ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 29 : แผนลับซ่อนเร้น

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 29 : แผนลับซ่อนเร้น

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เมื่อขบวนเกียรติยศกลับถึงเวียงหริภุญไชย พระนางจามเทวีก็จัดพิธีต้อนรับเจ้าแกมรุ่งและเจ้าแสะรุ่งอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติคู่หมายของสองราชกุมารในภายหน้า เจ้านางทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าประหม่าอายให้พี่สาวคนโตเป็นฝ่ายเฉิดฉายออกหน้าทุกเรื่องราวกับเป็นผู้ได้รับเกียรตินั้นเสียเอง เมื่ออยู่กันลำพังสามพี่น้อง เจ้าหยาดรุ่งจึงเอ็ดเสียงเขียว

“น้องทั้งสองของพี่ทำตัวราวกับมิใช่ธิดาแห่งขุนวิลังคราช งกเงิ่นประหนึ่งสาวบ้านป่าแน่ะ”

“ข้าเจ้ากลัวนี่ บ่เคยมีผู้ใดสอนสั่งสักหน่อยว่าต้องทำตัวจะใด ข้าเจ้ากับน้องแสะวิ่งเล่นกันอยู่ดีๆ เจ้าป้อก็จับใส่ขบวนมาให้เป็นเมียผู้ใดก็บ่ฮู้” เจ้าแกมรุ่งร้องไห้โฮ “เจ้าพี่ก็เห็น สองกุมารนั้นเพิ่งวิ่งได้เท่านั้นกระมัง จะให้มาเป็นผัวได้อย่างไร”

“ผู้ใดจักให้มาเป็นผัวเจ้าตอนนี้ ดูทีคงอีกนานหลายปีทีเดียว”

“แล้วเจ้าพี่เล่า บ่ต้องไปเป็นชายาเจ้าเมืองใดกา? หรือจักเอาอ้ายเมฆเป็นผัวให้จงได้”

พี่คนโตหน้าแดงร้อนไปถึงหู บอกไม่ถูกว่าโกรธหรืออาย “เขาต้องเป็นผัวพี่อยู่แล้ว สุดท้ายพี่ก็จะได้เป็นแม่เมืองระมิงค์ธานี” นางกระแอมเสียงดัง ก่อนลดเสียงต่ำ “พวกเจ้าอย่าลืมที่พี่สอน จะใดพวกเจ้าก็เป็นชาวระมิงค์ บ่ใช่หริภุญไชย จงสอดส่องความเคลื่อนไหวในเวียงนี้ให้มาก สักวันจะได้กู้ศักดิ์ศรีเฮาคืน”

“แม่เจ้าตรัสว่าจะฮักและดูแลหมู่เฮาอย่างดีนี่จ๊ะ” เจ้าแสะรุ่งเอ่ยบ้าง “แม่เจ้าบ่ได้เอาระมิงค์เป็นเมืองขึ้นสักหน่อย น้ำพระทัยงดงามจั๊ดนัก เหตุใดต้องขุ่นเคืองเล่า”

“มันก็หลอกให้เจ้าตายใจต่างหาก หลอกใครจะง่ายเท่าหลอกละอ่อน” พี่สาวคนโตเอ็ด “อย่าคิดว่าจะมีผู้ใดในหริภุญไชยจริงใจกับพวกเจ้า จงระลึกไว้เสมอว่านางพญาผู้นี้เจ้ามารยาสาไถย ปั่นปัวเจ้าป้อของเฮาวุ่นวาย พวกเจ้าถึงต้องมาเป็นบรรณาการเยี่ยงนี้”

แกมรุ่งกับแสะรุ่งมองหน้ากัน ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ทั้งยอมรับและพรั่นพรึง

 

หลังชนะศึกระมิงค์นคร ชื่อเสียงบารมีของนางพญาจามเทวียิ่งขจรขจาย เมืองเล็กเมืองน้อยล้วนเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยตนเองทั้งสิ้น หริภุญไชยเริ่มกลายเป็นนครใหญ่ที่ใครต่อใครต้องการเยือนให้ได้สักครั้ง ทั้งเพื่อสักการะวัดวาอารามยิ่งใหญ่ ทั้งเพื่อค้าขาย ณ ชุมทางการค้าอันรุ่งเรืองที่สุด จนตัวเมืองเริ่มขยายกว้าง พระนางเริ่มปรารภเรื่องการสร้างเมืองใหม่ ปรับปรุงเวียงหน้าด่าน เวียงบริวารให้รองรับคนได้มากขึ้น

“อย่างไรข้าก็ต้องสร้างเมืองใหม่ขึ้นอยู่ดี เพียงแต่มิใช่เพลานี้ ยามนี้ดูแลเวียงต่างๆ ให้สมบูรณ์เสียก่อน” พระนางรำพึงกับคุณท้าวพี่เลี้ยงทั้งสอง “เวียงรมย์คาม เวียงมโน เวียงฮอดกำลังรุ่งเรือง เป็นหน้าด่านป้องกันที่แข็งแกร่ง เป็นประตูการค้าสู่แผ่นดินตอนใต้ได้ราบรื่น เจ้าครองเวียงก็ล้วนเป็นคนของเราทั้งสิ้น จะมีแต่เวียงโถที่น่าเป็นห่วงสักหน่อย ได้ยินว่าเจ้าคำทุ่งล้มเจ็บอยู่บ่อยครั้งแต่ยังมิใคร่ให้ลูกรู้ กลัวจักอยู่ไม่เป็นสุข ในเร็ววันนี้อาจต้องมองหาคนขึ้นครองเวียงโถแทน”

