ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เสียงอื้ออึงดังมาจากภายนอกเป็นระยะ ป่านนี้การประลองยุทธ์จะเป็นเช่นไรหนอ…หากมีความคืบหน้าก็ย่อมมีคนเข้ามารายงานแล้ว…

กัษษกรยังประทับในค่ายศึกเพื่อรักษาแผลฉกรรจ์บนพาหา ดามอังสาขวาที่หลุด และอาการเจ็บร้าวพระขนองและโสณีจากการตกม้าจนแทบขยับไม่ได้

ทรงทำสิ่งใดให้วาน้อยและบ้านเมืองได้บ้างหรือไม่หนอ นอกจากเป็นภาระให้พระนางกังวล

ผ่านมาหลายทิวาราตรี การสัประยุทธ์มีทีท่ายืดเยื้อบานปลาย นำไปสู่การตัดสินใจบุกโจมตีตั้งแต่รุ่งสาง จนบัดนี้ฟ้ามืดก็ยังมิทราบผล…ผู้ประทับบนพระแท่นพยายามทรงกายขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เมื่อชันองค์ขึ้นมาได้ ส่วนต่างๆ ในวรกายก็เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

ทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์กลมโตสว่างไสว แสงเพ็ญกลับเข้มหม่นแปลกประหลาด…ลมราตรีเย็นเยือกต้องวรองค์จนสะท้าน คืนนี้แล…อีกไม่กี่เสี้ยวอึดใจกระมังที่พระราหูจักเสวยโลหิตจันทรา

“ฝ่าบาทเจ้าข้า…” มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากหน้าประตู ทรงรีบเอนตัวลงนอนดังเดิมเมื่อองครักษ์รีบร้อนเข้ามากราบทูล “เราโจมตีทัพหลวงแตกแล้ว แต่เราต้องสูญเสียขุนเจ้าออนกับขุนเจ้าเมืองไปเจ้าข้า”

ขุนพลทั้งสองเป็นยอดฝีมือแห่งลวปุระ การสูญเสียครั้งนี้น่าสลดยิ่ง “แล้วพระชายาของข้า…”

“บุกทะลวงเข้าสู่ใจกลางทัพหลวงไตมาวแล้วเจ้าข้า” กราบทูลแล้วนายทหารหนุ่มก็รีบร้อนกลับออกไป เพลานี้ใครจักมีแก่ใจเฝ้ายามเจ้าชายที่ประชวรกันเล่า

เสียงกุกกักหน้าประตูดังขึ้นอีกหน

“ยังมิต้องเช็ดตัวข้าหรอก” รับสั่งอย่างเหนื่อยหน่าย “พวกเจ้าไปเตรียมข้าวของเถิด เราต้องพร้อมย้ายกันได้ทุกเมื่อ”

ทว่ากลับบังเกิดความเงียบแทนคำตอบ…ไม่มีนางกำนัลเข้ามาถวายงาน ไม่มีถ้อยคำกราบทูล

พระพายรำเพยผ่านอีกระลอก พระโลมาเจ้าชายกัษษกรลุกชัน ความเงียบงันอันผิดปกติแผ่ซ่านครอบคลุมบรรยากาศ ทรงสูดอัสสาสะ กลั้นพระทัยรับสั่งไปว่า “ออกมาเถิด เขนน้อย”

ผู้ที่ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์เป็นบุรุษร่างสูงโปร่ง มิใช่ชายตัวดำผ่ายผอมอีกแล้ว เมื่อมิต้องกรำแดดตรากตรำหรือแต่งกายปิดหน้าตาเนื้อตัวอยู่เป็นนิจ อีกทั้งได้ชำระคราบเขม่าถ่านออกจากกายา ผิวกายชายหนุ่มก็กลายเป็นสีทรายอ่อนดุจเดียวกับพระองค์ เมื่อกินอิ่มนอนหลับมีลูกศิษย์ลูกหาคอยบำรุงบำเรอ รัตตกรจึงค่อยมีเนื้อมีหนังสมส่วนชวนมอง และเมื่อไร้ผ้าคลุมปกปิด ใบหน้าและดวงตาที่มองกลับมานั้นแทบมิต่างอันใดกับกัษษกรสักน้อย

“ทรงคาดไว้อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ เจ้าพี่เขนหลวง” รัตตกรจ้องวรองค์พระเชษฐาบนพระแท่นอย่างถี่ถ้วน “ข้าคงประมาทท่านเกินไป ท่านมิใช่เจ้าชายโง่ๆ อีกแล้วกระมัง”

“ข้ายังคงเป็นเจ้าชายโง่ๆ นั้นแล มิเช่นนั้นคงมิปล่อยให้เจ้าอวดดีกำแหงจนมาถึงวันนี้ หากข้าฉลาดกว่านี้ ก็คงทัดทานมิให้เจ้ามาละโว้ด้วยแต่แรก หรือไม่ก็…กำจัดเจ้าไปเสียนานแล้ว”

