
ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 27 : ศึกวิลังคะ
โดย : พิมพ์อักษรา
ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co
ขุนวิลังคราชผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวาย จนเมื่อสดับถ้อยความสั้นๆ ที่เมฆกราบทูลก็ถอนใจด้วยความผิดหวัง ด้วยเป็นข้อความที่มิได้แสดงเยื่อใยไมตรีพิเศษใดนอกไปจากสันถวไมตรีทางการทูตเท่านั้น
‘หม่อมฉันขอบพระทัยขุนหลวงวิลังคราชอย่างยิ่ง ต้นเงินต้นทองงดงามนัก แม้แต่หีบงาช้างก็ช่างเลอค่า ยินดีนักแล้วที่มีพระทัยต่อชาวหริภุญไชย หม่อมฉันมิมีสิ่งใดตอบแทนนอกจากคัมภีร์ธรรมพับนี้’
“พระนางจักเสน่หาเฮาสักน้อยก็บ่มี” ราชันร่างหนาครางด้วยความทดท้อ “เพียรส่งของขวัญบรรณาการถึงสามหนก็กลับตอบแทนด้วยพับสาคำสอนเหล่านี้ทุกครา”
“พระนางเลื่อมใสพุทธศาสนายิ่งนัก การมอบสิ่งล้ำค่าอย่างพระธรรมคำสอนย่อมหมายถึงเจตนารมณ์งดงามต่อขุนหลวงเจ้าข้า”
“เฮาใคร่ได้ความเสน่หา เช่นนี้เมื่อใดกันที่พระนางจักใจอ่อน”
ขุนวิลังคะนึกถึงถ้อยความในสาส์นพระนางเมื่อสองปีก่อนที่ละลายความเกรี้ยวโกรธาเขาไปหมดสิ้น จนระงับคำสั่งกรีธาทัพสู่หริภุญไชยในบัดดล
‘หม่อมฉัน จามเทวี ปิ่นธานีแห่งหริภุญไชยขอสมาลาโทษขุนหลวงวิลังคราชแห่งระมิงค์ในความหุนหันพลันแล่นอย่างยิ่ง’
ตามด้วยคำอธิบายถึงวาจาหมิ่นพระเกียรติของอ้ายจ่อยที่ทำให้พระนางบันดาลโทสะตรัสวาจาไม่สมควรออกไป จากนั้นจึงเป็นอรรถาธิบายสาเหตุที่ยังมิอาจรับน้ำใจเขาได้
‘อันหม่อมฉันนั้นเพิ่งสูญเสียสวามี อีกทั้งเพิ่งให้กำเนิดราชกุมารแฝด ยังมิสมควรตบแต่งเป็นชายาผู้ใดให้มัวหมองแก่ตนเองหรือบุรุษผู้นั้น ทั้งยังได้รับมอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติในการปกครองเมือง เป็นแม่เมืองหริภุญไชย หม่อมฉันจึงปรารถนาทำหน้าที่แม่ของแผ่นดิน และแม่ของกุมารทั้งสองให้สำเร็จลุล่วงเสียก่อน ขุนหลวงผู้เจริญแห่งระมิงค์ย่อมเห็นพระทัยสตรีผู้เป็นราชมารดาแน่แท้แล้ว’
ได้อ่านดังนั้นขุนหลวงก็ใจอ่อนละลาย
โธ่เอ๋ย จามเทวีผู้น่าสงสาร วาจาของเจ้าช่างอ่อนหวานเพียงนี้ วรกายจักยิ่งชวนเสน่หาเพียงใดหนอ…เฮาจะทำแข็งขืนบังคับตีเมืองเจ้าเยี่ยงชนถ่อยได้อย่างไร มีแต่จักต้องยิ่งเอาใจช่วยเหลือเจ้า เจ้าถึงจะเห็นความปรารถนาดีของเฮา
ใคร่ได้นางสวรรค์ ต้องแลกกับความพยายาม พระนางมิใช่สตรีสามัญดาษดื่นที่จะครอบครองได้โดยง่าย
กระนั้น ธิดาคนโตของเขากลับค่อนแคะ