“เช่นนั้นแม่เจ้ามองผู้ใดไว้เล่า” ปทุมวดีคะเน “ขุนเจ้าขันติกระมัง มีเชื้อมีสาย มิใช่ไพร่สามัญดาษดื่น” พระนางจามเทวีไม่ตอบ หากสายพระเนตรแสดงชัดว่าทรงเห็นด้วย ปทุมวดีจึงนึกขึ้นได้

“แต่ชมออนของพวกเราน่ะสิ ไม่มีทีท่าสนใจเขาสักนิด ได้ยินว่าปฏิเสธขุนเจ้าขันติไปแล้ว ดวงตาของนางมีแต่ทูตชาวลัวะผู้นั้น แต่อย่างไรก็เป็นไปมิได้ อ้ายบ่าวเมฆนั้นแม้มีมารดาเป็นเจ้า แต่ในมือก็ว่างเปล่าไร้อำนาจ เพียงชาติกำเนิดก็เบาบางเกินนับ ทั้งยังเป็นพรานมาทั้งชีวิต เพิ่งขยับมาเป็นทูตได้ไม่กี่เพลาเท่านั้น พวกเราย่อมปรารถนาให้ชมออนได้บุรุษผู้มีชาติกำเนิดสูงสุดคู่ควรกับนางผู้เป็นธิดาเจ้าเวียงโถ เป็นนางข้าหลวงสูงศักดิ์ของนางพญาเจ้าจามเทวี”

“เรื่องเจ้าเวียงโถหรือคู่ครองของชมออนนั้นให้เป็นเรื่องอนาคตเถิด มิแน่ว่าถึงเวลานั้นขุนเจ้าขันติอาจพบเจอสตรีที่เขารักแลเหมาะสมกับเขาก็เป็นได้”

“ชมออนก็ยืนยันกับหม่อมฉันว่าตัดใจจากเรื่องอ้ายเมฆแล้ว” เกษวดีว่า “จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันเพคะ นับแต่ห่างหายกันไป ก็ได้ยินว่าอ้ายเมฆกลับไปท่องไพรอีกครั้ง มีข่าวลือว่าเขาได้ไปฝึกวิชากับนักพรตมืดบนดอยอ้อยที่พระอาจารย์วาสุเทพเอ่ยถึง คนของเราหลุดพ้นมิต้องข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้เล่นไสยอาคมนั้นก็นับเป็นบุญแล้วเพคะ”

“แต่ก็ยังน่ากังวลอยู่ดีมิใช่หรือ ด้วยหากเมฆมีวิชามืดแล้วกลับมารับใช้ขุนก๊ะ เมื่อนั้นอาจเดือดร้อนด้วยอาคมก็เป็นได้ ขุนก๊ะยิ่งเคียดแค้นจ้องหาโอกาสปลดแอกระมิงค์จากเราเสมอ” ปทุมวดีแย้ง

“แต่ใช่ว่าเราไม่มีวิชาเสียเมื่อไร ขอเพียงไม่ประมาทเท่านั้นแล”

“พวกพี่พูดมานั้นก็มีเหตุผล เรายังวางใจในเมืองระมิงค์มิได้ทั้งนั้น ขุนเจ้ารัญชน์ถึงใคร่กลับเมืองระมิงค์ไปสืบความอีกครั้ง” จอมนางลำพูนทอดถอนพระทัย “ว่าแต่…เจ้ารุ่งทั้งสองนั้นอยู่ดีมีสุขหรือไม่เล่า”

“เพคะ ชมออนกล่าวว่าพวกนางเป็นเด็กเรียบร้อยว่าง่าย ทั้งยังเอื้อเอ็นดูเจ้าวรใหญ่แลเจ้าวรน้อยมาก เจ้าวรทั้งสองก็โปรดเล่นกับพวกนางเช่นกัน”

“อืม…” พระนางตรัสแผ่วเบา “เช่นนั้นก็ดี ขุนเจ้ารัญชน์จะได้นำความนี้แจ้งแก่ขุนวิลังคะ บิดาของพวกนางให้เขาสบายใจได้”

แต่ผู้ที่ยังสบายใจมิได้คือพระนางต่างหาก เพราะนอกจากเรื่องสวัสดิภาพของลำพูนและความปลอดภัยของรัญชน์แล้ว ในพระทัยยังอดนึกมิได้ว่าเขาจักได้พบกับเจ้าหยาดรุ่งอีกหรือไม่

 

