ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เจ้านายฝ่ายในในราชสำนักละโว้แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร ต่างแก่งแย่งครองพื้นที่และอำนาจความเป็นใหญ่ในการปกครองเหล่าสตรี ด้วยทราบดีว่าบรรดานารีผู้ไม่มีปากไม่มีเสียงนั้นแลที่คอยโน้มน้าวชักใยอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสำคัญของบุรุษทั้งราชันแลขุนนาง หรือเป็นกระบอกเสียงชั้นเลิศที่จะสร้างความเชื่อผ่านเรื่องเล่าให้คนหมู่มากคล้อยตามได้ ดังนั้นหากปกครองสตรีฝ่ายในได้ก็ย่อมหมายถึงอำนาจในการชักจูงมวลชนให้เข้าเป็นพรรคพวก สร้างฐานอำนาจเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ในราชสำนักละโว้ได้

ถึงกระนั้น เชื้อสายวงศ์เวหะก็กลับไม่เคยมีฝั่งใดขึ้นเป็นใหญ่ปกครองฝ่ายในได้แท้จริง มิใช่ด้วยเกรงพระราชอำนาจของราชเทวีมัณฑนา เพราะพระนางมิสามารถถวายโอรสธิดาให้ราชบัลลังก์ได้ พระฐานะจึงมิสู้จะมั่นคงแข็งแรงนัก หากเป็นเพราะทุกฝ่ายต่างรู้เท่าทันกันมากเกินไป กอปรกับมี ‘คนนอก’ จากรัฐทางทะเลใต้อย่างรักตมปุระเข้าลงสนามด้วย จึงทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นอีกนานัปการ ชาวรักตมปุระมาพร้อมกับความเฉียบขาด แหลมคม และกองกำลังอันแข็งแกร่ง มิรวมสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นและผลประโยชน์มหาศาลที่สองนครเกื้อกูลกันมาตลอด…

ทั้งยังตัดหน้าคว้าอุปราชรามราชไปอีก เท่ากับปล้นสิทธิ์อันชอบธรรมของราชบัลลังก์ทวารวดีไปต่อหน้าต่อตา

ชาวทะเลใต้ที่บรรดาเชื้อพระวงศ์เวหะเรียกเหมารวมอย่างดูแคลนว่าแขกจามจึงเป็นหนามยอกอกชิ้นเขื่องที่พวกเขาปรารถนาจักห้ำหั่นให้แหลกลาญ ครานี้เมื่อสบโอกาสที่รอคอย ทุกฝ่ายที่แตกแยกจึงหันมาร่วมมือร่วมใจกันเพื่อมิให้พลาดโอกาสทองในการกำจัดเจ้าหญิงแขกจามที่เป็นคนนอก

อารามร้างท้ายอุทยานตำหนักเจ้าหญิงชาวคูบัวที่สิ้นพระชนม์ไปหลายปีโดยไม่มีทายาท จึงเป็นที่นัดประชุมหารืออย่างลับๆ ของเจ้านายฝ่ายจันเสน ศรีเทพ และอู่ทองอย่างเหมาะเจาะ

“ชวาลานั้นริจะนำกองทัพสู้ศึกด้วยองค์เอง ช่างมิเจียมตนว่าเป็นสตรี” พระนางพันธิสาเหยียดโอษฐ์เยาะ “อวดดีไม่มีผู้ใดเกินละ”

“แต่จะทำอย่างไรดีเพคะ เรื่องชักบานปลายเลยเถิดไปมาก หากชวาลายอมรับไมตรีไปเป็นชายาเจ้าฟ้าไตมาวอย่างที่เราตั้งใจกันไว้แต่แรกก็คงจบเรื่องได้ง่าย กำจัดนางออกไปพ้นทางได้สะดวกโดยที่ใครจักมาครหากล่าวโทษพวกเรามิได้เลยเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย…แต่นี่กระไร…สงคราม…สงครามเชียวนะเพคะ” เจ้าหญิงวิมุทราห่ออังสาหวาดหวั่น “เราจักเอาไพร่พลของเราไปตายเปล่าได้ลงคอเชียวหรือ”