“ชะรอยพระนางคงนึกว่าระมิงค์นครสวามิภักดิ์ต่อหริภุญไชยกระมัง ถึงได้ส่งบรรณาการไปให้มิหยุดหย่อนเช่นนี้”
ความที่สูญเสียมารดาแต่เล็ก หยาดรุ่งจึงถูกเลี้ยงอย่างตามใจ ไม่ค่อยมีใครห้ามปราม เติบใหญ่กลายเป็นสตรีฝีปากกล้า ดื้อรั้น เด็ดเดี่ยวไม่ยอมคน จึงกล้าวิจารณ์บิดาผู้เป็นราชันอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าป้อก็ทำตัวอย่างกับบ่าวน้อยริฮักครั้งแรก ถึงบ่รู้เท่าทันมารยาสตรี ผู้คนเขาขบขันกันทั้งเวียง”
“สตรีที่เจ้าว่าเป็นถึงนางพญาลำพูน พระโฉมงามเลอลักษณ์ยิ่ง บุรุษใดก็ย่อมหมายปอง มิเลือกเจ้าหรือไพร่”
“เจ้าป้อมีชายาและบาทบริจาริกาอีกนับสิบนับร้อย ยังบ่พอกา? แต่ละนางก็มิใช่ขี้ริ้วเพราะล้วนคัดสรรแต่สตรีงามที่สุดในระมิงค์มาทั้งสิ้น เจ้าป้อเป็นถึงขุนวิลังคราช ยิ่งใหญ่เหนือชาวลัวะทั้งปวง จักเอาแม่ญิงงามเพียงใดได้ทั้งสิ้น เหตุใดจึงหมกมุ่นอยู่กับสตรีที่ปฏิเสธท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“พระนางบ่ได้ปฏิเสธ” ขุนหลวงสวนทันใด อธิบายเสียงห้วน “เจ้าบ่รู้อันใดอย่าพูดดีกว่า ดูเถิด มารดาเจ้าจากไปตั้งนาน บ่ใช่ข้าหรอกหรือที่เลี้ยงธิดาทั้งสามมาอย่างดี อยากได้อันใดข้าก็บันดาลให้ เช่นนี้แล้วมิเห็นแก่ความสุขของบิดาบ้างกา? ตั้งแต่เจ้าแม่ของเจ้าจากไป ข้าก็บ่เคยยกย่องสตรีอื่นขึ้นเป็นแม่เมือง นางเล็กนางน้อยเหล่านั้น ก็มิเคยให้เหิมเกริมเป็นใหญ่ทัดเทียมเจ้า เช่นนี้เจ้ายังถือสิทธิ์อันใดมาห้ามข้าหือ…หยาดรุ่ง”
อีกฝ่ายนิ่งงันไปด้วยความคาดไม่ถึง นางไม่เคยมีใครขัดใจหรือแสดงความเห็นขัดแย้งมาก่อนจึงอวดดีขึ้นทุกวัน เขาจึงยิ่งคิดว่าถึงเวลาที่ต้องกำราบธิดาเสียบ้าง
“นางนับสิบนับร้อยที่เจ้าว่า ก็หาได้ทดแทนนางพญาเจ้าจามเทวีไม่ ทั่วทั้งระมิงค์นคร ไร้สาวงามทัดเทียมพระนางได้เลย ก็สาวลัวะนั้นงามก็งามอย่างชาวป่า ที่ไหนจะสู้ชาวเม็งได้เล่า”
“เจ้าป้อว่าข้าเจ้าบ่งาม” หยาดรุ่งเบิกตากว้าง “ไหนเคยบอกว่าข้าเจ้างามเหนือผู้ใดในโลกหล้า งามเหมือนเจ้าแม่”
เชื่อกันว่าเจ้าซ้องแสะผู้ล่วงลับนั้นสืบสายจากปู่แสะย่าแสะ เทวดาที่คุ้มครองชาวลัวะมาแต่โบราณ นับว่าเป็นสายเลือดชั้นสูงอันส่งเสริมให้วงศ์กุนาระชอบธรรมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น คนเชื้อสายนี้มักร่างเล็ก หน้าหวานอ่อนช้อยกว่าลัวะทั่วไป
“เจ้าป้อโดนเสน่ห์จอมนางลำพูนเป็นแน่ ถึงกับมองว่าข้าเจ้าสู้ชาวเม็งบ่ได้ เจ้าป้อบ่เคยว่าเช่นนี้”