ขุนหลวงพระองค์ก่อนปลูกเรือนให้เจ้าเอเมียะอยู่ท้ายคุ้มหลวง ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่หลากหลายอย่างพะยอม มะค่า คูน เป็นเรือนไม้สีเขียวอ่อนเรียบง่าย มองเผินๆ ชวนให้นึกว่านางไม่สู้เป็นที่โปรดปรานเท่าไร หากเมื่อพิจารณาให้ดีแล้วกลับพบว่าบริเวณนั้นเป็นทิศมงคลของขุนหลวง ทั้งยังปลูกด้วยไม้ตะเคียนทองทั้งหลัง ภายในมีเครื่องเงินเครื่องทองและของประดับหายากตกแต่งไว้งดงาม อันแสดงให้เห็นว่าขุนหลวงยกย่องให้เกียรตินางอยู่มาก นางจึงอยู่ได้เรื่อยมาแม้สิ้นบุญขุนหลวงองค์เดิมเข้าสู่รัชสมัยของเขา

“ขุนหลวงให้เกียรติมาด้วยองค์เอง เรือนข้าเจ้าคับแคบต้องขอสุมาเจ้า”

“เฮาบ่ได้มาเยี่ยมเยียนสูเจ้านานแล้ว เรื่องลูกบ่าวของสูเจ้าเป็นจะใดเล่า” ขุนก๊ะพุ่งตรงเข้าประเด็นตามนิสัย “ตั้งแต่พลาดหวังจากแม่ญิงลำพูน อ้ายเมฆก็ลาท่องไพรไปอยู่ดอยอ้อย บ่ไว้หน้าหยาดรุ่งสักนิด ดูเขาโปรดปรานวิถีชาวป่ายิ่งนัก”

“ข้าเจ้าขอสุมาแทนลูกบ่าวเจ้า อ้ายเมฆมีนิสัยรักอิสระมาแต่ละอ่อน กระทั่งข้าเจ้าเขาก็หาฟังไม่”

“เพราะข้าเข้าใจนิสัยมันนั้นแล ถึงใคร่ตำหนิมันก็ว่าได้บ่เต็มปาก เพราะหากจะว่าไปแล้วเฮาก็นับถือน้ำใจมันที่ยังคงจงรักภักดีต่อระมิงค์ ทั้งที่จักเลือกสวามิภักดิ์รับใช้ลำพูนเสียก็ยังได้ ด้วยมันมิใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ไหนแต่ไร บ่ใคร่ถือสาเรื่องบ่ได้เป็นเจ้าเป็นนาย แต่มันก็ยังบ่ไป จะด้วยห่วงใยมารดาอย่างสูเจ้าหรือเห็นแก่เฮาก็ตาม” วิลังคราชมองมารดาพรานเมฆแล้วทอดถอนใจ

“มันมีน้ำใจต่อเฮามากนัก ตั้งแต่คราโน้นที่นำดาบสจากดอยขุนตาลมาช่วยเหลือเฮา แลมันเป็นคนรอบรู้ หลายคราที่มันทักท้วงให้เป็นประโยชน์ต่อเฮาแต่เฮาก็หาฟังมันไม่ สุดท้ายมันก็พูดถูกทุกครา อย่างเรื่องช้างภู่ก่ำงาเขียวในศึกครานั้นจะใดเล่า เฮาบ่มีวันลืมเด็ดขาด”

ราชันร่างหนาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนรำพึงอีกหน

“เมื่อครั้งที่ไปส่งแกมรุ่งกับแสะรุ่งถึงหริภุญไชยครานั้น อ้ายเมฆมันเล่าเรื่องบ้านเมืองนั้นให้ฟังมากมาย แคว้นเล็กกระจ้อยนั้นมหัศจรรย์พันลึกกว่าที่เฮาจักคาดการณ์ได้ มันเล่าว่าพระนางปกครองไพร่ฟ้าอย่างเด็ดขาดและเมตตาราวราชาทรงธรรมผู้หนึ่ง พระจริยวัตรพระนางหรือก็งดงาม”

“ขุนหลวงยังฮักแพงชื่นชมนางพญาผู้นั้นมิเสื่อมคลาย คงคลายโทสะเรื่องที่กองทัพพระนางขยี้บีฑาเฮาแล้วกระมัง ได้ยินเช่นนี้ข้าเจ้าก็ยินดีด้วย”

“คลายโทสะกา?” ราชันร่างใหญ่ชะงัก ขมปร่าในคอขึ้นมาทันใด “ผู้ใดจักลืมเรื่องอัปยศนั้นได้ลงเล่า แต่ถึงอย่างไรบัดนี้แกมรุ่งกับแสะรุ่งก็อยู่ในเงื้อมมือพระนาง เฮาจะทำอันใดต้องนึกถึงลูกให้มาก”

“เจ้ารุ่งทั้งสองสุขสบายดีก่อเจ้า”

“เท่าที่ทราบจากผู้ตรวจการผู้นั้น ราชสำนักหริภุญไชยอบรมสั่งสอนพวกนางอย่างดีด้วยเมตตา พวกนางสนุกสนานเพลิดเพลินยิ่งนัก แม้เป็นเพียงคำอ้างของชาวลำพูน แต่ก็สอดคล้องกับที่เมฆกล่าว”

“เช่นนั้นก็ควรสบายพระทัย บ่มีอันใดต้องขัดเคืองอีกแล้ว”

