ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 21 : ปิ่นธานีหริภุญไชย

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 21 : ปิ่นธานีหริภุญไชย

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

อากาศยามอรุณรุ่งเย็นชุ่มฉ่ำ ไอหมอกหนาลอยคว้างห่อหุ้มยอดไม้และทิวเขารำไร แสงตะวันอาบไล้ท้องนภาเป็นสีชมพูทอง ล้อกับยอดแหลมทองของวัดวาอารามแลปราสาทราชวังอันเรียงรายมากมายทั่วเมืองลำพูน ชมออนไม่เคยประจักษ์ความยิ่งใหญ่งดงามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ด้วยมาตุภูมิที่บ้านท่าโถก่อนที่จะกลายเป็นเวียงโถมีแต่ความเรียบง่ายเฉกเช่นชนบท บ้านเรือนโดยมากสร้างจากดิน มุงหญ้ามุงแฝกฟาง มีฐานะขึ้นมาหน่อยจึงปลูกด้วยไม้ ผู้ปกครองที่มีสถานะสูงถึงจะก่อศิลาขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน หากก็มิได้ซับซ้อนอันใดนัก ต่างจากนครอันใหญ่โต เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างวิจิตรและงานศิลป์อันละเอียดประณีต มองไปทางใดก็พบแต่ความรุ่มรวยทั้งบ้านเมือง ผู้คนและการแต่งกาย ตลอดจนขนบธรรมเนียมซับซ้อน จนนางต้องตั้งใจจดจำเรียนรู้ให้ว่องไว

บัดนี้จอมนารีจากลวปุระได้รับราชาภิเษกในสุพรรณบัฏขึ้นเป็น พระนางชวาลาเทวี บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ปิ่นธานีหริภุญไชย มีศักดิ์ฐานะเป็นจอมกษัตรีย์โดยสมบูรณ์ชอบธรรม หากไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ยังนิยมเรียกขานพระนางตามความเคยชินว่าพระนางจามเทวี ซึ่งจอมนางเองก็มิได้ทรงขัดข้อง ทรงเห็นพ้องว่าเรียกเช่นนี้ก็ดี เสมือนให้พระนางได้เริ่มศักราชชีวิตใหม่ในบ้านเมืองใหม่ มิยึดติดกับตัวตนเจ้าหญิงชวาลาแห่งละโว้ดังเดิมอีกแล้ว

ทรงรังสรรค์ระเบียบบริหารปกครอง รวมถึงวางรากฐานการศาสนาอย่างแยบยลเพื่อให้นครใหม่อันมีนามว่าหริภุญไชยสมบูรณ์ร่มเย็นแลรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

“รู้หรือไม่ว่าเมืองนี้มีรูปร่างจะใด” พระนางพยายามรับสั่งเป็นภาษาชาวลำพูนดั้งเดิมเพื่อให้กลมกลืนกับชาวพื้นเมือง ขณะเดียวกันก็สอดแทรกธรรมเนียมละโว้ไปได้อย่างแนบเนียน เพราะทรงโปรดการให้ความรู้สอนสั่งข้าราชบริพารอยู่เสมอ

“ไม่ทราบเพคะ” ชมออนเองต่างหากที่พยายามใช้ภาษาชาววังที่เคยได้ยินตลอดการเดินทางที่ผ่านมา “เราจักมองเห็นรูปร่างเมืองได้ด้วยหรือเพคะ”

“ได้สิ ถ้าเจ้าขึ้นไปอยู่บนที่สูงอย่างบนดอย” พระนางตรัสพลางแย้มสรวล “อันหริภุญไชยนี้มีรูปร่างเป็นวงรี ม้วนขดดั่งหอยสังข์ ใช้ลำน้ำทางตะวันตกเป็นคูเมืองตามอย่างเมืองละโว้ เรียกว่าสังขปัตรสัณฐาน พระฤๅษีวาสุเทพ อาจารย์ของข้าเป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้นมาทีเดียวละ”

“เป็นก้นหอยแล้วดีอย่างไรหรือเพคะ” นางพยายามนึกภาพผังเมืองรูปหอยสังข์ตามหากยังจินตนาการไม่ถูก