วิลังคราชถอนใจยาว…อันขึ้นชื่อว่าบิดาย่อมรักและเข้าข้างลูกเสมอ ลูกสาวหน้าตาอย่างไรก็ย่อมงดงามในสายตาพ่อแม่วันยังค่ำ อันที่จริงหยาดรุ่งนับเป็นสาวงามคนหนึ่งของชาวลัวะ มีเค้าโครงหน้าอ่อนละมุนจากเจ้าซ้องแสะผู้เป็นมารดา จึงลดทอนเรือนร่างสูงหนาแข็งแรงมิให้เหมือนสตรีชาวป่ามากนัก หากเมื่อเทียบกับชาวเม็ง โดยเฉพาะจามเทวีนั้นงามต่างกันลิบลับ
“ข้าจะบ่เถียงกับเจ้า แต่เจ้าต้องหัดเข้าใจเสียบ้าง” เขาว่าพลางพิจารณาธิดาคนโต “บุรุษนั้นโปรดปรานสตรีอ่อนหวาน กิริยามารยาทนุ่มนวล หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ อย่าหวังว่าอ้ายเมฆจักชายตาแล”
“เจ้าป้อ!” วาจาบิดาจี้ใจดำนางเข้าอย่างจัง “ข้าเจ้าเป็นถึงธิดาเจ้าเมืองระมิงค์ หามีแม่ญิงใดสูงศักดิ์ไปกว่าข้าเจ้าอีกแล้วในนครนี้ อ้ายเมฆย่อมรู้ดีว่าควรเลือกเพชร มิใช่กรวดทราย”
“เจ้ายังบ่เข้าใจที่ข้าพูดอยู่ดี” ขุนวิลังคะโคลงเศียร “สุดท้ายเจ้าย่อมอยากให้ป้อจายฮักที่ตัวเจ้า มากกว่าถูกบังคับเอาด้วยอำนาจแม่นก่อ? แต่เอาเถิด ข้าเป็นบิดา ย่อมปรารถนาให้เจ้าสมรัก ได้คนที่คู่ควร”
เมฆคือชายที่เขาคิดว่าเหมาะสมทุกประการ ด้วยทั้งสืบสายเจ้านายทางเวียงแข้และทางสะเทิม มารดาก็มีศักดิ์เป็นชายาองค์ที่ห้าในขุนหลวงพระองค์ก่อน และยังมีฝีมือรอบด้าน คิดอ่านฉลาดเฉลียว สมควรเป็นบุตรเขยอย่างยิ่ง และถึงแม้วิลังคะจะระแคะระคายว่าอีกฝ่ายไปติดพันสาวลำพูนเข้า เขาก็ยอมทำมองข้ามไปเสีย
“เจ้าป้อให้ข้าเจ้าออกเรือนกับเขาได้ก่อ? ยามนี้ข้าเจ้าเต็มสิบแปดแล้ว นับว่าช้าเต็มทน” เสียงเจ้าหยาดรุ่งอ่อนลง
“เรื่องนั้นมิยาก จัดการเมื่อไรก็ได้ แต่เจ้าต้องรู้จักรอเสียบ้าง ให้ข้าสมปรารถนาต่อจอมนางจามเทวีเสียก่อนเถิด จึงค่อยถึงเวลาเจ้า” ครั้นเห็นธิดาหน้าขุ่นจัด บิดาจึงคิดว่าถึงเวลาต้องใจแข็งกับหยาดรุ่งเสียที เขารีบสำทับ “ระหว่างนี้เจ้าจงรีบมัดใจอ้ายเมฆให้ได้ เจ้าว่าตนเองเก่งนัก เรื่องเท่านี้คงทำได้กระมัง”
เจ้าละอองรุ่งเกือบแสดงอาการโกรธเกรี้ยวตามความเคยชิน ทว่าพื้นนิสัยนางเป็นคนไหวพริบดีจึงระงับคำพูดที่กำลังออกจากปากได้ทัน แทนที่นางจะโวยวายว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้น นางควรคิดต่างหากว่าจะทำให้ถึงวันนั้นได้อย่างไร
ชายจากโลกอนาคตข้างหน้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตจะต้องมีส่วนร่วมกับวิกฤตการณ์ฉุกเฉิน หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างการยึดอำนาจ การใช้ทักษะไหวพริบการเจรจาประนีประนอมทางการทูต ไปจนถึงเป็นประจักษ์พยานการสงครามก็ตาม