ขัดเคืองหรือ…ราชันลัวะก็ตอบไม่ถูก รู้เพียงอับอายจนใคร่ให้พสุธาสูบลงให้สิ้นเรื่อง ทว่ารู้ตัวอีกที ยามราตรีก็หยิบรูปเขียนของนางขึ้นพร่ำเพ้อ ทำอย่างไรหนอจึงจะได้ปลดแอกกู้ศักดิ์ศรีกุนาระอันยิ่งใหญ่และได้ครอบครองพระนางในคราเดียว วิถีสันถวไมตรีที่จอมนารีมอบให้เป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด หากมันก็นำพาเขาห่างไกลจากการได้พระนางมาเป็นแม่เมืองขึ้นไปทุกที พระนางเองก็มักส่งราชสาส์นถนอมน้ำใจทำนองเดียวกับที่เคยส่งมาครั้งกระโน้นว่ามิได้ทรงรังเกียจขุนวิลังคราช ทว่ายังไม่ทรงคิดเรื่องอภิเษกสวามีใหม่ ด้วยปรารถนาจักทำหน้าที่มารดาให้ดีเสียก่อน

‘บางทีหม่อมฉันอาจไม่มีวาสนาครองคู่กับผู้ใดก็เป็นได้ หัวใจหม่อมฉันจึงยังมิเปิดให้บุรุษอื่นใด’

บุตรสาวเรียกว่าคำปฏิเสธ ขณะที่วิลังคะมองว่าตนยังมีหวัง อีกทั้งเมฆได้เตือนสติว่าการปรองดองกับหริภุญไชยกลับเป็นเรื่องดี เพราะระมิงค์จะได้รับการถ่ายทอดศิลปะวิทยาการอย่างผู้เจริญแล้ว อารยธรรมจากแดนใต้แผ่ขยายเข้ามา หูตาชาวลัวะกว้างไกลขึ้น

“หากลูกลงดอยกลับมาข้าเจ้าจักกำชับความเขาอีกหน สุดท้ายเขาก็ต้องรับใช้ระมิงค์นครอยู่ดีเจ้า แต่ข้าเจ้าใคร่ถามขุนหลวงสักเรื่องหนึ่งเถิด” เจ้าเอเมียะกล่าวอย่างอ่อนน้อม “เหตุใดจึงยังเก็บผู้ตรวจการชาวลำพูนผู้นั้นไว้ มิฆ่าให้สิ้นเรื่องไปเสียเล่า หรือจะใช้เป็นตัวประกันต่อรองกับเจ้ารุ่งทั้งสองเพื่อปลดแอกบ้านเมืองก็ย่อมได้ จะใดระมิงค์ก็มีกำลังพลมากมายอยู่แล้ว หากคิดกรีธาทัพสู้กลับคงมิใช่ปัญหา”

“อ้ายผู้ตรวจการพิลึกนั่นเรอะ” ขุนหลวงชะงัก ลังเลว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไร “มันหาใช่คนธรรมดาสามัญไม่ เฮาบ่อาจบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจได้”

“เช่นนั้นแต๊กาเจ้า?” แม้ทักท้วง เจ้าเอเมียะก็ยังใช้เสียงนุ่มนวล “บ่ใช่ขุนหลวงยังคิดเรื่องเอาเขามาเป็นราชบุตรเขยสืบบัลลังก์แทนลูกบ่าวข้าเจ้าดังที่เคยเสนอต่อนางพญาลำพูนอยู่กา?”

“เรื่องนั้นเฮาเพียงทดลองน้ำพระทัยแม่เจ้าจามเทวีเท่านั้น” ขุนหลวงระมิงค์ตอบ “มิใช่เฮาผู้เดียว แต่ใครๆ ก็เห็นว่าขุนนางผู้นั้นสนิทสนมใกล้ชิดแม่เจ้ามากกว่าผู้ใด ดูทีคงมีความสำคัญมิน้อย รูปโฉมมันหรือก็…งามแปลกตา” แม้ไม่ชอบใจประสาบุรุษแต่วิลังคะจำต้องยอมรับ “มินับเรื่องที่ว่าเขาเก่งกาจเวทมนตร์อาคมจนสามารถฟื้นจากความตายได้ราวปาฏิหาริย์ เฮาจักทำอันใดมันต้องคิดให้ดีเสียก่อน”

“ขุนหลวงทราบเรื่องพวกนั้นได้จะใดเจ้า” เจ้าเอเมียะจับสังเกตราชันระมิงค์แล้วอดสงสัยมิได้

“หรือเรื่องที่ทรงคบคิดหารือกับนักพรตบนดอยอ้อยนั้นจักมีมูลกระมัง ด้วยทุกครั้งที่ขุนหลวงกลับจากดอยอ้อย มักจะมีเรื่องราวข้อมูลใหม่มาเสมอ”

