ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

บังเกิดความเงียบอันน่าสะพรึงขวัญอยู่เสี้ยวอึดใจ ทว่ากลับช่างยาวนานราวชั่วนิรันดร์ ประหนึ่งทวยหาญทั้งกองทัพกำลังพยายามทำความเข้าใจกับภาพเบื้องหน้าที่ตนเป็นประจักษ์พยานอยู่ และเมื่อสติกลับคืนมา ฝ่ายละโว้ก็ส่งเสียงโห่ร้องอึงมี่ต่อชัยชนะ ขณะที่ทหารไตมาวทั้งปวงก็แตกตื่นพากันถอยร่นออกไปทุกทิศ แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใดก็ถูกทหารละโว้ซุ่มยิงด้วยธนู และติดตามตีซ้ำ ยังความเสียหายแก่กองทัพผู้รุกรานเป็นอันมาก เพลานี้กองกำลังไตมาวต่างเสียขวัญ เมื่อสุดท้ายจอมทัพผู้เกรียงไกรเพลี่ยงพล้ำแก่สตรี จึงมิใคร่มีแก่ใจจักสู้รบอีกแล้ว ต่างพากันหนีเข้าไปสู่ช่องเขาขุนกาฬที่ครั้งหนึ่งทัพหน้าเคยถูกล่อเข้าไปติดกับ

และแล้วประวัติศาสตร์จึงเดินซ้ำรอยอีกครา เมื่อเหล่าทหารหาญไตมาวเข้าไปแออัดกันอยู่ในช่องเขา และพบว่าพวกเขาถูกดักล้อมไว้ทุกทิศทาง ตามด้วยธนูกับก้อนหินระดมเข้าใส่ดุจห่าฝนอีกครั้ง จะหันหลังกลับก็พบทหารละโว้ที่ตามตีกระหนาบล้อมเอาไว้อีกชั้น

สุดท้ายกองทัพศัตรูก็กลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมหาศาลเกินจักนับได้ในเวลานั้น

เมื่อจอมทัพไตมาวทรงทราบความเช่นนั้นก็ยืนตกตะลึงในความพ่ายแพ้ใหญ่หลวงนี้ วรกายสั่นเทิ้ม ทรงนำทัพออกศึกช่วยพระบิดารวบรวมนครต่างๆ ขึ้นเป็นอาณาจักรไตมาวมามิรู้เท่าไร กลับต้องปราชัยให้กองทัพที่แสนยานุภาพด้อยกว่าทุกทาง และแม้แต่พระองค์เองก็ยังมิอาจหาญต่อกรกับสตรีนางเดียวได้เลย

เจ้าหญิงชวาลาเสด็จลงจากอาชาแล้ววิ่งปราดเข้ามาด้วยพระพักตร์ร้อนรนห่วงใย

“ฝ่าบาท…หม่อมฉันเสียใจ โปรดอภัยให้หม่อมฉันเถิด”

“กรรมอันใดที่ทำให้ข้าต้องมาห้ำหั่นชิงชัยกับพระน้องนาง” สิทธิราชตรัสราวละเมอ “มิควรเลย…มิควรแต่แรก ข้ามิควรเชื่อคำเชิญชวนให้เข้ามาครองละโว้ มิควรได้ชมสิริโฉมพระน้องนางในภาพเขียนแต่แรก หาไม่แล้ว ก็คงมิต้องพบความอัปยศอดสูเยี่ยงนี้”

“คำเชิญให้ครองละโว้หรือเพคะ” พระนางสะดุดพระกรรณ แต่เมื่อเห็นพระอาการโงนเงนเหมือนจะฟุบลงได้ทุกเมื่อของอริราชก็สลัดข้อกังขาทิ้งเสีย “หม่อมฉันจะสั่งให้หยุดประเดี๋ยวนี้เพคะ ให้เราเลิกแล้วต่อกัน หม่อมฉันจักไม่ติดใจเอาความใดอีก หม่อมฉันมิได้ฮึกเหิมยินดีสักน้อยกับความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงนี้ สองนครยังสามารถเป็นพันธมิตรกันได้”

“พันธมิตรงั้นหรือ…สายไปแล้วองค์หญิงชวาลา” เจ้าฟ้าสิทธิราชส่ายพระพักตร์ “ทอดพระเนตรดูเถิด คนล้มตายราวใบไม้ร่วงเช่นนี้ เราจักเป็นพันธมิตรกันได้อีกหรือ เราเป็นอื่นใดไปมิได้นอกจากศัตรู”

“หม่อมฉันมิเคยอยากเป็นศัตรูกับฝ่าบาทแต่แรก” ตรัสแล้วก็กลับทรงหนาวเยือกตลอดสันหลัง เมื่อเจ้าฟ้าแห่งไตมาวยืดวรองค์ขึ้น สูดอัสสาสะลึกยาว กระนั้นพระนางยังฝืนรับสั่งต่อ