หวนนึกถึงพิธีบูชาดาวเมืองในคืนทวิเพ็ญครั้งนั้น หลังจากที่อยู่เฝ้าเจ้ามหันตยศแทบทั้งคืน กว่าเขาจะรู้ตัวว่าขบวนทูตระมิงค์เคลื่อนมาถึงประตูเมืองก็ใกล้รุ่งสาง จึงเพิ่งนึกออกว่าเมฆอาจจะมาแทนทูตจ่อยตามที่เขาเคยสั่งไว้ แต่ครั้นพบว่าราชทูตระมิงค์ในท้องพระโรงยังเป็นทูตจ่อย มิใช่พรานเมฆ รัญชน์ก็รีบผลุบไปตามหาน้องบ่าวตัวดี ก่อนที่จะถูกจับได้ให้เสียเรื่องไปก่อน
พรานหนุ่มกำลังทำลับล่อหาทางหนีทีไล่อยู่กับนางกำนัลชมออนขณะที่รัญชน์ไปพบเข้า หากไม่ติดว่าอยู่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ก็อยากจะแซวฝ่ายชายว่าร้ายไม่ใช่เล่น ถึงกับหาทางเข้าเวียงจนมาเจอกับสตรีในดวงใจเข้าจนได้ ทว่าในเวลานั้นอ้ายจ่อยได้สำแดงความปากเสียออกมาตามตำนานแล้ว มิช้าขุนวิลังคะก็จะต้องกรีธาทัพนับหมื่นมาถึงเวียงลำพูนเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงรีบร้อนสั่งสอน
‘ประเดี๋ยวไปเฝ้าแม่เจ้าแล้วจงทูลให้มีพระราชสาส์นสมาลาโทษขุนก๊ะเสีย มิเช่นนั้นอาจเกิดสงครามได้’
พระราชสาส์นของพระนางจามเทวีจึงกลับไปทันช่วยระงับโทสะของวิลังคราชได้ทันท่วงที จากนั้นก็ทรงสานสัมพันธไมตรีสองแคว้นผ่านบรรณาการฉันมิตร
หล่อเลี้ยงความหวังแก่ราชันระมิงค์มาได้อีกสองปี จึงถึงคราวที่จะผัดผ่อนต่อไปอีกไม่ได้
สุดท้ายขุนหลวงวิลังคะก็ยาตราทัพสู่เวียงหริภุญไชยอยู่ดี…อย่างไรสงครามก็ต้องเกิด
เพราะไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำลัวะเผ่าใหญ่น้อยทั้งหลายที่ถูกเจ้าหยาดรุ่งยุยงต่างแวะเวียนมาเฝ้าขุนวิลังคะแทบมิขาด ล้วนแล้วแต่แสดงความไม่พอใจต่อพระนางจามเทวีทั้งสิ้น คอยพร่ำพูดว่าพระนางเป็นสตรีต่างแดน แต่กำลังชุบมือเปิบกวาดเอาดินแดนของชาวลัวะไปหมดสิ้น มิแคล้วภายหน้าทุกหย่อมหญ้าแห่งลัวะจักต้องตกอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของสตรีละโว้เป็นแน่
“พระนางหาได้จริงใจต่อสูเจ้าไม่ เพียงแต่ผัดผ่อนประวิงเวลาไปเรื่อย มิต่างกับสตรีที่ชื่นชอบการปั่นหัวบุรุษให้ทำตามที่ตนต้องการ พระนางยังรักษาแว่นแคว้นไว้ได้ ทั้งยังได้ของกำนัลมากมาย ราวได้บรรณาการจากเมืองขึ้นกระนั้น”
“ขอขุนหลวงโปรดตรองดูให้ดีเถิด มีเหตุผลอันใดลบล้างตำแหน่งอัครมเหสีแห่งระมิงค์นครได้อีกเล่า เรื่องราชกุมารแฝดล้วนเป็นข้ออ้างทั้งสิ้น สูเจ้าจักปล่อยให้พระนางหลอกลวงแล้วหัวเราะเยาะลับหลังได้กระนั้นหรือ”