“ก็ปรับเปลี่ยนไปตามพื้นที่ได้ง่ายนะซี เป็นหุบห้วย ม่อนดอยสูงต่ำอย่างไรก็ได้” นางพญาหริภุญไชยแย้มสรวลเอ็นดู “ขุดคูต่อเชื่อมให้ล้อมรอบเวียงก็สะดวก แล้วลองนึกดูเถิด หากเวียงหริภุญไชยอยู่กึ่งกลาง เวียงบริวารอยู่โดยรอบในระยะสั้นเท่ากัน มิเรียกเหมาะสมต่อการป้องกันนครหรอกหรือ”

แม้ไม่เข้าใจถ่องแท้แต่ชมออนก็พยายามศึกษาจดจำให้ได้มากที่สุด จนเริ่มเข้าใจทีละน้อยว่าการวางรูปแบบเมืองส่งผลต่อการปกครองอย่างไร

ในนครจักมีเวียงเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นเขตหลวงของผู้ปกครองทั้งหลาย ล้อมด้วยคันดินและคูน้ำ รอบนอกเป็นชุมชนหมู่บ้านกระจายโดยรอบ หนึ่งนครจักมีเวียงบริวารได้หลายเวียงโดยขึ้นตรงต่อเวียงหลวงราชธานี ดั่งที่พระนางจามเทวีทรงสร้างกำแพงดินกับขุดคูน้ำที่บ้านท่าโถเพื่อสร้างเวียงโถให้เป็นส่วนหนึ่งของนครหริภุญไชย

ทรงแต่งตั้งคุณท้าวปทุมวดีทำหน้าที่กรมวัง ส่วนคุณท้าวเกษวดีเป็นผู้รักษาพระนครและเวียงต่างๆ ทรงจัดสรรที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองไว้อย่างมีแบบแผน ชาวยองให้อยู่ทางทิศตะวันออกของนคร ส่วนชาวละโว้ที่ตามเสด็จมาให้ตั้งถิ่นฐานทางตะวันตกเฉียงเหนือ ชาวเม็งที่กวาดต้อนรายทางมาโปรดให้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้

“และผังเมืองรูปหอยสังข์นี้แลจึงเป็นที่มาของนามแคว้นหริภุญไชย”

“เช่นไรหรือเพคะ”

“ลำพูนเดิมเรียกเมืองหนขุนน้ำ เพราะเป็นเมืองที่อยู่ต้นน้ำใช่หรือไม่ น้ำคือต้นกำเนิดหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตทั้งหลาย และเราได้ใช้วิธีขุดคูน้ำม้วนเป็นก้นหอยเพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำในการสร้างเมือง ส่วนหอยสังข์เองนั้นแทนความอุดมสมบูรณ์ ด้วยเป็นอาวุธแห่งเทพหรินารายณ์ เจ้าคงมิเคยได้ยินเรื่ององค์นารายณ์กระมัง”

เด็กสาวส่ายหน้า “มิเคยเพคะ”

“ทรงเป็นมหาเทพพระองค์หนึ่ง ทรงมีสังข์เป็นอาวุธ นามว่าปัญจชยะ เราจึงนำนามหริของพระหรินารายณ์เข้ารวมกับปัญจชยะ เป็นหริภุญไชยนั่นแล”

นางกำนัลสาวนึกอัศจรรย์ใจในพระปรีชาสามารถรอบด้านของนางพญาเมืองผู้นี้อย่างยิ่ง มีหลายคราที่นางสงสัยว่าทรงเอาเรี่ยวแรงพลังใจจากที่ใดถึงสถาปนาความรุ่งเรืองแก่นครใหม่แห่งนี้ยิ่งขึ้นได้ในทุกวัน ทุกเช้าจอมนางตื่นบรรทมด้วยลักษณาการสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้นในการว่าราชการ ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยยามเสด็จสำรวจรอบเวียง อันทำให้ข้าราชบริพารพลอยตื่นตัวตามไปด้วย

และราวกับจะทรงอ่านใจนางกำนัลจากเวียงโถได้ ครั้งอยู่กันลำพังจึงทรงปรารภออกมาด้วยดวงพักตร์เปี่ยมสุข “ข้าสัญญาต่อเสด็จพ่อแลพระอาจารย์วาสุเทพไว้ว่าจักนำความรุ่งเรืองผาสุกมาสู่นครหนขุนน้ำแห่งนี้ แลถือเป็นสัจจะด้วยชีวิตและวิญญาณทีเดียว”

