ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 32 : ผลัดแผ่นดิน

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 32 : ผลัดแผ่นดิน

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

“เขนน้อย เมื่อครั้งข้ายกทัพกลับไปช่วยศรีวิชัยรบกับพวกโจฬะ ข้าได้พบเจ้าแม่ เจ้าแม่มิถือโทษใดที่ข้าปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้”

รัตตกรถอนหายใจ “ก็เจ้าแม่ทราบดีว่ามิใช่ความผิดเจ้าพี่ เจ้าพี่ก็ทรงเลิกโทษตนเองเสียเถิด ผ่านมาเนิ่นนานยังโทษเรื่องเดิมเช่นนี้มิเบื่อบ้างหรือ”

“จะให้ข้าสุขสบายใจได้อย่างไรในเมื่อเขนน้อยยังล่องลอยอยู่ในห้วงกาล”

“ข้ามิได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์เสียหน่อย บัดนี้เริ่มรู้จักบำเพ็ญเพียรกับเขาบ้างแล้ว วาสุเทพฤๅษีนั้นแลเป็นผู้สั่งสอน ท่านว่าเมื่อถึงกาลอันเหมาะสมก็จักมีหนทางให้ข้าหลุดพ้นได้เอง”

“ท่านวาสุเทพยังอยู่ดีมีสุขในแดนเหนือกระมัง”

“มีความสุขดี ท่านคอยชำระล้างอวิชชามืดมิดตามป่าดงพงไพรมิขาด ข้าก็ได้ร่วมอนุโมทนาบุญนี้ด้วย แล้วที่เจ้าพี่เคยกังวลเรื่องพลังมืดที่อาจรบกวนชวาลานั้นก็มิต้องติดใจอีกแล้ว บัดนี้อวิชชาเหล่านั้นได้สูญสลายไปสิ้นแดนเหนือแล้ว หวังเพียงวันหน้าจักไม่มีผู้ใดปลุกกลับขึ้นมาอีก แต่หากจะว่าไปนั้น ชวาลาทรงเป็นผู้มีบุญญาธิการ พลังมารนั้นแทบจะทำอันใดพระนางมิได้เสียด้วยซ้ำ…ลืมไป ข้ามิควรกรีดแผลด้วยการเอ่ยถึงพระนางอีก”

“กรีดแผลอันใดเล่า วาน้อยมิใช่แผล แต่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตวิญญาณข้าต่างหาก”

“พระสมณะกล่าวเช่นนี้จะดีหรือ” ครั้นอีกฝ่ายเงียบไป รัตตกรจึงหัวเราะเบาๆ “กระนั้นก็ดีแล้วที่ครานี้ท่านสื่อจิตต่อข้าด้วยญาณแห่งบรรพชิต มิใช่ด้วยจิตของผู้ที่พยายามปลิดชีพตนเองอย่างครานั้น อันการเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรนี้ข้าก็ขอร่วมอนุโมทนาด้วย เป็นอันว่าท่านหมดสิ้นพันธะทั้งปวงในลวปุระแล้วฤๅ”

“บัดนี้โอรสเจริญชันษามากเพียงพอแล้ว ข้าก็หมดหน้าที่เสียที” น้ำเสียงราบเรียบราวพูดถึงดินฟ้าอากาศทั่วไป “ผู้ใดใคร่แข่งขันกันต่อก็สุดแล้วแต่เขาเถิด”

“ไม่อาลัยพวกเขาบ้างหรือ ทั้งลูกทั้งเมีย อย่างน้อยก็อยู่กินกันมาตั้งนาน” รัตตกรสงสัย

“ถามเช่นนี้กับสมณะได้อย่างไร” กัษษกรย้อนกลับด้วยน้ำเสียงปรานี “แต่ก็ใช่ว่ามิผูกพันเสียเลย”

“ในบรรดาชายาทั้งสาม ท่านโปรดปรานนางใดที่สุด พระนางทิพกฤตาหรือไม่เล่า พระนางทรงสิริโฉมและฉลาดเฉลียวที่สุดในบรรดาเจ้าหญิงวงศ์เวหะทั้งหมดนี่”