“อ้อ…ท่านคิดเช่นนี้น่ะเอง ท่านมิเคยเห็นข้าเป็นน้องอยู่แล้ว”

“ตรองให้ดีเถิดเขนน้อย เหตุใดข้าจึงไม่กำจัดเจ้า…มิใช่เพราะเห็นเป็นพี่เป็นน้องกันหรอกหรือ”

“เจ้าพี่มิสบโอกาสต่างหาก” คนเป็นน้องสวนทันใด “เจ้าพี่น่ะอาจมิใช่เจ้าชายโง่ๆ แต่ก็เป็นเจ้าชายผู้โชคดี มิต้องดิ้นรนอันใดก็ทรงได้ทุกสิ่งที่ปรารถนาเสมอ มีราชบัลลังก์ประเคนมาถึงมือ มีเมียแสนดีแสนงามที่คอยทูนหัวทูนเกล้าทุกสิ่ง แม้แต่จะรบออกศึก ก็มิต้องขวนขวายลงสมรภูมิ”

“หากเจ้าคิดว่าข้ามิต้องดิ้นรนพยายามใดเลย ข้าก็จนใจจะอธิบาย เจ้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าอยากเชื่ออยู่แล้ว” กัษษกรถอนพระทัย “นี่แน่ะเขนน้อย เจ้าก็เอาแต่พูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาทุกครา ข้ามิได้เป็นผู้ยัดเยียดชะตานี้ให้เจ้าแต่อย่างใด เจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบก็หาถูกต้องไม่ เมื่อไรเจ้าถึงจะเข้าใจสักที”

“แต่เจ้าพี่ก็มิเคยคิดปกป้องหรือต่อสู้เพื่อข้าเลย”

“ข้าก็ปกป้องเจ้าจากชะตาร้ายอยู่นี่อย่างไร”

“อย่างไรหรือ ด้วยการปล่อยให้ข้ามีชะตาอันโหดร้ายยิ่งกว่าด้วยคำพยากรณ์นั้นฤๅ” เขากล่าวอย่างเจ็บช้ำ “ข้าก็แค่อยากมีชีวิตที่ข้าควรมีบ้างเท่านั้น”

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร…เจ้าจะฆ่าข้าใช่หรือไม่ ช่างเลือกเวลาได้เหมาะนัก ตอนที่ข้าบาดเจ็บไร้ทางสู้เยี่ยงนี้…” กัษษกรแค่นสุรเสียง “ฆ่าข้าแล้วเจ้าจักได้สวมรอยกลายเป็นอุปราชรามราชกระนั้นฤๅ แล้วศพข้าเล่า เจ้าจักนำไปไว้ที่ใด เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับราชกิจเจ้าชายบ้าง คิดว่าจักตบตาเป็นสวามีของชวาลาได้โดยมิถูกนางจับได้น่ะหรือ เจ้าฝันเกินไปเสียแล้ว”

“แล้วทรงคิดหรือว่าข้ามิได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า” รัตตกรจ้องกลับดวงตาปูดโปน “ข้าอดทนรอวันนี้มาเนิ่นนานกว่าที่ท่านจะคาดคิดได้”

เจ้าชายกัษษกรเหลือบเนตรไปทางหน้าต่าง ความมืดกำลังเข้าคืบคลานสู่ดวงเพ็ญทีละน้อย ทุกอย่างจำเพาะต้องเกิดขึ้นในราตรีนี้เสียด้วย มิแคล้วอนุชาของพระองค์คงอ่านดาราพยากรณ์มาอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงได้วางหมากอย่างใจเย็น

“ศึกไตมาวครานี้ก็ฝีมือเขนน้อยกระมัง” ดำริดังนั้นก็เกิดกริ้วขึ้นมา “เจ้าเอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ทำให้ชวาลาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เพียงเพื่อจะแก้แค้นข้าแค่นั้นหรือ”

“เพื่อจะฆ่าเจ้าพี่ต่างหาก ก็แค่หลอกล่อคนอื่นเล็กๆ น้อยๆ ว่าจะกำจัดพระชายาเจ้าพี่ให้พ้นทางได้ เท่านั้นก็มีแต่คนร่วมมือ หากเจ้าพี่ทรงทราบว่าผู้ใดร่วมคิดการทรยศครานี้บ้าง รังแต่จักกลั้นใจตายด้วยความอดสูไปเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าพี่เขนหลวงมิต้องเป็นห่วงไปหรอก ข้ามิปล่อยให้ไตมาวตีละโว้แตกได้เป็นอันขาด และวาน้อยของเจ้าพี่ด้วยแล้ว ข้ายิ่งไม่ปล่อยให้พระนางสิ้นใจไปแน่ เพราะเหตุใดน่ะหรือ…” รัตตกรหัวเราะในลำคอ ฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียม “เพราะนางจักกลายเป็นเมียข้า ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เมียข้าตายหรอก ข้าเฝ้ารอวันที่จะได้เชยชมวาน้อยใจแทบขาด จากนั้นข้าก็จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ลวปุระ และข้าก็จะไม่ยอมให้คนทรยศเหล่านั้นสมหวังเป็นอันขาด”