“พระนางกำลังดูหมิ่นชาวลัวะ หมิ่นกระทั่งสูเจ้า อันหมายถึงบ่เคารพนับถือราชวงศ์กุนาระเจ้าข้า”
ขุนวิลังคะที่เพียรข่มใจจากพิษรักความปรารถนามาเนิ่นนาน ฟังคำยุยงบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มไขว้เขว ด้วยธรรมชาติเป็นผู้มีจิตใจไม่มั่นคง พร้อมจะเอนเอียงโอนอ่อนไปได้ทุกเมื่อ กอปรกับคำทูลของหัวหน้าเผ่าทั้งหลายแทงเข้าปมเขื่องในหทัยขุนหลวงเข้าพอดีจึงตกหลุมพรางโดยง่าย เต้นตามไปด้วยโทสะ
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเจ้าเมืองน้อยใหญ่มาเข้าเฝ้าเพ็ดทูลความ วิลังคราชจึงมีบัญชาการให้กรีธาทัพนับหมื่นไปบดขยี้หริภุญไชย เจ้าหยาดรุ่งสดับข่าวนี้ด้วยความสาสมใจ ขณะที่บุรุษที่นางหมายปองกลับร้อนรน รีบทูลทัดทาน
“พระนางเจ้ากำลังเริ่มทอดพระเนตรน้ำพระทัยอ่อนโยนมั่นคงของขุนหลวง เหตุใดรีบทำลายเสียเล่าเจ้าข้า”
ขุนหลวงชี้หน้าเมฆ หน้าตาถมึงทึง “สูน่ะ คอยพร่ำบอกให้เฮาใจเย็น ให้นุ่มนวลอ่อนโยนต่อพระนาง แล้วเป็นจะใดเล่า พระนางเห็นหัวเฮาก่อ? จักให้เฮาซื้อเวลาไปเพื่อเหตุใด”
“บ้านเมืองกำลังร่มเย็นเป็นสุข สงครามจักนำความสูญเสียสู่เมือง ไพร่ฟ้าจักติฉินนินทาสูเจ้าได้”
“กองทัพเฮายิ่งใหญ่เพียงใดเจ้าก็เห็น ระมิงค์บ่มีทางสูญเสียเด็ดขาด”
“อย่าทรงประมาท ลองตรองดูเถิด นครหนขุนน้ำเดิมเล็กกระจ้อย ปกครองด้วยนารีเพียงองค์เดียว แต่กลับยืนหยัดรุ่งโรจน์ขึ้นได้ ขยายดินแดนออกไปกว้างไกล ย่อมแสดงถึงอภินิหารบารมีของจอมเทวี เช่นนี้มิคิดว่าควรระวังหรือเจ้าข้า”
“หาใช่อภินิหารใดนอกจากเล่ห์มารยาสตรีที่พระนางเชี่ยวชาญยิ่งนัก” หยาดรุ่งอดเสริมไม่ได้เมื่อเห็นชายที่ตนรักแสดงตัวตรงข้าม แต่ชายหนุ่มไม่สนใจวาจาธิดาขุนก๊ะ กลับทูลราชันอย่างร้อนรน
“ข้าได้ยินมาว่าจอมเทวีบวงสรวงได้ช้างมาเชือกหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าทรงอิทธิฤทธิ์นัก เกรงพระนางจักนำมาใช้ออกศึก”
“เฮาต้องกลัวช้างกา? แค่ช้างตัวเดียวจักทำอันใดได้ แลใช่ว่าชาวระมิงค์บ่มีวิชาติดตัว ข้าบ่กลัว”
“ช้างเชือกนี้มีฤทธิ์มากตอนเที่ยงวัน ขอให้ทรงเลี่ยงศึกยามทิวากาล อย่างน้อยจักพอช่วยได้”
“น่าขัน เอ่ยราวกับเฮาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทำอย่างกับเป็นเมืองอันแข็งแกร่งตีได้ยากถึงต้องซุ่มโจมตียามราตรีดุจกองโจร สูเป็นพราน บ่ใช่ทหาร อย่าทำรู้ดีหน่อยเลย”
เมื่อจนปัญญาทัดทาน เมฆจึงทูลขอติดตามไปกับขบวนทัพด้วย ทั้งเป็นห่วงกองทัพบ้านเมือง และห่วงหาสวัสดิภาพชมออนผู้เป็นที่รักจับใจ