“เขนน้อยกำลังประชดข้าอยู่หรือกระไร” กัษษกรหัวเราะเบาๆ “ทิพกฤตาคือผู้ที่เล่นงานข้าได้เจ็บแสบที่สุดต่างหาก”

“ทั้งที่นางมีพระโอรสถวายน่ะหรือเจ้าข้า…”

“โอรสแล้วอย่างไร โอรสก็มีประโยชน์ให้ฝ่ายอู่ทองของนางเท่านั้น เมื่อแน่ใจว่าเทพทัตได้เป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์แน่แท้แล้ว นางก็วางท่าเหิมเกริมทั่วราชสำนัก สั่งการข้ามหน้าข้าก็หลายหน คงเห็นว่าฐานอำนาจแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิม มีอำนาจต่อรองสูงเพราะเป็นพระราชมารดาของรัชทายาท ไม่เกรงกลัวข้าอีกต่อไป แม้แต่เทพทัตนางก็เลี้ยงให้เป็นเด็กจองหอง คอยแต่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น ทั้งยังเสี้ยมสอนให้เข้าข้างแม่ ดูแคลนพ่อ” รับสั่งแล้วก็นึกสะท้อนสะท้านใจ “นางถึงกับเยาะเย้ยข้าโดยมิคิดปิดบังด้วยซ้ำ ว่าจงใจกระทำทุกอย่างนี้เพื่อแก้แค้นที่ข้าเคยปฏิเสธความรักจากนาง ก้มลงกอดขาอ้อนวอนเท่าไร ข้าก็ยืนกรานจะเลือกชวาลาเป็นมเหสี แม้ตอนต้องเลือกอัครเทวีจากวงศ์เวหะข้าก็ยังเลือกบุณฑรา เพลานี้ที่นางได้ทุกอย่างที่ต้องการจากข้าแล้ว ก็ถึงเวลาให้ข้าได้ลิ้มรสความอัปยศดูบ้าง”

“อันความพยาบาทมาดร้ายของสตรีช่างน่ากลัวนัก”

“หากจักมีนางใดในบรรดาชายาวงศ์เวหะที่พอทำเนา ก็คงเป็นวิมุทรานั้นแล เพราะหากจะว่าไป นางเป็นคนหัวอ่อน นุ่มนวล และเอาใจใส่ข้าเสมอต้นเสมอปลาย พอให้คลายความอ้างว้างไปได้บ้าง แต่จะเรียกว่ารักก็คงไม่เต็มปาก เพราะนางก็มีส่วนก่ออุบัติภัยให้ข้าต้องพลัดพรากจากชวาลาชั่วชีวิต”

“มิใช่เพราะนางมีโอรส-ธิดาแฝดให้เจ้าพี่หรอกหรือ”

ดวงเนตรกัษษกรอ่อนแสงลง “เพราะนางเลี้ยงลูกให้ใกล้ชิดกับข้าต่างหาก…แลลูกแฝดทั้งสองก็รักข้า…ทั้งวิศรมและวิศรมาเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ยิ่งได้พระอาจารย์สุกกทันตะสั่งสอนก็ยิ่งฉายแววฉลาดเฉลียวขึ้นเรื่อยๆ ยามนั้นหากมีสิ่งใดพอเยียวยาข้าได้ก็เห็นจะเป็นลูกแฝดทั้งสองนั้นแล”

“น่าเสียดายที่เจ้าชายวิศรมมิได้เป็นรัชทายาท เพียงเพราะเกิดช้ากว่าเจ้าชายเทพทัต”

“ตอนนั้นเทพทัตได้เข้าพิธีอุปภิเษกขึ้นเป็นอุปราช ถือเป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์ละโว้โดยชอบธรรม ฝ่ายอู่ทองจึงยิ่งเรืองอำนาจ อุกอาจเหิมเกริมขึ้นทุกวัน เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าโอรสฝ่ายตนจักขึ้นเป็นกษัตริย์ละโว้ในภายหน้า แต่ผู้ใดจะนึกได้…ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แม้แต่เรื่องที่คิดว่าไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ก็ได้เกิดกับรัชทายาทลวปุระ”

