ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 36 : สิ้นแสงชวาลา ดาริกาพร่างพราว

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 36 : สิ้นแสงชวาลา ดาริกาพร่างพราว

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

พระนางจามเทวีประทับในนครอาลัมพางค์ร่วมกับพระสวามีอีกหกปีก็พระราชทานอาลัมพางค์คืนให้พระเจ้าอนันตยศ แลรวมสองนครเข้าด้วยกัน บ้างก็เรียกว่าเขลางค์อันเพี้ยนมาจากเขนหลวง บ้างก็เรียกเหลือเพียงลัมพางค์ จากนั้นก็กลับไปประทับในนครหริภุญไชย แม้มีรับสั่งว่าจะวางหัตถ์จากราชกิจการปกครองทั้งปวงโดยสิ้นเชิง หากเนื้อแท้ที่ชอบทรงงาน ใส่ใจทำนุบำรุงทุกข์สุขราษฎรอยู่เสมอ กอปรกับทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพศรัทธาในอาณาจักรแดนเหนืออย่างกว้างขวางมายาวนาน จึงทำให้ยังทรงมีบทบาทในราชการงานเมืองทั้งหริภุญไชยและเขลางค์ตลอดมา โดยมีภัสดาคอยเป็นคู่คิดที่ปรึกษาอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่มบุกเบิกสร้างพระนคร

ตราบกระทั่งพระนางมีพระชนม์ได้หกสิบชันษา เจ้ารัญชน์อายุเจ็ดสิบสี่ จึงทรงละจากการกำกับดูแลราชการแผ่นดินทั้งปวงเพื่อดูแลคุณท้าวเกษวดีและปทุมวดีที่เริ่มเจ็บป่วยแต่ปรารถนาจะสละเพศฆราวาสออกบวชในช่วงบั้นปลายชีวิต พระนางจึงโปรดฯ ให้สร้างวัดศิวการามที่เวียงหน้าด่านให้ทั้งสองคุณท้าวที่รับใช้ใกล้ชิดตั้งแต่ประสูติจนเข้าวัยชราได้รับความสะดวกสบายในการปฏิบัติธรรมนั้น

หลังจากเจ้ารัญชน์ได้จากไปอย่างสงบในวัยเจ็ดสิบแปด พระนางจามเทวีจึงตัดสินพระทัยสละเพศฆราวาสตามอย่างพระพี่เลี้ยง ทรงสวมฉลองพระองค์ขาวเสด็จไปประทับทรงศีลที่อารามจามเทวีอีกตลอดสามสิบปีที่เหลือในพระชนม์ชีพ

พระนางเสด็จสวรรคตเมื่อวันขึ้นแปดค่ำ เดือนแปด รวมพระชันษาได้เก้าสิบสี่ปี ท่ามกลางความตกตะลึงของไพร่ฟ้าทั่วแผ่นดินหริภุญไชยและเขลางค์นคร เพราะก่อนหน้าที่จะเสด็จสวรรคตนั้นไม่ทรงประชวรด้วยพระโรคใดๆ ทั้งสิ้น และได้สิ้นพระชนม์ไปขณะทรงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั้นเอง

 

“อ้ายรัญชน์…น้องมาแล้ว”

ภัสดาของพระนางยืนอยู่บนปุยเมฆขาว พราวพร่างไปด้วยดวงดาว ยิ้มกว้าง อ้าแขนรับด้วยความปราโมทย์ยินดี

“น้องได้ยินเพลงกวีของอ้ายทุกเมื่อเชื่อวัน ไพเราะแปลกหูยิ่งนัก”

“อ้ายอยู่บนนี้ คิดถึงน้องเลยร้องเพลงหา” เขากอดพาหาสตรียอดดวงใจ “ไม่เคยห่างน้องนานเพียงนี้มาก่อน…เหงานัก แต่อ้ายก็เต็มใจ เพราะเราสัญญาว่าจะมาพบกันอีกครั้งในแดนสวรรค์”

“ดินแดนนี้คือสวรรค์น่ะหรือ” พระนางทอดพระเนตรผืนฟ้าเวิ้งว้างกว้างไกล แสงดาวระยิบระยับเจิดจ้า “เงียบเหงา หากก็งดงาม ถึงได้รจนาเพลงกวีออกมาได้จับใจเช่นนี้ ร้องให้ฟังอีกหนได้หรือไม่”

นั่งมองดูดวงดาว ช่างสวยงาม

ส่องแสงประกายเต็มฟ้า เวลาค่ำคืน

อยากให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

อยากให้เธอมองมาที่ฉัน…คนเดียว

นั่งมองไปเพลินๆ เริ่มง่วงนอน

ดาวก็ยังอยู่เต็มฟ้า เวลาหมุนไป

ก็แค่เพียงดวงดาวก็เท่านั้น

ก็มันเป็นเพียงแค่แสงดาว

ต่อให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

แต่ว่าฉันยังเหงา ก็เท่านั้น…เท่านั้นเอง

ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ยังคงเป็นแค่แสงดาว

ต่อให้ดวงดาวทั้งหมดฟ้า มาส่องแสงให้กับฉันผู้เดียว

แต่ว่าฉันยังเหงาก็เท่านั้น…เท่านั้นเอง

“อ้ายมิได้แต่งเองหรอก…เป็นเพลงในโลกอนาคตข้างหน้า อ้ายเคยร้องในใจคราหนึ่งเมื่อครั้งล่องเรือจากละโว้มาแดนเหนือ เห็นน้องกำลังชมดาวมองภูเขาแล้วคิดถึงองค์กัษษกร”

“มิน่า ถ้อยภาษาแปลกหูนัก ความหมายก็ช่างเรียบง่าย ตรงตัว หากก็ลึกซึ้งยิ่งนัก”

“แต่บัดนี้อ้ายมีน้อง…ไม่เหงาอีกแล้ว น้องพร้อมจะไปกันหรือยัง”

“ไปที่ใดเพคะ”

“น้องอยากไปที่ใด…ไปเป็นเทวดาเมือง คอยพิทักษ์ดูแลลูกหลานในแว่นแคว้นแดนหริภุญไชยสืบไป หรือจักไปในแดนสุขาวดี…อ้อ สุขาวดีไม่ปรากฏในความเชื่อพุทธยุคนั้น” รัญชน์หัวเราะแห้งๆ “หรือจะไปเกิดใหม่ในโลกข้างหน้า หรือท่องดาราดวงอื่น”

“เราเลือกได้ด้วยหรือเพคะ” พระนางสรวลบ้าง “น้องอยากไปรับเจ้าเขนน้อย บัดนี้ถึงเวลาของเขาแล้ว”

“แล้วจะกลายเป็นเราสองสามคนน่ะหรือ”

“สองสามคนอันใดของอ้ายกัน” ชวาลาส่ายพักตร์ระอาหากก็เอื้อเอ็นดู “เจ้าเขนน้อยมีหนทางของเขาเองต่างหากเพคะ จากนั้น” พระนางกระชับหัตถ์สวามีแนบแน่น “ก็สุดแล้วแต่กุศลบุญที่พวกเราทำร่วมกันมาจักนำพาเราไปเพคะ”

“อ้ายรักน้อง…ชวาลา”

“น้องก็รักอ้ายรัญชน์เพคะ”

 



Don`t copy text!