วิลังคราชไม่ตอบ แต่กลับย้อนถามว่า “เช่นนั้นคนไปดอยอ้อยทุกคนต้องไปพบนักพรตหรือ สูเจ้าเองก็ไปเยือนดอยอ้อยอยู่บ่อยครั้งบ่ใช่กา? แม้แต่อ้ายเมฆเองก็มีคนลือเรื่องหายตัวไปเล่าเรียนกับนักพรตเช่นกัน” ราชันมองชายาขุนหลวงพระองค์ก่อนอย่างฉุนแกมเห็นใจ “เฮาเข้าใจเรื่องที่สูเจ้ากังวล จงมั่นใจเถิดว่าเฮาบ่คิดเอาอ้ายขุนเจ้ารัญชน์ผู้นั้นมาเป็นผู้สืบบัลลังก์แทนลูกบ่าวของสูเจ้าเด็ดขาด แต่เฮายังกำจัดผู้ตรวจการนั้นไปบ่ได้ เขาเองก็มีวาสุเทพฤๅษีผู้เรืองฤทธิ์คอยสนับสนุนอยู่ เฮาจำต้องปล่อยเขาไปก่อน เขาใคร่สืบความใดในระมิงค์ก็ให้เขาทำไปเถิด ได้ความจะใดก็บ่มีทางเล็ดลอดส่งข่าวกลับลำพูนได้แน่ เฮาควบคุมเส้นทางอย่างเข้มงวดทีเดียว”

“หมายความว่าขุนหลวงคิดกระทำการบางอย่างแม่นก่อเจ้า ถึงต้องป้องกันมิให้มันสืบความ”

“ยังหรอก ข้ายังมิใคร่แตกหักกับลำพูนหากบ่จำเป็น”

ภาพนางพญาเมืองผู้เลอโฉมนั้นยังติดในห้วงคำนึงของราชันลัวะเสมอทั้งยามหลับแลยามตื่น ปนเปไปด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นจนแทบมอดไหม้ แต่ในเมื่อพระนางยืนกรานว่ามิทรงนึกพิศวาสชายใดจนถึงขั้นอภิเษกได้นั้น ด้วยทั้งแผ่นดินหาได้มีบุรุษใดดีงามเสมอเหมือนพระสวามีรามราชอีกแล้ว ขุนวิลังคะก็ได้แต่เก็บเพลิงรักที่อัดแน่นในใจเอาไว้ผู้เดียว ผิดวิสัยใจร้อนหุนหันพลันแล่นของตนเองอย่างยิ่ง…

กระนั้นวิลังคราชก็ตอบตนเองได้ว่าเป็นเพราะลักษณาการของจามเทวีมิใช่ผู้ที่เขาจะคิดหักหาญน้ำใจได้โดยมิรู้สึกเลวทรามต่ำช้าได้ จึงจำต้องอดทนในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

 

“ขุนวิลังคะเตรียมซ่องสุมกำลังอย่างลับๆ รวบรวมหัวหน้าลัวะตามเมืองต่างๆ ได้นับหมื่น”

สารสำคัญเดินทางผ่านหม้อดินเผามาสู่พระหัตถ์จอมนารีหริภุญไชย ผู้ถ่ายทอดต่อไปยังคุณท้าวชาวรักตมปุระทั้งสองและอดีตขุนศึกละโว้อย่างขุนเจ้าขันติ

“ขุนเจ้ารัญชน์ว่าทางระมิงค์คงระแคะระคายอยู่บ้างว่าขุนเจ้าอาจส่งข่าวกลับหริภุญไชยได้ จึงเข้มงวดเรื่องคนเข้าออกเมืองทุกช่องทาง มิเว้นกระทั่งทางป่าทางดอยและพิราบสื่อสาร”

“ขุนก๊ะมีนิสัยใจร้อนโผงผาง เดือดดาลมุทะลุ เหตุใดครั้งนี้ใจเย็นนัก” ขุนเจ้าขันติตั้งข้อสังเกต “เลี้ยงไม่เชื่องแท้ๆ สู้อุตส่าห์ให้อิสระ สำแดงว่าพวกเราจริงใจ ไม่ต้องการเบียดเบียน แต่สันดานงูเห่านั้นไม่รู้จักบุญคุณ ครานี้จักทำเยี่ยงไรดี จะใช้ภู่ก่ำงาเขียวดังเดิมพวกมันก็คงรู้ทันเสียแล้ว”

“ที่จริงแล้วข้าควรรู้ ไม่มีผู้พ่ายศึกใดยอมจำนนแท้จริงหรอก ต่างล้วนรอวันเอาคืนกอบกู้เกียรติและเอกราชของตนทั้งนั้น แม้ข้าจักมิได้เอาเป็นเมืองขึ้นก็ตาม ข้าคงทำคุณคนไม่ขึ้นแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว” ปลายสุรเสียงขมปร่าสะเทือนพระทัย

“แม้อับอายจากความปราชัยในศึกครานั้น แต่ขุนก๊ะก็ยังเสน่หาใคร่ได้แม่เจ้าเป็นมเหสีอยู่ดี แม่เจ้าก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยหล่อเลี้ยงน้ำพระทัยมาตลอด หรือมีเงื่อนงำใดที่เรามองมิเห็นเจ้าข้า”

“หม่อมฉันได้มีโอกาสอ่านพระสาส์นที่ทรงเขียนถึงขุนวิลังคราชอยู่เนืองๆ” ปทุมวดีแสดงความเห็น “ไม่ว่าแม่เจ้าจักจงใจหรือไม่ เนื้อความนั้นแฝงนัยให้ความหวัง แต่ใจความก็เป็นกลางจนมิอาจทึกทักได้เต็มปาก หากอ่านให้ดีจึงจะเข้าใจว่าเป็นคำปฏิเสธ แต่ขุนก๊ะก็ตอบไมตรีกลับมาด้วยดีทุกครา… ดังเช่นว่า”