“วาน้อยจะรู้…” ทรงเหลือบไปทางหน้าต่างอีกครั้ง พระราหูกำลังคืบคลานสู่จันทราอย่างน่าหวาดหวั่น… บางทีวาสนาของพระองค์อาจหมดลงเท่านี้ก็เป็นได้

ป่านนี้การประลองจักจบลงหรือยังหนอ…วาน้อยของพระองค์จักเอาชนะอริราชศัตรูได้หรือไม่

อนุชาแฝดควักก้อนดินกับหุ่นไม้แล้วย่างสามขุมมายังพระแท่น ปากเริ่มบริกรรมคาถายาวเหยียด มือข้างหนึ่งกดอุระไว้ไม่ให้ขยับ กัษษกรทอดพระเนตรผู้เป็นน้องแล้วสะท้านสะเทือนพระทัย…

ภาพวัยเยาว์หวนกลับคืนมาชั่วแวบ เมื่อครั้งยังเป็นยุวกุมารเล่นน้ำทะเลด้วยกันอย่างสำราญ หัวเราะในเรื่องที่แฝดเข้าใจกันสองคน มีสิ่งใดก็แบ่งปันกันเล่น แบ่งกันใช้ ไร้กรอบอำนาจแห่งคำพยากรณ์อันมืดดำครอบงำ

สุดท้ายแล้ว การที่รัตตกรมายืนกระเหี้ยนกระหือรือจักสังหารพระองค์ให้จงได้นี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ต่อให้ราชสำนักไชยาคิดป้องกันตัดไฟแต่ต้นลมเพียงไร ก็เลี่ยงชะตากรรมอันน่าเศร้านี้มิได้เลย

ราหูกลืนจันทร์มืดมิด แผ่รังสีแดงฉานดั่งโลหิตน่าสะพรึงยิ่ง…เจ้าชายพระเชษฐาทรงดิ้นขลุกขลักอึกอัก เหรียญตราเครื่องรางก็มิได้สวมติดไว้ ยามนี้จึงทรงรู้สึกเหมือนถูกบีบพระศอ พระนาภีก็ปั่นป่วนแสบร้อนราวจักเผาไหม้ภายใน ควันดำพวยพุ่งมาจากทุกทิศทุกทางมาสู่กลางอุระ หทัยเริ่มเต้นช้าลง ร่างกายเหมือนแตกละเอียด ทรงพยายามเฮือกสุดท้ายชันองค์ลุกขึ้น ผลักพระอนุชาออกไปสุดแรง

“เจ้าพี่เจ้าเล่ห์เพทุบายมิน้อย ถึงกับหลอกตบตาว่ายังบาดเจ็บอยู่”

“ก็เพราะรู้ว่าเจ้าจักต้องหาหนทางมาสังหารข้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ก็ไม่คิดว่า ถึงเวลาที่เจ้าจะฆ่าข้าจริง ข้าจักเจ็บปวดหัวใจได้เพียงนี้” เจ้าชายสบเนตรพระอนุชา “เขนน้อย…พี่รักน้องนะ”

แวบนั้นกลับทรงนึก…หรือแท้จริง มิได้รักเขนน้อยดังโอษฐ์ว่า ทรงรักแต่ตนเอง

แล้วพลังมืดดำก็กดพระองค์ลงอีกครา ให้ด่าวดิ้นทุรนทุราย

“พี่ขอให้น้องประสบพบสุขให้ได้สักคราในชีวิตเถิด”

ตรัสแล้วทรงสำรวมจิต ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอันเป็นสิ่งที่ทรงยึดถือเป็นหลักประจำใจมาตลอดพระชนม์ ขอให้ดวงจิตพระองค์มีแสงแห่งพุทธธรรมนำทางยึดเหนี่ยวจิตใจในห้วงสัมปรายภพ

ฉันพลันนั้นเอง ก็ราวกับมีเกราะกำบังสีทองแผ่ออกจากกลางหทัย ขับไล่ม่านหมอกทมิฬออกอย่างช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นแรงผลักมหาศาลพุ่งย้อนกลับไปยังแหล่งต้นกำเนิด

กระแทกเข้าร่างรัตตกรจนล้มลงหัวฟาดพื้นแน่นิ่งไปทันที!

เจ้าชายกัษษกรลุกพรวดขึ้นอย่างลืมเจ็บ สูดลมหายพระทัยเข้าเต็มปอด มองร่างที่ร่วงกองลงกับพื้นด้วยหทัยระทึกแลสยดสยอง ด้วยแอ่งธารแห่งโลหิตได้แผ่กระจายจากกะโหลกศีรษะออกเป็นวงกว้าง แดงฉานมิต่างจากจันทราสีเลือดบนผืนนภายามนี้

 



Don`t copy text!