวนั้น รัญชน์ก็มิอาจทำได้ จึงได้แต่วางตัวครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ และทูลพระนางว่า

“ทรงคิดแลปฏิบัติต่อข้าให้เหมือนปฏิบัติต่อขันทีผู้หนึ่งเสียเถิด”

พระนางคล้ายจะค้อนเขาเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็พยักพระพักตร์

วันคืนในขบวนเสด็จผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยังต้องเจอเกาะแก่งและน้ำเชี่ยวอีกนับครั้งไม่ถ้วน หากเจ้าหญิงชวาลาก็ทรงยืนหยัดเข้มแข็งอย่างกล้าหาญ แม้กระทั่งครั้งสูญเสียนางกำนัลคนสนิทไปในอุบัติเหตุตกหน้าผาแก่งน้ำลงสู่แม่น้ำเชี่ยวกราก ก็ต้องทรงระงับความโศกเศร้า พระราชทานเพลิงศพและฝังอัฐิ จากนั้นจำต้องหักพระทัยออกเดินทางต่อ

ชายหนุ่มพยายามชี้ชวนให้ทรงเพลิดเพลินต่อทัศนียภาพอันน่าอัศจรรย์ของแต่ละสถานที่ที่ขบวนเรือล่องผ่าน ทั้งผาอาบนางที่มีธารน้ำหลั่งไหลโปรยปรายจากเงื้อมผา ผาแต้มซึ่งเป็นภูเขารูปร่างคล้ายช้าง จึงให้ช่างเขียนแต้มเป็นรูปช้างไว้ แก่งช้างร้อง อันเป็นบริเวณที่ชาวลัวะและกะเหรี่ยงนำฆ้องกลองออกมาแห่ต้อนรับมากมายจนช้างตกใจร้อง ผาพระเจ้านอนซึ่งมีหินสีแดงรูปคล้ายพระพุทธไสยาสน์ จึงทรงให้จุดประทีปบูชาเป็นสิริมงคล และสถานที่อันงดงามพิสดารอีกมากมายให้ทรงเพลิดเพลินสำราญพระทัย

อากาศเริ่มเย็นลง พรรณไม้รายทางรูปร่างแปลกตาเริ่มหนาแน่นขึ้น หากที่รัญชน์แน่ใจว่าพวกเขาล่องขึ้นสู่เขตแดนเหนืออย่างแท้จริงคือภาษา…เขาเริ่มได้ยินถ้อยวาจาคุ้นหูคล้ายภาษาเหนือที่เขาคุ้นเคยตลอดทาง ผู้คนก็เริ่มเรียกขานเจ้าหญิงชวาลาว่า ‘แม่เจ้า’ ตามด้วยคำท้องถิ่นและสำเนียงใหม่

ส่วนพระนางผู้ใช้วิธีสังเกตภูมิประเทศและชัยภูมิต่างๆ เริ่มทรงปรารภ

“อีกมินานจักถึงหนขุนน้ำแล้ว เราต้องเตรียมสร้างเวียงบริวารไว้ก่อน” แล้วก็ทรงเรียกขุนเจ้าขันติมาหารือ “เห็นบ้านเมืองตำบลใดเหมาะสมก็พักสร้างเวียงกันตรงนั้น”

“พวกพรานว่าบ้านท่าโถข้างหน้านั้นเจ้าข้า” ขุนพลทูลแจ้ง “เป็นชุมชนเล็กแต่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง มีลำน้ำใหญ่ไหลผ่าน ทำไร่ทำนาสะดวก”

“แล้วชาวท่าโถเป็นอย่างไร”

“เป็นพวกปั้นหม้อปั้นไหทั้งสิ้นเจ้าข้า”

“เช่นนั้นฤๅ…เป็นชาวเม็งกระมัง” พระนางสนพระทัย จากนั้นจึงให้หยุดขบวนที่บ้านท่าโถ สำรวจบ้านเมืองแล้วพึงพระทัยจึงโปรดฯ ให้สร้างเป็นเวียงเล็กขึ้นเป็นเวียงบริวาร โดยให้สร้างกำแพงดินและขุดคูน้ำล้อมรอบเขตเวียง พระราชทานนามว่าเวียงโถ แลแต่งตั้งผู้นำพ่อหลวงบ้านขึ้นเป็นเจ้าคำทุ่งครองเวียง

ครั้นสร้างเวียงจนเสร็จสมบูรณ์ พระนางจึงทำพิธีสถาปนาเวียงโถขึ้นเป็นเวียงบริวารอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ณ หอคำหลวงที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่อย่างโอ่อ่างดงาม