มิเพียงแค่ทรงงานอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย หากยังทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชกุมารแฝดอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เองเท่าที่จักจัดสรรเวลาได้ และยังทรงดูแช่มชื่นแจ่มใส อันพลอยส่งพลังให้ข้าราชบริพารตลอดจนไพร่ฟ้าเบิกบานไปด้วย

“มิทรงอาลัยเมืองละโว้หรือเพคะ”

“อย่าถามให้พี่เกษหรือพี่ปทุมได้ยินเชียว” นัยน์เนตรพระนางยังแจ่มใสสดชื่น “ระลึกถึงทุกลมหายใจ แต่ใช่ว่าจักต้องเศร้าโศกเสียเมื่อไร ข้ารู้ว่าชาวละโว้อยู่ดีมีสุขเสมอใต้เศวตฉัตรของกษัตริย์พระองค์ใหม่ ข้าเองก็มาทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน”

นางได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องสวามีของพระนาง ด้วยสดับข่าวลือออกมามากมาย บ้างว่าทรงออกผนวชจนทำให้พระชายาตกพุ่มม่าย บ้างก็ว่าสิ้นพระชนม์ลงในสนามรบจนเป็นเหตุให้จอมนางตัดสินใจตอบรับสาส์นมาปกครองหริภุญไชย ถ้าหากพระนางทรงอาลัยถึงภัสดาก็คงเก็บซ่อนเอาไว้ลึกสุดหทัย

“ต่อจากนี้หริภุญไชยคือบ้านของข้า”

“ของหม่อมฉันด้วยเพคะ”

“อยู่กับเจ้ามาร่วมปี สุขสบายดีหรือไม่ชมออน”

“มีความสุขมากเพคะ” เด็กสาวทูลจากใจ “แม่เจ้าเมตตาหม่อมฉันยิ่งนัก ไว้วางพระทัยให้รับใช้ใกล้ชิดทั้งที่มิใช่ชาวละโว้ หม่อมฉันมิอาจสรรหาคำใดจึงจะสมต่อพระเมตตาได้”

พระนางโคลงเศียรอย่างเอื้อเอ็นดู “เจ้าเป็นคนเอาการเอางาน หนักเอาเบาสู้ ข้าจึงมิเกี่ยงว่าต้องเป็นคนละโว้เท่านั้นหรอก อย่างไรบัดนี้เราเป็นชาวหริภุญไชยด้วยกันทั้งสิ้น” นางพญาเมืองทอดพระเนตรนางกำนัลอย่างครุ่นคิด “ข้ายังมีเรื่องต้องคิดต้องทำที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายอีกมากนัก อันแคว้นหริภุญไชยเรานี้ บัดนี้เจริญรุดหน้าไปมาก ทั้งเป็นชุมทางค้าขายไปสู่ตอนใต้ ทั้งรุ่งเรืองด้วยพุทธศาสนา มีวัดนับร้อยนับพันแห่ง เป็นดินแดนอารยะที่แว่นแคว้นทั้งหลายล้วนริษยา ทว่าอย่างไรก็เป็นนครใหม่ มิได้มีรากเหง้าแข็งแรงนัก ข้าจึงจำต้องปรับปรุงริเริ่มขึ้นใหม่มิให้น้อยหน้าผู้ใด”

“แม่เจ้าหมายถึงเรื่องใดเพคะ”

“รู้ไว้เถิดชมออน นครอันเจริญแล้วนั้น มิใช่เพียงอาณาเขตกว้างไกลหรือร่ำรวยเพียงอย่างเดียว จิตใจของชาวเมืองต้องละเอียดประณีตด้วย เจ้าจักมองเห็นได้จากศรัทธาในอารามและงานศิลป์อันวิจิตรบรรจง ฟังเข้าใจก่อ?” พระนางพยายามตรัสด้วยภาษาพื้นเมืองโดยมิย่อท้อ ขณะที่ชมออนกลับพยายามปรับเข้ากับขนบชาววังด้วยการไม่ใช้ภาษาตน

“ทรงหมายถึงถ้าเมืองเจริญเท่าไร ก็ย่อมเห็นงานศิลป์ละเอียดประณีตเท่านั้นหรือเพคะ”