“อา…เจ้าชายเทพทัตถูกลอบปลงพระชนม์น่ะเอง” ดวงจิตรัตตกรเห็นภาพตาม “เช่นนี้บัลลังก์ก็จักตกลงที่เจ้าชายวิศรม ผู้ต้องสงสัยที่สุดย่อมเป็นฝ่ายศรีเทพ”

“ใช่…ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อเช่นนั้น แม้แต่ข้ายังอดคลางแคลงใจมิได้”

“คลางแคลงในตัวพระโอรสหรือ”

“ไม่…วิมุทราต่างหาก แม้นางจะอ่อนหวานนุ่มนวลเพียงใด แต่นางก็เคยสบคบคิดฆ่าชวาลามาก่อน เรื่องลอบสังหารเทพทัตนั้นถึงวิมุทราไม่ทำเอง พรรคพวกศรีเทพฝ่ายนางก็คงลงมือ ยามนั้นราชสำนักแทบลุกเป็นไฟ ฝั่งศรีเทพกับอู่ทองแทบจะฆ่ากันตายเชียวละ อู่ทองกล่าวหาว่าศรีเทพกำจัดเจ้าชายเทพทัตเพื่อให้วิศรมได้ครองบัลลังก์แทน” กัษษกรถอนใจ

“ส่วนวิศรมนั้นมิใช่ผู้ที่จะเข่นฆ่าใครได้หรือทำเรื่องชั่วร้ายได้ลงคอ” แววเนตรยามกล่าวถึงโอรสแฝดอ่อนแสงลง “วิศรมนั้นฝักใฝ่ในธรรม ยามว่างก็มักติดตามข้าไปวัดวาอารามเสมอ เขามิใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง”

“เช่นนั้นฝั่งแม่ก็เป็นคนทำกระมัง”

“มิใช่” พระเชษฐาส่ายหน้า “สุดท้ายคือฝ่ายจันเสนที่ไม่มีพระโอรสต่างหาก พระนางพันธิสาคอยบงการอยู่เบื้องหลังโดยอาศัยอำนาจบุณฑราเทวีเพื่อสร้างรอยร้าวให้ศรีเทพและอู่ทองแตกกัน เดิมทีสองฝั่งนี้เขาก็เป็นพรรคเป็นพวกกันมากกว่าจันเสนอยู่แล้ว ทิพกฤตากับวิมุทราก็เคยสนิทสนมรักใคร่กันดี”

“สตรีช่างร้ายกาจ” รัตตกรยังยืนยัน “เช่นนั้นฝ่ายจันเสนก็คงคิดกำจัดเจ้าชายวิศรมภายหลังอยู่ดี”

“ข้าจึงจำเป็นต้องปลดบุณฑราเทวีลงเสีย ให้วิมุทราขึ้นเป็นอัครเทวีแทน”

“ข้าเริ่มเข้าใจเจ้าพี่แล้วว่าเหตุใดจึงทรงเหนื่อยหน่ายกับการเมืองในราชสำนัก” อนุชาเห็นใจ

“แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็คงต้องจัดการเรื่องในราชสำนักให้มั่นคงเสียก่อน และรอเจ้าชายวิศรมเจริญชันษาเพียงพอจะปกครองลวปุระได้อย่างราบรื่นถึงสละราชสมบัติและออกผนวชใช่หรือไม่”

“อืม…” กัษษกรแย้มยิ้มเบาบาง “เห็นหรือไม่ว่าชีวิตข้ามิได้น่าริษยาสักนิด”

“ข้าไม่ติดใจเรื่องนั้นแล้ว ก็ข้ามีไอ้รัญชน์มันใช้ชีวิตแทนให้อย่างที่เจ้าพี่ฝากฝังมันแล้วอย่างไร”

กัษษกรชะงักแล้วก็กลับเงียบไปยาวนาน

“อา…ดูทีเหตุผลที่เจ้าพี่ออกผนวชคงมิใช่แค่เพราะวางใจเรื่องกษัตริย์วิศรมอย่างเดียวเสียแล้ว”

“ถ้ารู้ดีเช่นนี้มิพูดแทนเสียเลยเล่า”