ขบวนเกียรติยศหยุดลงหน้าหอคำกลางเวียง ก่อนที่ร่างสูงระหงในภูษาทรงสีน้ำตาลทองจะก้าวไปข้างในและประทับบนบัลลังก์ตั่งทองด้วยลักษณาการอันสง่างามทรงเสน่ห์ ไม่ว่ามองจากที่ใกล้หรือไกลก็สัมผัสได้ถึงรัศมีผู้นำมากบารมี

รัญชน์เผลอจ้องมองประหนึ่งต้องมนตร์…พระโฉมก็ชวนพิศ ทั้งฉวีเนียนงามดุจสีทรายอ่อนอาบแสงจันทร์ ขนงเนตรเข้มคมกลมโต รับกับเครื่องพักตร์ได้รูปเหมาะเจาะ…ทั้งที่รับใช้ใกล้ชิดเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่พระนางก็ยังทำให้เขานึกอัศจรรย์ หัวใจเต้นไหวอยู่ร่ำไป

เจ้าคำทุ่งซึ่งได้ยินว่าพระนางเพิ่งสูญเสียนางกำนัลคนโปรดไป จึงถวายธิดาของตนให้เป็นนางกำนัลคนใหม่ติดตามไปรับใช้ยังแคว้นหนขุนน้ำด้วย

นางเป็นเด็กสาววัยกำดัด หน้าตาเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง เกล้าผมมวยต่ำ ทัดปิ่นดอกเงินเรียบเกลี้ยง เมื่อได้สัญญาณก็คลานเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม ก้มลงหมอบกราบอย่างสำรวมแกมประหม่า

“คงอาลัยบ้านเกิดสิหนอ ชมออน” ราชนารีงามรับสั่งอย่างปรานี ก่อนหันไปทางเจ้าเมืองทั้งสอง

“มิต้องห่วงดอกเจ้าคำทุ่ง เจ้าอุ่นแก้ว ข้าจักดูแลธิดาของพวกเจ้าอย่างดีเสมือนบุตรีของตนทีเดียว”

“เป็นบุญของอี่ชมออนยิ่งแล้วเจ้าข้าที่จักได้รับใช้พระแม่เจ้า” เจ้าคำทุ่งยกมือไหว้ท่วมศีรษะ

“หมู่เฮาล้วนได้สดับพระนามแลพระเกียรติจอมนางแห่งละโว้มาเนิ่นนานนัก ทรงพระปรีชาสามารถรอบด้านทั้งศาสตร์และศิลป์ ทั้งการปกครอง การศึก ไปจนถึงการเรือน บัดนี้จักเสด็จไปเป็นกษัตรีย์ศรีลำพูนหนขุนน้ำ ยังสู้อุตส่าห์เมตตาจักพาลูกข้าพเจ้าไปรับใช้ให้ได้ดิบได้ดี”

ลำพูน…รัญชน์สะดุดหู

ชมออนกราบลาผู้บังเกิดเกล้า แล้วหันมากราบจอมนางด้วยรอยยิ้มสดชื่นขึ้น แววตากระตือรือร้น

“บัดนี้ข้าเป็นคนของแม่เจ้าจามเทวีแล้ว ขอให้สัจจะว่าจักรับใช้แลจงรักภักดีต่อแม่เจ้าชั่วชีวิตเพคะ”

จามเทวี…

เทวีชาวจาม…เหมือน…เจ้าหญิงจามที่เขาได้ยินมาตลอด…อย่างนั้นหรือ

ชายจากอนาคตกาลตกตะลึง…เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เขามองข้ามร่องรอยสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร

“จามเทวี…หนขุนน้ำ ลำพูนอย่างนั้นหรือ”

เจ้าคำทุ่งได้ยินเขาพึมพำก็หันมาอธิบายด้วยท่าทางอย่างคนใจดี “ท่านมิทราบหรือ คนดั้งเดิมเขาเรียกหนขุนน้ำกันว่าลำพูน” ขณะที่รัญชน์กำลังประมวลผลสิ่งที่รับรู้อยู่ด้วยหัวใจหนักอึ้ง

ว่าเขาเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์

พระนางจามเทวีเสด็จจากละโว้ขึ้นครองนครลำพูน…สร้างเมืองหริภุญไชย

หากที่มีขันทีผู้หน้าเหมือนสวามีพระนางทุกประการติดตามมาด้วยนั้น…มิได้จารึกไว้



Don`t copy text!