“ฝ่าบาทยังมีชันษาไม่มากแต่ยังสามารถปกครองคุมนครรัฐอันยิ่งใหญ่ได้ สมควรจักยืนหยัดเพื่ออาณาจักรของพระองค์ต่อไป…”

ทว่า แววเนตรเจ้าฟ้าสิทธิราชกลับว่างเปล่า พระนางชวาลาพระทัยหายวาบ

“ไม่ ไม่เพคะ”

ชวาลาปราดเข้าไปหมายจะคว้าข้อพระหัตถ์ไว้ หากมิทันเสียแล้ว ด้วยฉับพลันนั้นเองเจ้าฟ้าสิทธิราชได้ชักพระแสงดาบเล่มเดียวกับที่ประลองยุทธกันมายาวนานขึ้นปาดพระศออย่างเด็ดเดี่ยวกลางสมรภูมิต่อเบื้องพระพักตร์เจ้าหญิงฝ่ายศัตรู

“ไม่…ไม่จริง”

จอมทัพละโว้กรีดร้องยาวนาน ขณะประคองร่างอ่อนปวกเปียกของจอมทัพไตมาวผู้ยิ่งใหญ่ โลหิตแดงฉานทะลักออกมามิหยุด เปรอะเปื้อนวรกายทั้งสองพระองค์อย่างน่าสยดสยอง ดวงเนตรเจ้าฟ้าเบิกโพลงก่อนค่อยสงบ พระศอพับลงและสิ้นพระชนม์กับอุระเจ้าหญิงชวาลาในเวลาต่อมา

กองทัพไตมาวที่เหลือเห็นดังนั้นก็เสียขวัญแตกพ่ายกระเจิงทุกทิศทาง บ้างก็ถูกควบคุมจับเป็นเชลย เจ้าหญิงมิได้ทรงปีติยินดีในชัยชนะที่ได้รับบนกองเลือดเช่นนี้เลย เมื่อทหารฝ่ายข้าศึกที่เหลือตายยอมจำนน พระนางก็ฝืนวรกายขึ้นทรงอาชาอีกหน จำพระทัยเสด็จไปทั่วช่องขุนกาฬ ทอดพระเนตรภาพอันสยดสยองของเหล่ากษัตริย์และทหารทั้งสองฝ่ายที่ล้มตายดุจใบไม้ร่วงด้วยความสลดพระทัย

“ทางไตมาวสูญเสียเจ้าฟ้าสิทธิราชผู้นำทัพ เจ้านายจากกลิงครัฐที่มาช่วยรบห้าพระองค์ เจ้าชายจากนครในไตมาวอีกสี่พระองค์ ขุนศึกแม่ทัพนายกองอีกมากมาย กำลังพลที่ยกมาทั้งสิ้นหนึ่งแสนสามหมื่นคน เหลือรอดเพียงสี่หมื่นเศษ” ขุนทหารกราบทูลรายงานความสูญเสีย “ฝ่ายเราเสียทหารไปแปดพันเศษจากสามหมื่น…เสียขุนศึกใหญ่ไปสามคน ขุนเจ้าออน ขุนเจ้าเมือง และขุนเจ้ามาอินทร์เจ้าข้า”

“ท่านขุนเจ้า…” ชวาลาหลับพระเนตรลงอย่างรวดร้าว กันแสงออกมาอย่างกลั้นมิอยู่ “มิควรเลยที่ข้าพาพวกเขามาพบกับความตายอันเปล่าดายเช่นนี้”

กระนั้นก็ต้องทรงหักอาลัย ลุกขึ้นจัดการยุติสะสางสงครามนี้ให้ลุล่วง

“เจ้าน่ะ ไปนำปรอทจากสุวรรณบรรพตมาให้ข้าที”

“เอาปรอทไปทำอันใดพระเจ้าข้า”

“ไว้รักษาศพ (1) … รีบไปนำมาเถิด”

เมื่อได้ปรอทมาก็ทรงนำมากรอกพระศพเจ้าฟ้าสิทธิราช ทำการตกแต่งให้สมพระเกียรติเตรียมไว้ก่อนที่จะตั้งพระศพบำเพ็ญกุศลไว้ระยะหนึ่งเพื่อรอถวายพระเพลิงร่วมกับกษัตริย์และเจ้านายพระองค์อื่นในภายหลัง

ทรงแหงนมองดวงจันทราสีแดงฉานราวถูกอาบด้วยโลหิต…ช่างมิผิดอันใดกับกองเลือดทุกหัวระแหงในยามนี้แม้แต่น้อย

 

เชิงอรรถ : 

(1) การนำปรอทมากรอกศพเป็นวิชามายาศาสตร์สาขาหนึ่งสมัยโบราณ ใช้สำหรับพระศพพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระเถราจารย์สำคัญๆ เท่านั้น เชื่อกันว่าปรอทมีคุณสมบัติช่วยรักษาสภาพพระศพได้ชั่วคราว ทำให้มีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมพิธีถวายพระเพลิงได้

 



Don`t copy text!