ถึงครารัตตกรเป็นฝ่ายชะงักเสียเอง “ข้ามิได้รู้ดีไปกว่าว่าชวาลาประสบสุขหรอก…หากเท่านั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ”

“แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนกายสังขารดับสูญ เจ้าก็ยังรักวาน้อยอยู่น่ะหรือ”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ คนถามก็ถอนใจก่อนยอมรับ “พระอาจารย์กลับจากปากน้ำวังครานี้ ได้รับข่าวแจ้งจากทางหนขุนน้ำ…หริภุญไชย ชวาลาเทวี นางพญาเมืองปกครองอาณาจักรได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข” เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงจอมนารียอดดวงใจ “ทรงเอาชนะชนเผ่าต่างๆ โดยเฉพาะพวกลัวะใหญ่อย่างระมิงค์ได้อย่างสมพระเกียรติ แลมีเมืองเล็กเมืองน้อยเข้าร่วมสวามิภักดิ์แก่หริภุญไชยอีกจำนวนมาก ทรงนำพานครใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างน่าอัศจรรย์…” รัตตกรตั้งใจฟังและก็พลอยยิ้มตาม

“โอรสของข้า…เจ้ามหันตยศ เจ้าอนันตยศก็เติบใหญ่อย่างงดงามกล้าหาญ มิช้าก็จักได้ครองราชย์สืบต่อไปอย่างภาคภูมิ…พวกเขารักรัญชน์เสมือนบิดา รัญชน์เป็นคนเลี้ยงดูพวกเขา แลยังคอยอยู่เคียงข้างช่วยเหลือวาน้อยด้วยความภักดีเสมอมา และ…ยังมิได้เปลี่ยนแปรเป็นอื่น”

“เจ้าพี่เขนหลวงมิได้ดีพระทัยหรอกหรือที่อ้ายรัญชน์มิได้ยุ่งกับเมียเจ้าพี่ เอ้อ…ชวาลา”

“เรื่องนั้นหาสำคัญไม่…ด้วยเกินวิสัยที่ข้าจักควบคุมได้ ข้าก็เหมือนเจ้าน่ะเขนน้อย เพียงได้ทราบว่าวาน้อยและลูกอยู่ดีมีสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดเป็นห่วงกังวลอีกต่อไป…มิช้าคนก็จักลืมเลือนเจ้าชายกัษษกร อุปราชรามราช และพระเจ้าจันทรโชติวิชัยไปในที่สุด”

“เหลือเพียงพระภิกษุผู้เคร่งครัดสมถะแห่งเมืองรามเท่านั้น”

“ข้าจักได้พบเจ้าอีกเมื่อไรหนอเขนน้อย”

“เมื่อถึงกาลอันเหมาะสมนั้นแล” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าพี่กลับลงไปเถิด ข้าเองก็ต้องไปบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกัน ถึงเวลาที่พวกเราต้องปิดวาจาเสียแล้ว”

 

หลังสิ้นศึกเมืองระมิงค์ นครหริภุญไชยก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง พระนางจามเทวีทรงปกครองแลทำนุบำรุงบ้านเมืองอย่างสันติสุข ขยายขอบเขตราชอาณาจักรออกไปอีกกว้างขวาง ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ล้วนกินอิ่มนอนหลับ มีแต่ความสุขความเจริญ ในราชสำนักเจ้านาย ขุนนางแลข้าราชบริพารก็ล้วนปรองดองสามัคคีกันด้วยดี แม้แต่ธิดาทั้งสองของขุนวิลังคะก็ยังได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนด้วยความเมตตาเสมือนคนลำพูน สมเกียรติศักดิ์ศรีพระคู่หมั้นของเจ้าราชบุตรทั้งสอง

เวลานั้นทั้งเจ้ามหันตยศและเจ้าอนันตยศเจริญชันษาเข้ารุ่นหนุ่มแล้ว ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาแห่งนักปกครองครบถ้วนตามกระบวนขัตติยราช พร้อมที่จะขึ้นเถลิงบัลลังก์ในไม่ช้า แต่แม้ประชาชนจะรักใคร่ชื่นชมเจ้าแฝดทั้งสองเพียงไร ก็ยังมิวางใจเท่ายังอยู่ใต้ปกครองของจอมนางจามเทวี พระนางจึงรอเวลาที่เหมาะสมให้โอรสทั้งสองได้สั่งสมบารมีและมีผลงานให้ชาวประชาประจักษ์เสียก่อน

