ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

“ทัพที่ส่งไปโจมตีรามนครถูกตีแตกพ่าย ไม่เหลือรอดสักชีวิตพระเจ้าข้า”

สดับถ้อยกราบทูลจากหน่วยข่าวลาดตระเวนด้วยพระทัยหนักอึ้ง ทรงแยกมิออกนักระหว่างความพรั่นพรึง หรือพิโรธที่ทัพอันเกรียงไกรของพระองค์พ่ายแพ้แก่เมืองหน้าด่านเล็กๆ อย่างราบคาบ

“จอมทัพเป็นสตรีเลอลักษณ์ มิแคล้วจักเป็นดังคำลือว่าเจ้าหญิงชวาลาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยพระองค์เองพระเจ้าข้า”

เจ้าหญิงชวาลา…พระธิดายอดดวงใจแห่งกษัตริย์ลวปุระ พระชายาแห่งอุปราชเมืองรามที่พระองค์หมายมั่นจักแย่งชิงมาให้ได้ผู้นี้น่ะหรือคือผู้ที่ทำลายทัพหน้าของไตมาวได้หมดจด…ทรงประมาทเจ้าหญิงผู้นี้เกินไปเช่นนั้นฤๅ

คงเป็นเช่นคำร่ำลือที่พระองค์มิเคยใส่พระทัยเชื่อถือนัก ว่าพระนางทรงเป็นศิษย์วาสุเทพฤๅษีผู้เรืองฤทธิ์ แลคงจักมีวิชาอาคมหรือเชี่ยวชาญมายาศาสตร์มิน้อย มิเช่นนั้นไฉนเลยจักมาเป็นจอมทัพด้วยองค์เองได้ เพราะอันว่าสตรีนั้นไซร้ จักได้ร่ำเรียนศึกษาวิชายุทธการนั้นแทบเป็นไปมิได้ มิแคล้วต้องใช้เล่ห์มายา

ไม่ทันที่เจ้าฟ้าสิทธิราชจักดำริแผนการอย่างไรต่อ ม้าเร็วก็นำพระราชสาส์นจากเจ้าหญิงชวาลามาถวายเสียก่อน…

          ข้าแต่เจ้าฟ้าสิทธิราชแห่งอาณาจักรไตมาวโกชานปยีผู้เกรียงไกร สงครามครานี้เหตุเกิดด้วยกิจส่วนตัวระหว่างฝ่าบาทกับหม่อมฉัน มิควรต้องให้ชีวิตราษฎรทั้งหลายต้องมาล้มตายเกลื่อนกลาดอย่างน่าอนาถเลย จักเป็นที่ครหาไปทั่วแผ่นดินเสียเปล่า หม่อมฉันขอเชิญฝ่าบาทแต่งทหารมาสู้รบกันตัวต่อตัว ให้เป็นบุญตาแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์เถิด

ครั้นเมื่ออ่านจนครบถ้วน พระพักตร์กลับซีดเผือด…

เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พระองค์จักต้องสัประยุทธ์กับราชนารีที่ทรงหมายปอง ประหนึ่งเป็นผู้ใจบาปหยาบช้าน่าเดียดฉันท์ รังแกข่มเหงสตรีจนสตรีต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กู้ศักดิ์ศรีชนิดยอมตาย เพราะเมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ ย่อมหมายถึงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสังเวยชีวิต

วรกายสิทธิราชสั่นเทิ้ม ทั้งกริ้ว ทั้งสะเทือนพระทัย มิทรงปรารถนาให้เป็นเช่นนี้ แรกเริ่มเดิมทีก็สนพระทัยเพียงผลประโยชน์จากเส้นทางการค้าอันมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ของกลุ่มทวารวดีตามที่มี ‘ผู้นำเสนอ’ เท่านั้น ด้วยอันนครรัฐไตมาวนั้นเรืองอำนาจยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่นาน ขึ้นชื่อเรื่องกองกำลังเข้มแข็ง และการปกครองอันมั่นคงเด็ดขาดก็จริง กระนั้นก็ยังอยู่ในระยะก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นอาณาจักรอันมั่งคั่งที่ต้องอาศัยความร่ำรวยและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์มาเจือจุน