“ท่านอำมาตย์ก็ค้านเช่นนั้น” พระนางทวีติยาแห่งอู่ทองตรัสพลางทอดถอนพระทัย “แต่มฤติกาก็เอาแต่กริ้วโกรธาว่าหากยอมทำตามคำขอไตมาวเช่นนั้นก็เท่ากับละโว้ขายศักดิ์ศรี ขี้ขลาด ยอมให้คนพวกนั้นหมิ่นเอาอย่างไรก็ได้ ชวาลาเองก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะรับผิดชอบด้วยการลงสนามรบเอง”

ทวีติยามิได้อยู่ร่วมที่ประชุมครานั้น แต่ได้เสนาอำมาตย์ฝั่งพระนางเป็นผู้ถ่ายทอดเหตุการณ์และถ้อยความในที่ประชุมให้ฟังอย่างละเอียด เขาเล่าว่าแม้จะถูกท้วงว่าพระนางเป็นสตรี ที่ไหนจักออกศึกเองได้ ก็กลับได้รับคำตอบเด็ดเดี่ยวว่า

‘หากว่าหม่อมฉันไม่ออกศึกเสียเองแล้ว ลวปุระอันเป็นนครใหญ่ก็จักเป็นที่ครหาต่อไปได้ อีกทั้งเหล่าประเทศราชจะต้องแข็งข้อเพราะเห็นละโว้อ่อนแอ ปัญหานานาจะบังเกิดตามมาอีกมากนัก และประการสำคัญนั้น กองทัพของไตมาวที่ยกมาครั้งนี้ก็เป็นทัพกษัตริย์ เจ้าชายแห่งลวปุระที่จะทำศึกก็หามีไม่ จึงสมควรที่เจ้าพ่อจะมีพระราชานุญาตให้หม่อมฉันออกกระทำศึก จักเป็นการเหมาะสมแก่พระเกียรติยศของบรรดากษัตริย์ที่ทรงนำทัพมาเพคะ’

‘รามราชเล่า มิใช่เจ้าชายแห่งละโว้หรอกหรือ’ พระราชเทวีทรงแย้งทันใด ‘เจ้าพูดราวกับเป็นนางพญาเมืองแต่เพียงผู้เดียวกระนั้น’

ถ้อยดำรัสเหน็บแนมฟังแปร่งหูมิน้อย แต่เมื่ออยู่ในน้ำเสียงอ่อนเบาจึงมิมีผู้ใดถือสา

‘หามิได้ เหตุเกิดด้วยหม่อมฉันเป็นที่ปรารถนาของเจ้าฟ้าสิทธิราช อย่างไรย่อมเป็นความรับผิดชอบของหม่อมฉัน แลหากเคราะห์ร้ายเกิดอันใดขึ้นกับหม่อมฉันแล้วไซร้ ละโว้จักได้มิสูญเสียรัชทายาทครองบัลลังก์อย่างไรเล่าเพคะ’

สดับดังนั้น มัณฑนาเทวีก็อับจนถ้อยรับสั่ง ที่ประชุมทั่วท้องพระโรงก็พลอยเงียบงัน

เมื่อระลึกถึงเรื่องเล่าจากขุนนาง เจ้าหญิงทวีติยาจึงปรารภขึ้นว่า

“ไม่ดีหรอกหรือ ปะเหมาะเคราะห์ดี ถูกสังหารในสนามรบ จบปัญหาไปโดยง่าย”

“มิต้องลงมือเองให้มือเปื้อนเลือด” เจ้าชายชนุดรรับสั่งบ้าง “คิดทำการใหญ่ จักมัวกลัวหัวหดอยู่ได้อย่างไร วิมุทรา”