กระนั้นก็มีเรื่องที่ต้องทรงคำนึงถึง ด้วยมีพระโอรสเพียงหนึ่งพระองค์ที่จักขึ้นเป็นกษัตริย์หริภุญไชย แลตามธรรมเนียมประเพณีตำแหน่งนั้นย่อมสืบลงที่พระเชษฐา แต่พระนางถือว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด ควรมีสิทธิ์เท่าเทียมในการสืบบัลลังก์ มิเช่นนั้นเจ้าอนันตยศอาจน้อยเนื้อต่ำใจได้

“เราไม่อยากให้พี่น้องผิดใจกัน ดังเรื่องของเจ้าพี่เขนหลวงกับเจ้าเขนน้อยอย่างที่ท่านเล่า”

พระนางปรึกษาขุนเจ้ารัญชน์ที่ยังคงเป็นคู่คิดที่ดีของพระนางเสมอต้นเสมอปลาย

“เราจะไม่ทำให้ลูกรู้สึกอยุติธรรมโดยเฉพาะต่อสิ่งที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะเราได้เห็นแล้วว่าสิ่งนั้นก่อบาดแผลฉกรรจ์ในใจสาหัสเพียงใด”

“ให้ผลงานเป็นเครื่องตัดสินดีไหมเจ้าข้า แต่ต้องแจ้งเจ้าวรทั้งสองให้ทราบด้วย พวกเขาจะได้ตระหนักว่าตนมีสิทธิ์เท่าๆ กัน”

“น่าสนใจ เราชอบความคิดอ่านของคนในโลกอนาคต”

“ถ้าจักให้ยุติธรรมและป้องกันการทุจริตกลั่นแกล้ง ข้าพระองค์ว่าไม่ควรให้แข่งขันหรือกำหนดราชภารกิจใดเฉพาะเจาะจง แต่ให้ดูภาพรวมในราชกิจทั้งหมดว่าเจ้าวรทั้งสองปฏิบัติอย่างไรบ้างจึงจะวัดความสามารถ อุปนิสัยในการบริหารบ้านเมือง การตัดสินใจ และสติปัญญาเจ้าข้า”

จามเทวีแย้มสรวลกว้าง “เราเห็นด้วย เท่านี้เราผู้เป็นแม่ก็จักมิต้องลำบากใจเมื่อต้องยกบัลลังก์ให้ลูกคนใดคนหนึ่งแล้ว” ครั้นแล้วก็ทรงเงียบไปแล้วก็กลับรำพึง “เจ้าเขนน้อยคงเหงามาก”

แต่ถ้อยรับสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ยของพระนางมักมีความหมายเสมอ

“ถ้าเขามีชีวิตที่ต้องซ่อนเร้น ไร้ญาติขาดมิตร อยู่ตัวคนเดียวตลอดมาจนวาระสุดท้าย ก็คงจะอ้างว้างเดียวดายอย่างยิ่ง เราสงสารเขา…” จากนั้นทรงตั้งจิตถึงเจ้าชายรัตตกร

หากท่านคือชายที่เคยอาศัยกินอาหารเทวาลัยจากข้าแล้วอิ่มท้อง หากท่านคือคนที่ตามเฝ้ามองข้ากับเจ้าพี่เขนมาตลอด ข้าขอให้ท่านรับรู้ว่าข้ามีแต่ความปรารถนาดีให้ท่าน แม้ว่าเราจักมิเคยรู้จักกันก็ตาม

หากท่านเป็นผู้วางแผนยุยงให้เกิดสงครามกับนครรัฐไตมาว อันเป็นเหตุให้ชีวิตข้าพลิกผันเพียงนี้ ท่านก็ได้รับผลแห่งกรรมของท่านแล้ว ข้าจึ่งขออโหสิกรรมทั้งปวงแก่ท่าน จงเลิกแล้วต่อกัน อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมใดต่อกันอีก