จนกระทั่งได้ได้สดับลำนำชมพระสิริโฉมพระราชธิดาสุดสวาทแห่งราชันละโว้ จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้ ครั้นมีผู้ถวายภาพเขียนของพระนาง เจ้าฟ้าสิทธิราชก็ทรงบังเกิดจิตปฏิพัทธ์เสน่หาขึ้นอย่างสุดแสน ดำริกระหยิ่มยิ้มย่องว่าหากยึดครองลวปุระได้ ก็จักทรงได้ทั้งความเจริญมั่งคั่ง ได้ขยายดินแดนให้กว้างไกล แลยังได้ยอดนารีมาเป็นปิ่นเมือง

ทรงเชื่อถืออย่างจริงจังว่าเป็นบุญพาวาสนาให้ทรงหันมามองกลุ่มนครที่เรืองอำนาจอยู่ลุ่มแม่น้ำพระแดง ทั้งที่ไกลแสนไกลจากนครรัฐของพระองค์จนมิคุ้มค่าแก่การยาตราทัพเข้ายึดครอง จึงมิเคยอยู่ในสายพระเนตร จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทรงได้รับ ‘ข้อเสนอ’ น่าสนใจ

อาณาจักรอันแสนไกลก็อาจมิไกลเกินเอื้อมนัก…ผลประโยชน์เป็นความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งจอมนารีโฉมงามผู้ปรีชาปราดเปรื่อง คุ้มค่าแก่การกรีธาทัพมาด้วยประการทั้งปวง

ทว่าสาส์นจากเจ้าหญิงชวาลาดับความหวังโชติช่วงในพระทัยลงหมดสิ้น เจ้าฟ้าสิทธิราชมิทรงเหลือทางเลือกอื่นใด

“จงตอบกลับพระนางไปว่าเราตกลง” รับสั่งกับอาลักษณ์อย่างปลงตกในพระทัย จากนั้นจึงเรียกแม่ทัพขุนพลทั้งหมดมาเฝ้าเพื่อแถลงแผนยุทธการต่อจากนี้

“เราจักจัดขุนศึกเพื่อดวลสัประยุทธ์กับฝ่ายละโว้กันตัวต่อตัว หากท้ายที่สุดแล้วฝ่ายเราเพลี่ยงพล้ำปราชัย มิต้องห่วงว่าข้าจักทิ้งกองทัพเอาตัวรอด เพราะอันตัวข้านั้นแลจักเป็นผู้ลงสมรภูมิสัประยุทธ์ด้วยตนเอง”

เจ้าฟ้าสิทธิราชทรงคัดเลือกขุนศึกฝีมือฉกาจ รวมถึงเจ้านายฝ่ายนครพันธมิตรอีกจำนวนมากก็เต็มพระทัยลงสมรภูมินี้เพื่อสำแดงฝีมือและรักษาเกียรติศักดิ์

จากนั้นอีกสองทิวา ขุนศึกยอดฝีมือจากไตมาวและลวปุระจึงได้ประจันหน้า ดวลเพลงรบกันตัวต่อตัวอย่างสมศักดิ์ศรี ครั้นล่วงไปอีกหกราตรี เจ้าฟ้าสิทธิราชก็ทรงตระหนักได้ว่าฝ่ายพระองค์กำลังเสียเปรียบ ด้วยเสียขุนพลเอกไปมากมาย รวมถึงเจ้านายนครพันธมิตรอีกหลายพระองค์ ขณะที่ละโว้สูญเสียเจ้านายจากแคว้นพันธมิตรไปเพียงสามพระองค์เท่านั้น