“ถูกแล้ว” พระนางพยักพักตร์พอพระทัย “ข้าถึงได้เกณฑ์ช่างศิลป์หลากหลายแขนง ทั้งปราชญ์กวี ช่างสลัก ช่างเงิน ช่างทอง ช่างแก้วช่างแหวน ช่างเหล็ก ช่างเขียน ช่างดนตรี แลช่างปั้นจากละโว้มานับสิบนับร้อยเพื่อให้ถ่ายทอดวิชาอารยะให้พวกเขา แต่ข้าได้เห็นชาวเวียงโถมีฝีมือทำเครื่องดินเผางดงามโดดเด่นบ่เหมือนที่ใด งามประณีตซับซ้อนคนละอย่างกับทางละโว้ จึงอยากขอให้เจ้าไปสอนหมู่ช่างลำพูนด้วยได้ก่อ? เจ้าเองจักได้เรียนงานปั้นจากละโว้ด้วย”

ชมออนดีใจจนยิ้มกว้าง หน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ เผลอตอบเป็นภาษาดั้งเดิม

“ดีใจจั๊ดนักเจ้า แม่เจ้าให้เกียรติข้าเจ้านัก”

“จะพูดจะใดก็เอาสักทาง ข้าบ่ถือสาหรอก ข้าเองก็พยายามจะหัดภาษาที่นี่ให้ได้เหมือนกัน”

นับจากนั้นชมออนก็ได้ไปเรียนวิชาปั้นแบบชาวใต้ ควบคู่ไปกับการฟื้นวิชาดินเผาจากมาตุภูมิที่นางคิดถึงจับใจ ด้วยชีวิตวัยเยาว์นับแต่จำความได้ก็อยู่กับดินเหนียวและการทำพิมพ์รูปเครื่องปั้นมาตลอด

นางพบว่าเนื้อดินลำพูนและเวียงโถนั้นร่วนต่างกันไม่มาก เว้นเพียงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ที่ลำพูนมีมากกว่า ให้สีสันแปลกใหม่กว่าที่นางเคยเห็น เสียแต่คนพื้นเมืองไม่รู้จักวิธีใช้ กลับนำดินปนทรายมาผสมทำให้ได้เครื่องปั้นเนื้อหยาบ ชมออนจึงเข้าไปเป็นแม่งานเรื่องการขุดและผสมเนื้อดินใหม่ ผสานกรรมวิธีสร้างลวดลายด้วยการจิก คว้าน และกรีดยาวแบบเวียงโถและทดลองใช้แม่พิมพ์กดลายประทับอย่างชาวใต้ ได้ผลออกมาน่าพอใจมิน้อย

เมื่อนางกำนัลสาวนำหม้อกับโถสีแปลกตาขนาดต่างๆ มาถวายให้ทอดพระเนตร นางพญาเมืองจึงถึงกับเบิกเนตรกว้าง เปล่งประประกายตื่นเต้นยินดี

“งามนักชมออน ข้าบ่เคยเห็นเครื่องดินสีเหลืองนวลเช่นนี้มาก่อน เจ้าบ่ได้ทาสีแม่นก่อ?”

“มิได้เพคะ ครั้งหนึ่งหม่อมฉันไปถึงลุ่มน้ำทา เห็นชาวบ้านขุดดินสร้างคันคูกันลึกนักแต่บ่นว่าสีดูพิลึกชอบกลจึงทิ้งไว้ หม่อมฉันกลับเห็นว่าสีนวลงามคล้ายกลีบดอกแก้วจึงนำกลับมาลองทำดินเผาเพคะ”

“ช่างคิดนัก” พระนางเจ้าพยักพักตร์พอพระทัย แต่แล้วกลับชะงัก “เจ้าไปถึงแม่น้ำทาเชียวหรือ คราหน้าจักไปที่ใดให้มาแจ้งข้า ข้าจักแต่งขบวนคุ้มกันให้”

“ขอบพระทัยแม่เจ้าเพคะ แต่แม่เจ้าเป็นผู้รับสั่งให้ขุนเจ้าผู้นั้นคุ้มวอ (1) หม่อมฉันไปท่าน้ำทานี่เพคะ”

“ขุนเจ้า? ผู้ใดกัน ข้ามิทราบ” พระนางตรัสแล้วกลับชะงักเสียเอง “อ้อ เจ้าคงหมายถึงขุนเจ้าขันติกระมัง เขาเป็นขุนพลใหญ่ ติดตามข้ามาแต่ละโว้ ร่วมศึกกันมาตั้งมาก เจ้าพบเขาอยู่บ่อยครั้งนี่นะ เขาทำของเขาเอง คงเป็นห่วงนางกำนัลของข้ากระมัง”