รี้พลมหาศาลของระมิงค์ธานียาตราสู่หริภุญไชยในที่สุด
และแล้วเขาก็ได้เห็น…ช้างภู่ก่ำงาเขียว คชสารสีดำเมื่อมร่างใหญ่มหึมา งาสีเขียวดุจมรกต เสียงร้องแปร๋แปร๋นของมันบ่งบอกศักดาว่ามิเกรงผู้ใดทั้งสิ้น
ท้องนภายามนั้นเป็นสีฟ้าสด ไร้เมฆหมอกใดบดบังแสงตะวันเจิดจ้า ดวงสุริยาค่อยๆ โคจรขึ้นสู่กลางฟ้า หากในสายตาผู้รู้ดินฟ้าอากาศประสาพรานเจนไพร สิ่งนั้นมิต่างกับปีกอสุรกายที่ค่อยคืบคลานกวาดกลืนชีวิต
เมฆมองโยธาทัพกลางแดดจัดจ้าด้วยสีหน้าพรั่นพรึงสุดใจ
“เคยเห็นช้างภู่ก่ำงาเขียวก่อ? ช้างเชือกนี้แลที่แม่เจ้าจักใช้นำชัยมาให้หมู่เฮา” ขุนเจ้าขันติที่บัดนี้หัดพูดภาษาพื้นเมืองจนคล่องแคล่วถามขึ้น “เป็นช้างที่มีฤทธิ์มากยามทิวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลางแสงตะวัน”
“บ่เคย ใคร่เห็นเหมือนกันว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์จัดการกองทัพศัตรูเหมือนตำนานว่าไว้ไหม”
“ตำนานอันใดของท่านอีกแล้ว” ขุนศึกใหญ่โคลงศีรษะแต่ก็เป็นไปด้วยความเคยชิน “แต่แม่เจ้าจักเป็นผู้ทรงคชสารนั้นเอง ท่านคงมิเคยเห็นแม่เจ้าออกศึกกระมัง รอดูเถิด”
อรุณรุ่งถัดมาอากาศเย็นชุ่มฉ่ำ แสงแดดจัดจ้าราวถูกกรองด้วยละอองน้ำและม่านหมอกจนดูขยายใหญ่อีกเท่าตัว…
อาทิตย์ทรงกลดนั้นเปรียบเสมือนหญิงสาวผู้ร่าเริงแจ่มใสคนหนึ่ง งดงามอ่อนหวานไม่แพ้จันทราทรงกลด มิมีเค้าลางใดส่อถึงศึกสงครามอันน่าสะพรึงสักนิด
รี้พลกว่าครึ่งแสนยาตรามาสู่หริภุญไชย แม่เจ้าจามเทวีมิได้นิ่งดูดายรอคชาธารแสดงอภินิหาร แต่กลับทรงคชสารนำทัพด้วยตนเอง สาวสรรกำนัลจึงมิอาจนิ่งดูดายอยู่ในวังได้ ล้วนแต่งกายรัดกุมตามเสด็จด้วยกันทั้งสิ้น เขาได้ยินพระนางกระซิบกับคุณท้าวคนสนิททั้งสองว่า
“อย่างกับข้ามิเคยออกศึกกระนั้น สู้กับกองทัพเรือนแสนข้าก็ผ่านมาแล้ว ดูทีข้าคงเกิดมาเพื่ออยู่ในสนามรบเป็นแน่” จากนั้นก็หันมามีพระบัญชาต่อขุนเจ้ารัญชน์ “ท่านน่ะคอยเฝ้าอยู่บนป้อมปราการก็พอ อย่าได้คิดเสี่ยงลงสมรภูมิเป็นอันขาด ถึงท่านจักเป็นสายลับผู้เก่งกาจ แต่ท่านก็มิใช่ขุนทหารเจนสงคราม หากท่านเป็นห่วงเราและบ้านเมือง จงกระทำตามที่เราพูดด้วยเถิด” เมื่อดักคอเขาเสร็จ ก็หันไปรับสั่งกับคุณท้าวทั้งสองและขุนศึกอีกเก้าคน ชายหนุ่มได้ยินไม่ถนัด แต่ฟังคล้ายพระนางตรัสว่าดูปราดเดียวก็รู้ว่าขุนหลวงระมิงค์จัดกระบวนทัพอย่างไร จะตีให้พ่ายมิใช่เรื่องเกินความสามารถ