เมื่อนั้นเจ้าฟ้าแห่งไตมาวจึงทรงทราบว่าถึงเวลาที่พระองค์จักต้องลงสมรภูมิ

ย่างเข้าวันที่เจ็ด จอมทัพทั้งสองจึงได้เผชิญหน้ากัน ท่ามกลางสายตาจับจ้องของกองทัพสองฝ่าย

และก็เป็นครั้งแรกที่จอมทัพไตมาวได้ยลสิริโฉมของนารีที่ทำให้พระองค์กรีธาทัพมาแสนไกล และมาประทับอยู่เบื้องหน้า เพื่อจักประหัตประหารกันต่อไป

 

ราษฎรละโว้ล้วนปั่นป่วนกันทั้งนครเมื่อทราบข่าวการสัประยุทธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ในราชสำนักเองก็โกลาหล ทั้งราชัน เจ้านาย ข้าราชบริพารต่างนั่งไม่ติดที่

“ชวาลานั้นโง่หรือเสียสติแท้ๆ คิดว่าตีทัพหน้าแตกได้แล้ว จะสู้กับผู้ใดก็ได้ทั้งสิ้นเชียวหรือ” เจ้านายพระองค์หนึ่งตรัสอย่างมิไว้หน้า ทว่าเจ้านายและข้าราชบริพารชาวรักตมปุระในละโว้กลับมิโต้ตอบ ด้วยมั่นใจในพระปรีชาสามารถแห่งเจ้าหญิงของพวกเขา เจ้านายฝ่ายจันเสนต่างหากที่ตรัสแย้งแทนว่า

“เรียกว่าหลักแหลมมากกว่า เพราะสู้ด้วยกองกำลังทั้งหมดย่อมสู้ทัพเรือนแสนของไตมาวมิได้แน่”

“แล้วนึกหรือว่าต่อสู้กันตัวต่อตัวเช่นนั้นจะมีชีวิตรอดได้” เจ้าหญิงตีรณาส่งภาษามือสื่อสาร

“เจ้าพี่ชวาลาใช่เคยสู้กับข้าศึกจริงเสียเมื่อไร”

“ขอบพระทัยองค์หญิงที่เมตตาห่วงใยพระธิดาหม่อมฉัน” มฤติกาหันไปตรัสต่อพระนัดดาในพระราชเทวีมัณฑนา “หม่อมฉันนึกว่าจะมีแต่คนแช่งชักให้ชวาลาถูกสังหารไปเสีย จะได้หมดเสี้ยนหนามตำใจ”

“ผู้ใดจักคิดเช่นนั้นกัน” พระเจ้าจักวัติทำสุรเสียงเข้ม “เพลานี้หาใช่เวลาคิดชิงดีชิงเด่นกันไม่ อย่างไรทุกคนก็เป็นพี่น้อง เป็นเครือญาติกันทั้งสิ้น”

“หามิได้เพคะ มีผู้คิดปองร้ายชวาลาในค่ายที่เขื่อนขัณฑ์ ฝ่าบาทยังมิทรงทราบกระมัง” พระชายาชาวรักตมปุระกวาดพระเนตรทั่วที่ประชุม “ดีที่พระธิดาหม่อมฉันเฉลียวใจเสียก่อนจึงคุมตัวไว้ได้ทัน เค้นความจริงได้เมื่อไรก็จักได้ทราบกันนั้นแลว่าผู้ใดหนอ ประสงค์ร้ายหมายชีวิตพระชายาแห่งราชบุตรลวปุระ”

เมื่อทิ้งระเบิดไว้กลางท้องพระโรง เจ้าหญิงรักตมปุระก็ทรงได้เห็นพิรุธในอากัปกิริยาของเจ้านายหลายฝ่าย รวมถึงผู้ที่ไม่ทรงคาดคิดมาก่อน

 



Don`t copy text!