“เขามีศักดิ์เป็นถึงพระยาขุนเจ้า ให้มาตามคุ้มกันนางกำนัลเห็นทีจักมิเหมาะเพคะ”

“เขาย่อมมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั่วเวียงวังอยู่แล้ว” พระนางหรี่เนตรมองข้ารับใช้คนสนิท ผุดรอยแย้มสรวลขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด “บัดนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

“เพิ่งเต็มสิบห้าเพคะ”

“เป็นวัยสมควรแก่การมีเหย้าเรือน แต่ก็เป็นวัยที่กำลังงามสะพรั่งดั่งผกาแรกแย้มเฉกกัน วัยนี้แลที่แม่ญิงจักงดงามที่สุด รื่นรมย์ต่อโลกที่สุด จักให้ออกครองเครือนก็น่าเสียดายนัก” ชมออนสะดุดหูกับรับสั่งช่วงท้าย “ข้าอาจคิดบ่เหมือนผู้อื่นที่นารีต้องออกเรือนไปตั้งแต่รุ่นสาว คงเพราะเจ้าพ่อเจ้าแม่ข้าให้อิสระแก่ข้านานจนอายุล่วงเข้ายี่สิบปีจึงให้วิวาห์ ถือว่าเป็นสาวแก่เทื้อเทียวละ แต่ข้าหาสนไม่”

“แต่แม่เจ้ายังสาวอยู่” นางไม่แน่ใจว่าบัดนี้ทรงมีชันษาเท่าไรแน่ชัด บ้างว่ายี่สิบห้า บ้างว่ายี่สิบหก

“สาวก็บ่สำคัญเท่ามีประโยชน์ หากข้าไร้ความสามารถ ก็คงถูกจับเสกสมรสกับองค์ชายสักพระองค์ไปตั้งแต่สิบห้าโดยบ่มีสิทธิ์อุทธรณ์เลยกระมัง” พระนางเจ้าสรวลเฝื่อนๆ ก่อนตรัสสุรเสียงเป็นการเป็นงาน “เป็นแม่ญิงอย่างไรก็ควรมีวิชาความรู้ติดตัวให้มาก ต่อให้เผชิญมรสุมเช่นไรก็บ่อับจนหนทาง”

ชมออนก้มลงกราบพระบาท “แม่เจ้าถึงสอนสั่งวิชาให้หม่อมฉันมากมาย”

“แต่ชมออนเอ๋ย ถึงข้าจักเชื่อเช่นนั้น หากก็มิใช่บ่ศรัทธาในการครองเรือน ข้ายังเชื่อเสมอว่าหากได้บุรุษที่ดี น้ำใจมั่นคงที่รักกันอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมนำความสุขสวัสดีแก่ชีวิตแม่ญิงได้” ดวงเนตรทอดมองผ่านนอกบัญชรปราสาทออกไปไกลลิบ ประหนึ่งส่งถึงคนไกลในลวปุระ ครู่ใหญ่จึงเบือนกลับมายังนางกำนัล “สุดท้ายเจ้าก็ต้องออกเรือน แต่บ่ต้องห่วง ข้าจักหาป้อจาย (2) ที่งดงามทั้งกายใจ ถึงพร้อมด้วยยศถาให้คู่ควรแก่เจ้าที่สุด และข้าคิดว่าได้พบคนผู้นั้นเข้าแล้ว”

“ขุนเจ้าขันตินะหรือเพคะ เขาชราเกินไป” ชมออนเผลอโพล่งทันควัน “หม่อมฉันยังมิคิดเรื่องคู่ครองเลยเพคะ ยังใคร่รับใช้สนองพระเดชพระคุณแม่เจ้าไปอีกนาน อย่าเพิ่งผลักไสหม่อมฉันไปเลยเพคะ”

“มิชอบท่านขันติหรือ…” พระเนตรจับจ้องนางกำนัลแน่วแน่ “หน้าแดงเช่นนี้ ชะรอยจักมีชายในดวงใจเข้าแล้วกระมัง ผู้ใดฤๅ หากมิเหลือบ่ากว่าแรงหรือหากเหมาะสมข้าจัดแจงให้เจ้าได้ เขาเป็นผู้ใด”

“หามิได้ ไม่มีชายใดทั้งนั้นเพคะ”