ข้าจักสวดมนต์ภาวนา บำเพ็ญบุญสร้างกุศลอุทิศให้ท่านได้มีแสงทองแห่งธรรมนำทางไปสู่ความสว่างแห่งการหลุดพ้น

“ขุนเจ้ายังสื่อจิตกับเจ้าเขนน้อยอีกหรือไม่ เขาเป็นเช่นไรบ้าง”

“ได้เพียงนานๆ ครั้งเจ้าข้า เจ้าเขนน้อยคาดว่าคงเพราะอำนาจเจ้าป่าเจ้าเขาในแดนเหนือพิทักษ์ไว้” รัญชน์มองพระนางเจ้าแล้วอมยิ้ม ชวาลาเทวียังคงเป็นสตรีน้ำพระทัยงามที่มักนึกถึงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ ยังมีหทัยเผื่อแผ่ไปสู่อนุชาฝาแฝดผู้ล่วงลับของภัสดาทั้งที่มิเคยรู้จักมาก่อน

“แลข้าก็เข้าใจว่าเจ้าเขนน้อยนั้นแลที่ช่วยบรรเทาพลังมารจากนักพรตมืดมิให้กระทบกับแม่เจ้า”

“เขาบอกขุนเจ้าเช่นนั้นหรือ”

“เปล่าเจ้าข้า ข้าเพียง ‘รู้สึก’ เท่านั้น”

“ขุนเจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าท่านเป็นเขาในอดีตกาล”

“สงสัยจนเลิกสงสัยแล้วเจ้าข้า” เขาหัวเราะ “ข้าคงเคยเกิดเป็นเจ้าชายกัษษกรหรือเจ้าชายรัตตกร หรือมิได้เป็นใครเลยก็ได้นอกจากคนหน้าเหมือนที่ถูกกงล้อโชคชะตาเล่นตลกเท่านั้น”

“นั่นสิหนอ ท่านอาจเคยเป็นเจ้าพี่เขนจริงๆ ก็ได้” พระนางยกหัตถ์ขึ้นเท้าคางพลางเอียงศอ พระเนตรคมกลมหวานที่ทอดมองเขาวิบวับ “แต่เป็นขุนเจ้ารัญชน์ก็ดีแล้ว”

คนฟังกลับใจเต้นขึ้นมา “แม่เจ้ายังมิเคยบอกข้าเลยว่าทรงทราบเรื่องด้วยเหตุใด”

“เราเป็นลูกศิษย์วาสุเทพฤๅษี ฤทธีใดๆ เราก็มีพร้อม เพียงแต่จะนำออกมาใช้หรือไม่เท่านั้น”

“หึ…” รัญชน์หรี่ตา “พระฤๅษีบอกแม่เจ้ากระมัง โธ่ ทำเป็นพูดเสียดิบดีว่าจะให้ข้าเปิดเผยเอง”

“อย่าโทษพระอาจารย์เราเชียว” พระเนตรวาววับอย่างเอาเรื่อง “พระอาจารย์มิใช่คนปากสว่าง เรารู้ของเราเองนั้นแล…ขุนเจ้าคิดหรือว่าเราจะไม่เคยสงสัยน่ะ ต่อให้ครานั้นเรายังไม่ทราบพื้นเพภูมิหลังของเจ้าชายรัตตกรก็ตาม เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็ถามเรื่องใดเกี่ยวกับไชยาหรือศรีวิชัยท่านก็ไม่รู้สักเรื่อง ครั้นเอ่ยถึงพระเจ้าหริมิตรและพระมารดา ท่านก็มักเลี่ยงไม่เอ่ยถึง ยิ่งเมื่อปรารภเรื่องการเมืองของชาวแคว้นทะเลใต้ หน้าตาท่านยิ่งออกพิรุธ…เหมือนเจ้าพี่เขนไม่มีผิด”