‘นิราศจากลวปุระมาแสนไกล ปกครองหริภุญไชยเพียงลำพัง จักเรียกว่าโดดเดี่ยวก็บางครา แต่เมื่อหันไปหาสองกุมาร หัวใจผู้เป็นมารดาก็เต็มตื้น ตื่นมาได้ดูแลไพร่ฟ้าชาวประชา ก็สุขล้นทดแทนความอ้างว้างได้ ความสุขของหม่อมฉันคือการได้ดูแลทวยราษฎร์และการเป็นแม่กระมัง หากต้องอภิเษกมหาบุรุษสักผู้ เขาก็ควรเป็นผู้แจ้งใจในความสุขของหม่อมฉันดังเช่นรามราชแห่งละโว้เคยเป็น มิดึงลงสู่ความทุกข์หรือกดขี่ด้วยอำนาจ นอกจากมหาบุรุษเช่นเขาแล้ว หม่อมฉันก็มิเคยเห็นผู้ใดเป็นได้ดังว่าอีกเลย บางทีหม่อมฉันอาจไม่มีวาสนาครองคู่กับผู้ใดก็เป็นได้ หัวใจของหม่อมฉันจึงยังมิเปิดให้บุรุษอื่น’

“หากขุนวิลังคะหลงรักแม่เจ้าเป็นทุนเดิมก็อาจตีความเข้าข้างตนได้ว่าถ้าหากตนเป็นชายแสนดีอย่างที่แม่เจ้าต้องการก็อาจมีโอกาสชนะใจแม่เจ้าได้เพคะ”

“เขาเองก็ตอบไมตรีกลับมาด้วยดีทุกครั้ง…น่าแปลก” ขุนเจ้าขันติลูบคางครุ่นคิด “ชะรอยเงื่อนงำที่ว่าอาจมีที่มาจากถ้อยความในสาส์นก็เป็นได้เจ้าข้า”

“จริงเช่นขุนเจ้าว่า ต้องมีใครตีขนดหางงูเป็นแน่” พระนางตั้งสติใคร่ครวญ “ถ้าขุนก๊ะนั่นแสนสิเน่หาในตัวข้าดังว่าก็อาจเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง แต่อยู่ดีๆ จะมีกระไรได้ วันๆ ข้าก็ออกว่าราชการ”

“ข้าพระองค์จักลองสืบดูเจ้าข้า”

“ข้าก็จักให้ชมออนช่วยอีกทาง ให้มีสตรีฝ่ายในสืบความด้วยน่าจักได้ประโยชน์มากขึ้น”

ใบหน้าอดีตขุนศึกละโว้เป็นสีเรื่อขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อนางกำนัลสาวแต่ยังตีหน้าเคร่งขรึม

 

ขันติพิจารณาสองกุมารที่กำลังฝึกซ้อมฟันดาบด้วยสายตาครุ่นคิด ปีนี้เจ้าฝาแฝดอายุหกชันษาแล้ว ปัญญาเฉียบแหลม เรียนรู้ว่องไว หากอย่างไรก็ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูอย่างไรก็ซึมซับรับไว้ดุจผ้าขาวรองรับการระบายสี ทุกครั้งที่เรียนเพลงดาบ ขันติก็ตั้งหน้าตั้งตาสอน สองกุมารก็ตั้งใจเรียนด้วยดี หลายครั้งเห็นเจ้าแกมรุ่งกับเจ้าแสะรุ่งมาเฝ้าชมคู่หมายตัวน้อยเรียนดาบ ชายหนุ่มก็มิได้นึกผิดสังเกตอันใด ด้วยเห็นว่าแม้จะโตกว่าหลายปี แต่โดยหน้าที่แล้ว ธิดาทั้งสองของขุนวิลังคะก็ควรสนิทสนมเอาใจใส่คู่หมั้นอยู่แล้วเพื่อสถานะอันมั่นคงในราชสำนัก

จนกระทั่งได้หารือกับชมออนตามบัญชาพระนางเจ้า นางกำนัลสาวจึงตั้งข้อสังเกตอันทำให้เขาต้องมาทบทวนอีกครั้ง

‘พวกข้าหลวงแบ่งหน้าที่กันดูแลแกมรุ่ง แสะรุ่ง’ เมื่อไม่อยู่ต่อหน้าเจ้านาย นางไม่เรียกธิดาขุนก๊ะเป็นเจ้า ‘ข้าเจ้าดูแลเรื่องภูษาอาภรณ์ สอนทำเครื่องดินเผา พี่เจียมดูเรื่องสำรับอาหารกับการเรือนทั้งปวง พี่ฝางคอยดูเรื่องการเล่าเรียนกับครูอาจารย์ทั้งหลายตามที่แม่เจ้าเห็นควร ค่อนข้างให้อิสระ อยากวิ่งเล่นอย่างไรก็ไม่เข้มงวดนัก ไม่มีบ่าวรับใช้ของตนเอง นอกจากเล่นกับสองกุมารแล้ว พวกนางชอบไปขลุกอยู่ท้ายอุทยาน เห็นว่าเลี้ยงนกเลี้ยงปลา เลี้ยงกระต่ายที่นำมาจากระมิงค์ด้วย บ่มีผู้ใดว่ากล่าวขัดข้องเพราะเห็นใจ ข้าเจ้าก็คงบ่ติดใจอันใด หากไม่เพราะนั่งขบคิดเรื่องเกลือเป็นหนอนในราชสำนัก’