รัญชน์ไม่รู้ว่าสุดท้ายพระนางทำเช่นไร คงอาศัยความเจนจัดในกลศึก กอปรกับอิทธิฤทธิ์มหาคชาธารยามเที่ยงวัน
ทันทีที่ตะวันโคจรขึ้นกลางฟ้า รัศมีทรงกลดขยายแผ่เป็นวงกว้าง เสียงแปร๋แปร๋นแผดก้องพสุธา พริบตานั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องระงมจากกองกำลังฝั่งวิลังคราช
รัญชน์ผู้ได้รับคำสั่งให้เฝ้าอยู่บนหอป้อมปราการ มองเห็นทหารในสมรภูมิเป็นจุดเล็กๆ ดุจหัวไม้ขีด หากก็พอเห็นภาพรวมได้ เขาจึงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสยดสยอง…ทหารชาวระมิงค์ล้มตายราวใบไม้ร่วง ทหารลำพูนสบช่องเข้าทะลวงตีจนแตกพ่าย แล้วร้องโห่ฮืออื้ออึงถึงชัยชนะ
ชายหนุ่มชะเง้อมองหาเมฆ หวังใจว่าขุนวิลังคะคงไม่ได้ส่งพรานหนุ่มลงสมรภูมิเลือดนี้ด้วย หากเขาไม่มีเวลาสงสัยนานนัก เพราะหลังจากนั้นก็ถูกเรียกติดตามขบวนพระนางจามเทวี ด้วยทรงยาตราทัพไประมิงค์นครในฐานะผู้ชนะศึก
ดินแดนโบราณก่อนกำเนิดเชียงใหม่นั้นยังเป็นเหมือนสองปีก่อนที่เขามาเยือน ทั้งเรียบง่าย ติดดิน ราวหมู่บ้านในชนบทห่างไกลสักแห่งมากกว่าราชธานีใหญ่ของชาวลัวะ ไพร่ฟ้าประชาชนโดยมากยังมีวิถีชาวป่าดั้งเดิม ดวงตาใสซื่อของพวกเขาบริสุทธิ์สะอาดเสียจนไม่ว่าใครเห็นก็ต้องใจอ่อน
นางพญาลำพูนก็คงเล็งเห็นข้อนี้เช่นกันจึงทรงปรารภขึ้น
“หม่อมฉันมิได้ต้องการสงคราม ทั้งยังเกลียดความสูญเสียอันเปล่าประโยชน์เช่นนั้นอย่างยิ่ง” พระนางหันไปทางขุนวิลังคะที่บัดนี้ตัวสั่น หน้าดำหน้าแดงด้วยความกริ้วโกรธและอับอายสุดประมาณ ปรารถนาจอมนางมาเนิ่นนานจนตั้งใจใช้กำลังหักหาญ แต่กลับถูกกองทัพพระนางบดขยี้บีฑายับเยินจนต้องก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ สีหน้าขุนหลวงราวกับจะกลั้นใจตายให้ได้เสียตรงนั้น ทว่าจามเทวีกลับรับสั่ง
“หม่อมฉันมิได้ปรารถนาเมืองขึ้นเพื่อกดขี่ ไม่นิยมการบังคับข่มเหงผู้ใด หม่อมฉันจักละเว้นระมิงค์นครของพระองค์เสีย ถือเป็นของขวัญไมตรี เพื่อให้ขุนหลวงประจักษ์น้ำใจแท้จริงของหม่อมฉัน จักได้มิเชื่อคำผู้อื่น ที่แล้วมาหม่อมฉันจะถือว่าขุนหลวงหุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น หากท่านยอมรับได้ บัดนี้หริภุญไชยกับระมิงค์จักเป็นเมืองพี่น้องกัน พี่ย่อมไม่รังแกน้อง น้องย่อมไม่อวดดีต่อพี่ ขุนหลวงเห็นว่ากระไรบ้าง”