“อย่าปดข้าเลย ข้าเป็นสตรีที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมมองออก ชะรอยจักเป็นขุนเจ้าสักคนกระมัง”

ลักษณาการเด็ดขาดระคนปลุกปลอบของนางพญาเมืองทำให้ชมออนประหม่า จากที่คิดเก็บเป็นความลับในใจไปตลอดจึงเผลอคายออกมาง่ายดาย

“ชายถูกตอนผู้นั้น…ขุนเจ้ารัญชน์เพคะ”

พลันบังเกิดความเงียบอันน่าประหลาดครอบครองบรรยากาศอยู่อึดใจหนึ่ง ชมออนจึงกล่าวต่อว่า

“แต่เป็นเรื่องไร้สาระ ด้วยเขาหาใช่ชายที่เป็นชายไม่ หม่อมฉันจึงมิอาจเอื้อมหมายเพคะ สดับแล้วแม่เจ้าจงลืมเรื่องเพ้อฝันนี้เสียเถิดเพคะ”

“อืม…” พระนางเจ้ายังทรงนิ่งอีกครู่ใหญ่ “เจ้าชอบเขาเพราะเหตุใดฤๅ”

ถ้อยดำรัสถามนั้นชมออนกลับตอบได้ยากยิ่ง เมื่อทบทวนอยู่อึดใจ นางจึงค่อยๆ กราบทูลตามตรง

“เมื่อแรกหม่อมฉันเห็นว่าเขาช่างงามสง่า แม้จักเขียนหน้าเขียนตาเลอะเทอะก็ตาม ครั้นได้เห็นเขาถวายการรับใช้แม่เจ้าและดูแลพระกุมารทั้งสองอย่างดีเสมือนบุตรตนเอง หม่อมฉันก็รู้สึกว่าเขาช่างอ่อนโยนเหลือเกิน จับใจหม่อมฉันยิ่งนัก” กล่าวแล้วนางก็กลับร้อนรน “แต่แม่เจ้าได้โปรดอย่าแจ้งให้ขุนเจ้ารัญชน์ทราบเชียวนะเพคะ น่าอับอายอย่างยิ่ง หม่อมฉันเพียงแต่ปลาบปลื้มตามประสาเด็กเท่านั้น”

“มิพูดหรอก” พระนางตรัสเรียบเฉย “หากเจ้ายังมิพึงใจชายอื่นใดข้าก็จักมิบังคับ แต่จะช้าจะเร็วข้าก็เก็บเจ้าไว้รับใช้ตลอดไปมิได้หรอก แต่เอาเถิด มิได้จะตบแต่งเจ้าไปในเร็ววันนี้เสียหน่อย ข้าก็ยังใคร่ให้เจ้าอยู่กับข้าไปนานๆ นั้นแล”

ชมออนลอบมองพระนางเจ้าพลางครุ่นคิด ทุกคราที่เป็นเรื่องขุนเจ้าถูกตอนผู้นั้น จอมนางจักมีพระอาการแปลกประหลาดเสมอ…ทั้งที่พื้นเพดั้งเดิมเป็นชาวลัวะบ้านป่าที่เพิ่งทรงอุปถัมภ์ได้มินาน แต่กลับทรงให้ความสนิทสนมไว้วางใจเขาทัดเทียมหรืออาจยิ่งกว่านางข้าหลวงฝ่ายในเสียอีก

นางยังติดใจมิลืมที่พระนางทรงให้ขุนเจ้ารัญชน์เข้าไปเฝ้าพระนางมีพระประสูติกาลด้วย

หรือเขาจักมีเวทมนตร์คาถาที่ช่วยปัดเป่าเภทภัยให้พระนางได้อย่างนั้นหรือ และยังไว้พระทัยให้เขาชิดใกล้ดูแลพระโอรสทั้งสองอย่างมินึกห่วงหวงแต่อย่างใด นึกอย่างไรก็ชวนให้สงสัย ว่าชายถูกตอนผู้นี้มีดีอย่างไรจึงละเว้นทุกกฎได้อย่างชอบธรรม

และเหตุใดตัวนางเองก็ถึงต้องตาพึงใจเขากว่าชายใดทั้งปวง…

 

เชิงอรรถ :

(1) คานหาม, เสลี่ยง

(2) ป้อจาย หมายถึง ผู้ชาย

 

 



Don`t copy text!