น้ำเสียงนางจริงจังอย่างยิ่ง ‘ใช่ว่าเราจะเลี้ยงหนอนในระมิงค์ได้ฝ่ายเดียว ทางนั้นก็อาจวางหนอนบ่อนไส้เอาไว้ได้เช่นกัน…แม่นแล้ว ข้าเจ้าเกิดสงสัยเจ้าสองรุ่งขึ้นมา เพราะเป็นบุคคลแปลกหน้าที่เข้ามาอยู่ในเวียงเฮา’

‘สองนางเป็นเพียงละอ่อนน้อย จะทำเรื่องอย่างว่าได้จะใด’

‘อายุสิบเอ็ดปี เริ่มมีความคิดซับซ้อนได้แล้วเจ้า’ ชมออนแย้ง ‘ข้าเจ้าจะจับตาพวกนางต่อไป ส่วนท่านขุนเจ้าลองสังเกตพวกนางตอนอยู่กับราชกุมารเถิด’

ภายในสามวันนางก็ได้ความมาบอกเขา ‘เป็นดังที่นึก พอสอดส่องทุกอิริยาบถก็พบความลับเข้าจนได้ ขุนเจ้าลองทายดูเถิดว่าข้าเจ้าพบอันใดเข้าในอุทยาน’

‘ข้าเดามิถูกหรอก’ เขาออกตัวแต่แล้วกลับชะงัก ‘อุทยาน…หรือว่าจะเป็นนกพิราบ พวกนางเลี้ยงพิราบสื่อสารกระมัง’

‘ข้าเจ้าอุตส่าห์ตื่นเต้น แต่ท่านกลับเดาได้ทะลุปรุโปร่ง’ นางว่า ‘เป็นพิราบสื่อสารเช่นท่านว่า เสียแต่มิรู้ว่าพวกนางส่งข้อความอันใด ข้าเจ้าคาดคั้นเท่าไรก็บอกเพียงว่าเล่าสารทุกข์สุกดิบให้พี่น้องเท่านั้น ผู้ใดจักเชื่อ แต่พวกนางก็เอาแต่ร้องไห้ แม่เจ้าก็ยังไม่อยากใช้ไม้แข็งด้วยการลงอาญา จึงสั่งให้กักบริเวณไปก่อน เช่นนี้ก็เลยต้องพึ่งท่านให้ไปเอาความจากเจ้าวรทั้งสองแทนขุนเจ้ารัญชน์ด้วยเถิด’

‘พระโอรสเกี่ยวอันใดเล่า’

‘นอกจากพระโอรสแล้ว แสะรุ่ง แกมรุ่งก็ไม่สนิทสนมกับผู้ใด เผื่ออย่างน้อยจะได้เบาะแสบ้าง ขุนเจ้าเป็นครูเจ้าแฝด ทั้งยังเป็นบุรุษ พวกเขาคงเล่าเรื่องให้ฟังบ้าง’

 

หลังซ้อมดาบเสร็จ สองกุมารก็นั่งพักใกล้ขุนเจ้าขันติ ขณะที่กำลังคิดว่าควรตะล่อมถามทั้งคู่อย่างไร เจ้าอนันตยศก็ปรารภขึ้นเสียก่อน

“พี่แกมกับพี่แสะบ่มาหลายวันแล้ว เจ็บไข้อันใดก่อเจ้าอ้ายวรใหญ่”

“ข้าจักรู้ได้จะใด” เด็กทั้งสองพูดภาษาพื้นเมืองชัดถ้อยชัดคำตามที่ได้รับการสั่งสอน

“วรใหญ่เป็นพี่ก็ต้องรู้กว่าข้า”

“ข้าก็เกิดมาพร้อมเจ้า” คนพี่ตอบพลางชะเง้อชะแง้หาคู่หมั้นทั้งสอง “หรือเพราะวรน้อยพูดว่าเจ้าแม่ฮักเจ้าป้อมิเสื่อมคลาย บ่มีวันชายตามองขุนหลวงระมิงค์เจ้าป้อพวกนางได้ พี่สองคนก็เลยโกรธ เป็นเพราะปากวรน้อยทีเดียว”

“ก็พี่แกมกล่าวหาว่าเจ้าป้อของเฮาตายแล้ว หาว่าเฮาบ่มีบิดา จึงต้องให้เจ้าแม่แต่งงานกับขุนก๊ะ เฮาสองคนจักได้มีบิดา” เจ้าอนันตยศรีบแย้ง “เจ้าป้อเฮายังบ่ตายสักหน่อย เจ้าแม่ว่ายามนี้เจ้าป้ออยู่ในดินแดนแสนไกลแต่ยังฮักและห่วงใยหมู่เฮาเสมอ เจ้าป้อเฮาเป็นเจ้าชายละโว้ แม่นก่อครู?”