วิลังคราชมองราชนารีโฉมงามที่ตนรักใคร่บูชามาตลอดด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งชัง แม้จนบัดนี้ก็ยังไม่สิ้นหวังในตัวพระนาง แต่จะให้ดื้อดึงยามนี้ก็เปล่าประโยชน์ ความปราชัยของระมิงค์เป็นที่รับรู้ไปทั่ว ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ ได้แต่หมายมาดในใจว่าสักวันก่อนเถิด เมื่อได้หริภุญไชยมาไว้ในอุ้งมือเมื่อไร เขาจะกดพระนางไว้ใต้บาทชนิดที่มิให้เงยพักตร์ขึ้นได้อีกเลย
“แล้วแต่แม่เจ้าเถิด”
น้ำพระทัยพระนางจามเทวีเป็นที่เลื่องลือทั่วระมิงค์ธานีไปตลอดดินแดนตอนเหนือ บุญญาบารมีนางแผ่ไพศาลเป็นที่ครั่นคร้ามของแคว้นใหญ่น้อย
รัญชน์ยังคงสงสัย…ความปราชัยของกองทัพลัวะ แท้จริงเป็นอิทธิฤทธิ์ช้างวิเศษหรือพระปรีชาของนางพญาคนงามกันแน่
ผู้จารึกประวัติศาสตร์มักให้ค่าชายเป็นใหญ่ แม่เจ้าจามเทวีขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจมาแต่ไหนแต่ไร ให้เก่งทุกเรื่อง ผู้บันทึกซึ่งเป็นชายอาจไม่สบายใจนัก จึงเสริมแต่งอิทธิฤทธิ์ช้างภู่ก่ำงาเขียวยามเที่ยงวันขึ้นมาให้ดูอัศจรรย์พันลึก
แม้แต่พระกุมารแฝดที่บางตำนานเล่าว่าร่วมออกศึกครั้งนี้ทั้งที่ยังเยาว์ชันษานัก ก็ห่างไกลความจริงไปมาก ตรงกันข้ามเสียอีก พระนางทรงหวงโอรสยิ่งนัก ให้ประทับในเวียงพร้อมการอารักขาคุ้มกันอย่างแน่นหนาเสียด้วยซ้ำ พระนางกับคุณท้าวพี่เลี้ยงทั้งสองต่างหากที่เข้าไปต่อกรกับศัตรูด้วยตนเอง
ในเมื่อเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้แล้ว อาจเป็นผลดีกับเส้นทางรักของเมฆกับชมออนก็ได้ เมื่อระมิงค์ตกอยู่ในสถานะรองของหริภุญไชย จามเทวีจะเรียกร้องเอาอะไรจากขุนวิลังคะก็ย่อมได้
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 30 : เสน้าดอกแรก
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 29 : แผนลับซ่อนเร้น
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 28 : เกี่ยวดองสองแผ่นดิน
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 27 : ศึกวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 26 : ราชทูตจากระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 25 : ราตรีทวิเพ็ญ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 24 : ขุนหลวงวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 23 : ระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 22 : ฝาแฝด
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 21 : ปิ่นธานีหริภุญไชย
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (6)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (1)