“หรือหากพ่ายแพ้โดยมีพระชนม์รอดอยู่ ทางละโว้ก็เพียงแต่ยินยอมยกพระนางให้เป็นมเหสีเจ้าชายไตมาวตามแผนเดิมเท่านั้น ละโว้ก็จะรอดพ้นภัยพิบัตินี้ได้ ไตมาวก็จะยกทัพกลับไปเพราะทรงได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว” เจ้าหญิงบุณฑรารับสั่งบ้าง แลทำพระกรรณทวนลมเมื่อได้ยินเจ้าหญิงทิพกฤตาเปรยขึ้นว่าบุณฑรานั้นโง่เขลา คงอ่านการเมืองซับซ้อนเช่นนี้เองมิได้ มิแคล้วคงท่องจำจากพระมารดาพันธิสามาตอบเสียมากกว่า

“แล้วหากชวาลาได้ชัยชนะเล่า” เจ้าหญิงวิมุทรายังไม่สบายพระทัย

“ไม่มีทางเด็ดขาด” เจ้าชายวิรามรตรัสทันควัน “รี้พลร่วมแสน จะเอาอะไรไปสู้ได้ ชวาลาเองก็หาได้เคยรบทัพจับศึกไม่ มีแต่จะเอาตัวเองไปตายเสียมากกว่า”

“แล้วเจ้าพี่กัษษกร…เอ้อ เจ้าชายรามราชเล่าเพคะ ไม่มีทางที่เจ้าชายจะปล่อยพระชายานำทัพเองโดยมิทำอันใดได้หรอก อย่างไรก็ทรงต้องรักษาเกียรติละโว้และปกป้องชวาลา แล้วเรื่องรบทัพจับศึกของเจ้าชายนั้น ก็รู้กันดีอยู่ว่าเป็นอย่างไร” เจ้าหญิงทิพกฤตาตรัสอึกอัก “หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าชายรามราชแล้วละก็…”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย” เจ้าหญิงบุณฑราได้ทีกระหนาบบ้าง “คิดหรือว่าชวาลาจะปล่อยให้สวามีผู้อ่อนแอ แม้แต่พระแสงดาบมิรู้เคยจับหรือไม่ให้นำทัพออกศึกน่ะ อย่างไรเจ้าชายก็ทรงรอดปลอดภัยแน่”

“เจ้าต่างหากที่อย่าแสดงความเขลา…อย่างไรเจ้าชายก็ทรงเลี่ยงสงครามมิได้อยู่ดีต่างหาก”

ทิพกฤตาตวัดเนตรขุ่นใส่เจ้าหญิงฝ่ายจันเสน “มิรู้หรือไรว่าบัดนี้ทัพไตมาวส่วนหนึ่งได้ยกประชิดเมืองรามแล้ว เจ้าชายจะต้านทานไว้ได้นานเพียงใดก็สุดรู้ เช่นนี้จักว่าพระชนม์เจ้าชายมิได้แขวนอยู่บนเส้นด้ายอีกหรือ”

“อย่าเพิ่งกังวลกันไปก่อนเลย” เจ้าหญิงทวีติยาโบกพระหัตถ์ “ราชันมิทรงปล่อยรัชทายาทพระองค์เดียวให้ตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ คงกำลังเตรียมกองกำลังวางกลศึกกันอย่างขันแข็ง…พวกเรานั้นแล ต้องเตรียมตัวไว้เถิด อย่างไรสงครามก็ต้องเกิด” พระนางกวาดเนตรทั่วทุกพระองค์ “ชวาลาไม่มีทางได้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ ต่อให้เก่งกาจสารพัน รอบรู้สรรพศาสตร์มากมาย แต่ก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง หากเอาชนะกองทัพมหาศาลจากไตมาวได้ก็มิใช่คนแล้ว…จำไว้ว่า ไม่ว่าชวาลาจักมีพระชนม์รอดหรือไม่ อย่างไรเราก็บรรลุจุดหมายอยู่ดี”

บังเกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะ แต่ละพระองค์ต่างครุ่นคิดใคร่ครวญ คำนวณผลในพระทัย เมื่อสิ้นองค์หญิงชวาลาแล้ว จึงค่อยถึงเวลาที่แต่ละฝ่ายจักหันมาห้ำหั่นกันเองอีกครั้ง…



Don`t copy text!