“เจ้าเขนน้อยได้รับการศึกษาอย่างเจ้าชายถึงอายุเจ็ดขวบเอง จะให้รู้การเมืองกับเรื่องราชอาณาจักรได้อย่างไร” เขาอดท้วงไม่ได้ แต่แล้วก็หัวเราะ “เจ้าเขนน้อยไม่เคยสั่งสอนเรื่องพวกนี้กับข้านี่นะ แล้วข้าก็ไม่เคยคิดจะลวงหลอกแม่เจ้าด้วย เพียงแค่…”

“เพียงแค่ไม่พูด” พระนางต่อให้อย่างรู้ทัน “เราก็เพียงแค่สงสัย พอขุนก๊ะมาจุดประกาย ก็เลยค้นหาคำตอบด้วยตนเอง…เราบอกท่านแล้ว เรารู้มายาศาสตร์มากมายกว่าที่ท่านคิด”

“แม่เจ้าก็ยังไม่บอกอยู่ดีว่าทราบได้อย่างไร” เขาถอนใจ ทำใจแล้วว่าพระนางคงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปตลอดกาล “เช่นนั้นข้าก็จะไม่บอกว่าอนาคตข้างหน้าต่อไปบ้านเมืองเราจะเป็นเช่นไร”

“เรามิต้องทราบก็ได้…รู้ล่วงหน้าไปก็กังวลใจเสียเปล่า มิต่างอันใดกับการอ่านคำพยากรณ์ทั้งหลาย ที่พอทราบแล้วก็อดยึดถือเชื่อมั่นไม่ได้ จนทำให้ปัจจุบันขณะไร้ความหมาย”

ชายหนุ่มมองนางพญาลำพูนด้วยสายตาทึ่งและเทิดทูน พระนางทำให้เขาอัศจรรย์ใจได้เสมอ

“เราอยากฟังเรื่องของท่านในโลกอนาคตมากกว่า” ชวาลาเอียงศอ แย้มสรวลหวานซึ่งมักทำให้เขาใจอ่อนร่ำไป “ชีวิตท่านมีสตรีมากมายเหลือเกิน ท่านไปทำอะไรเข้า ถึงไม่มีนางใดอยู่กับท่านได้เลย ดูท่านก็รูปงาม ฟังแล้วก็มีหลักมีฐานมั่นคง มิได้กดขี่ข่มเหงพวกนางหรือสำมะเลเทเมา”

“ข้าคง…ไม่เคยฟังใครมั้ง” เขาได้คำตอบขึ้นมาขณะนั้น “ต่อให้เป็นคนดี มีหน้าที่การงานดี ไม่เจ้าชู้ ไม่เอาเปรียบ แต่ข้ามีอัตตาสูง ใครอยู่ด้วยก็อึดอัด”

“อัตตาสูง? ยึดมั่นว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกหรือดีกว่าผู้อื่นน่ะหรือ”

“ใช่เจ้าข้า…” เขามองพระนางที่พยักพักตร์หงึกๆ อย่างเอื้อเอ็นดู ยามนี้พระนางช่างเหมือนเด็กน้อยที่กำลังฟังผู้ใหญ่เล่านิทาน “โลกสมัยนั้นผู้หญิงมิต้องให้ผู้ชายเลี้ยงดูแล้ว ทำมาหากินเองได้ เลยไม่ต้องอดทนอยู่ใต้อาณัติคำสั่งบุรุษ เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกควบคุมหรือกระทั่งเพิกเฉยละเลย ผู้หญิงในยุคนั้นก็ไม่ค่อยทนแล้วเจ้าข้า”

“นางที่หน้าเหมือนเจ้าหยาดรุ่งก็ด้วยสินะ” พระนางมักรับสั่งพาดพิงถึงธิดาขุนวิลังคะ เพราะยังจดจำสายตาและอาการที่รัญชน์มองเจ้าหยาดรุ่งได้ไม่ลืม “และในเมื่อบัดนี้ขุนเจ้าทราบแล้วว่าตนทำผิดพลาดอันใดไป ท่านมิคิดอยากกลับไปแก้ไขหรือ…เหตุใดราตรีนั้น ท่านจึง…ไม่กลับไป”