ครูดาบได้ยินก็สบช่อง ยิ้มกว้างอย่างอบอุ่น ตอบเพียงข้อหลัง

“เจ้าชายกัษษกร…พระบิดาของเจ้าวรใหญ่ เจ้าวรน้อยเป็นผู้ที่ข้าพระองค์เทิดทูนภักดียิ่งชีวิต…แล้วพวกนางตอบว่าจะใดกา?”

“พวกนางบ่เชื่อน่ะสิ ข้าก็เลยเล่าว่าเจ้าแม่เขียนจดหมายถึงเจ้าป้อเป็นกาพย์กลอนไพเราะทุกวัน”

“พวกนางคงคิดว่าวรน้อยเยาะเย้ยขุนก๊ะกระมัง เจ้าทำให้พี่แกมพี่แสะโกรธ”

“กลอนเช่นนั้นกา?” ขุนเจ้าขันติสะดุดหู ขณะที่เจ้าชายทั้งสองพยักหน้า

“แม่นแล้ว เจ้าแม่เคยท่องให้เฮาสองคนฟัง” แล้วสองกุมารก็ประสานเสียงท่องบทรำพันรักออกมา ได้สดับเนื้อความทั้งหมดขุนศึกหนุ่มก็ขนลุกชัน

“ทรงท่องให้พวกนางฟังหรือไม่เจ้าข้า”

เจ้ามหันตยศชี้หน้าอนุชาแฝด “วรน้อยนี่ละท่องให้ฟัง พี่แกมพี่แสะหน้าถอดสีทีเดียว”

“ก็พวกนางบ่เชื่อนี่นา” เจ้าอนันตยศแย้ง “จนข้าบอกว่าเจ้าแม่ส่งจดหมายโคลงกลอนให้เจ้าป้อที่ละโว้อยู่บ่อยครั้ง พวกนางถึงยอมเชื่อว่าเจ้าป้อเฮายังบ่ตาย ผู้ใดจักทราบได้ว่าพวกนางจะโกรธ”

“ส่งจดหมายไปละโว้?” ขุนนางหนุ่มขมวดคิ้ว “ทรงทราบได้เช่นไรกันว่าแม่เจ้าส่งไปแต๊”

ไม่มีทางที่พระนางจะส่งความลับเร้นในหทัยแพร่งพรายออกไปภายนอกเด็ดขาด ทว่าเจ้าชายแฝดกลับตอบอย่างไร้เดียงสาว่า

“หากบ่ส่งให้เจ้าป้อแล้วเจ้าแม่จักส่งให้ผู้ใดเล่า จักเขียนเก็บไว้อ่านเองกา? เพราะเมื่อถามว่าเจ้าแม่ฮักเจ้าป้อก่อ? เจ้าแม่ตอบว่าฮักสุดหัวใจ”

“พระแม่เจ้ามิได้ส่งจดหมายไปละโว้หรอกเจ้าข้า ทรงโปรดประพันธ์กาพย์กลอนอยู่เป็นนิจเท่านั้นเอง หากวันหน้ามีผู้อ้างถึงเรื่องพระบิดาของเจ้าวรทั้งสอง ขอจงอย่าเอ่ยเรื่องส่งโคลงกลอนรักไปละโว้อีกนะเจ้าข้า จักสร้างรอยร้าวให้ลำพูนกับระมิงค์ได้ ข้าหมายถึง ขุนก๊ะอาจจะกริ้วโกรธาจนยกทัพมาก็เป็นได้”

เจ้ามหันตยศชี้นิ้วไปทางอนุชาแฝดอีกหน “เพราะเจ้าอีกนั่นแล วรน้อย…เพราะวรน้อยยังเอ่ยต่อไปอีกว่าอย่าหวังว่าขุนก๊ะจักมาเป็นบิดาเฮา สองตาเจ้าแม่บ่มีวันแล เพราะเจ้าแม่ยังรอเจ้าป้อกลับมาเสมอ”

“วรใหญ่ก็เหมือนกันนั้นแล เกือบจะเอ่ยไปมิใช่หรือว่าต่อให้บ่มีเจ้าป้อ แต่หมู่เฮาก็มีรันรันเป็นเสมือนบิดาอีกคนหนึ่ง บริวารละโว้ต่างเห็นพ้องว่ารันรันหน้าตาเหมือนเจ้าป้อเฮาบ่มีผิดเพี้ยน บ้างก็ว่าแต๊แล้วเป็นเจ้าป้อปลอมตัวมาดูแลเจ้าแม่กับหมู่เฮาด้วยซ้ำ…ดีที่เฮาห้ามวรใหญ่ไว้เสียก่อน เพราะรันรันเตือนไว้เสมอว่าอย่าพูดจาเช่นนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด จะทำให้เจ้าแม่เดือดร้อนได้”

ขุนเจ้าขันติฟังแล้วฝืนยิ้มแย้มปกติให้เจ้าชายแฝด ทั้งที่ข้างในฝืดเฝื่อนเหลือกำลัง

 



Don`t copy text!