“ข้าพระองค์ไม่ตอบได้หรือไม่เจ้าข้า” รัญชน์หันมายิ้มพราย “แม่เจ้าทรงทราบดีอยู่แล้ว หรือหากมิทราบ วันหนึ่งก็จักแจ้งแก่พระทัยเอง”

 

ข้างฝ่ายเจ้ามหันตยศกับเจ้าอนันตยศพอทราบเงื่อนไขในการขึ้นครองเวียงหริภุญไชยก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ผู้เป็นเชษฐาก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอ้างสิทธิ์ที่ตนเป็นพี่ขอกินบัลลังก์ แต่ยังเห็นชอบเพื่อให้โปร่งใสไม่เป็นที่ครหานินทาต่อไปเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ สองพี่น้องจึงรักใคร่ปรองดอง ตั้งใจศึกษาเรียนรู้ราชกิจบ้านเมืองด้วยกันโดยมิแก่งแย่งแข่งขัน

“เจ้าแม่ของเฮาสองช่างหลักแหลมยิ่งนัก วิธีนี้จักทำให้เฮาบ่ผิดใจกัน แลจักมิได้ชื่อว่าลำเอียงเข้าข้างลูกคนใดคนหนึ่ง หมู่เฮาโชคดีแต๊ที่มีจอมนางจามเทวีเป็นมารดา” เจ้าอนันตยศหรือเจ้าวรน้อยกล่าวรำพึงขณะทอดมองพระนางจามเทวีที่กำลังออกเสด็จตรวจบนกำแพงเมืองโดยมิหวั่นแสงอาทิตย์แผดจ้า

“แลเจ้าแม่ก็ทรงงานหนักเสียจนข้าละอายใจ ใคร่แบ่งเบาภาระได้บ้าง”

“เจ้าแม่สมควรได้พักผ่อนและ ‘เสวยสุข’ เสียที”

“เสวยสุข? วรใหญ่หมายความว่าจะใด ยามนี้เจ้าแม่บ่มีความสุขกา?”

“วรน้อยลองมองชัดๆ” เจ้ามหันตยศบุ้ยใบ้ไปทิศที่พระมารดาประทับอยู่ “เห็นอันใดก่อ?”

“รันรัน…” เจ้าอนันตยศเข้าใจทันที “รันรันฮักเจ้าแม่”

“เจ้าแม่ก็ฮักรันรัน” พระเชษฐากล่าว “เมื่อครั้งยังเยาว์ หมู่เฮาต่างบ่เข้าใจ เพราะรันรันเป็นข้ารับใช้แต่ดูแลห่วงใยเฮาดุจบิดา ห่วงหาอาทรเจ้าแม่อย่างลึกซึ้ง เสมือนเฮาทั้งสี่เป็นสายเลือดเดียวกัน ละอ่อนน้อยจึงนึกว่าข้ารับใช้ย่อมต้องมีหัวใจเช่นนี้ แต่มาบัดนี้ที่หมู่เฮาบ่ได้อ่อนเดียงสาอีกแล้ว ย่อมมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งว่าแต๊แล้วสิ่งที่ได้สัมผัสจากเขาคือสิ่งใด”

“ความฮัก…เขาฮักเจ้าแม่และฮักเฮาสองคน” อนุชาแฝดดื่มด่ำไปกับความจริงข้อนี้

“แล้ววรใหญ่คิดจะใด จักให้รันรันอภิเษกกับเจ้าแม่กา? ให้พ้นการเลือกราชันหริภุญไชยไปก่อนเถิด มิเช่นนั้นมิเพียงจักได้บิดาใหม่ เจ้าจักได้กษัตริย์ใหม่ด้วย”

เจ้ามหันตยศหัวเราะ “อย่าเพิ่งคิดไปถึงขั้นนั้นเลย เฮาต้องพิสูจน์น้ำใจรันรันเสียก่อนว่าจักเป็นคู่ครองที่คู่ควรกับเจ้าแม่หรือไม่”

“ที่ผ่านมายังบ่ชัดแจ้งกา? วรใหญ่บ่เคยดูถูกว่ารันรันเป็นข้ารับใช้นี่นะ”

“บ่ใช่ เฮาจักลองใจเขาเรื่องแม่ญิงต่างหาก”



Don`t copy text!