ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 11 : นิรนาม (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 11 : นิรนาม (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

แม้การศึกเสร็จสิ้นด้วยชัยชนะยิ่งใหญ่ หากพระทัยเจ้าหญิงชวาลากับยิ่งแตกสลาย เพราะแม้เก่งกล้าสามารถเพียงไร ก็ทรงเป็นเพียงสตรีธรรมดานางหนึ่งที่มิเคยเป็นประจักษ์พยานการสู้รบเข่นฆ่าเสียเลือดเสียเนื้อสยดสยองเช่นนี้มาก่อน

เมื่อสวามีปรากฏองค์อยู่เบื้องพระพักตร์ ชวาลาก็กลั้นอัสสุชลมิอยู่ ถลาเข้าไปสวมกอด

“เจ้าพี่…เจ้าพี่มาช่วยน้องแล้ว” ทรงกันแสงราวทำนบน้ำพังทลาย “เจ้าพี่ทอดพระเนตรเถิด ศพกองพะเนินเป็นภูเขา น่าสยดสยองเหลือเกิน”

พระสวามีขยับโอษฐ์จะเอ่ยว่าพระองค์มิได้ช่วยอันใดเลย พระนางบัญชาการรบและชนะศึกด้วยองค์เองทั้งสิ้น พระองค์ต่างหากที่นอนประชวรเป็นภาระ ทั้งยังเกือบทำให้รัตตกรทำลายบัลลังก์ละโว้พินาศอีกด้วย แต่ครั้นเห็นพระนางกันแสงอัสสุชลนองหน้า วรกายสั่นเทิ้ม ก็ทรงตระหนักได้ว่าต่อให้วาน้อยของพระองค์เข้มแข็งเพียงไร ก็ทรงเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่เสียขวัญต่อมรณกรรมครั้งใหญ่นี้จนแทบคุมสติไว้มิอยู่ พระองค์จึงกระชับอ้อมกอดปลอบประโลมจนพระชายารู้สึกดีขึ้น

“พี่อยู่กับเจ้าแล้ววาน้อย เราจักช่วยกันผ่านพ้นวิกฤติภัยนี้ไป”

พระนางยันวรกายออก พิศทั่วองค์ภัสดาอย่างถี่ถ้วน “อาการเจ้าพี่ดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”

“ดีขึ้นมากแล้ว” พยักพระพักตร์มั่นใจ “เรามาร่วมกระทำการต่อจากนี้ให้ลุล่วงเถิด พี่จะมิปล่อยเจ้าต้องเผชิญเรื่องหนักหนาเช่นนี้โดยลำพังอีกแล้ว”

จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็ทรงจัดให้มีพิธีสงฆ์เพื่อบำเพ็ญกุศลแก่ดวงพระวิญญาณเจ้าฟ้าสิทธิราช เจ้าเมือง เจ้านายพระองค์อื่นและทหารที่เสียชีวิต พระอัฐิก็โปรดฯ ให้อัญเชิญกลับไปยังอาณาจักรไตมาวและนครที่มาช่วยไตมาวรบ เมื่อเสร็จการถวายพระเพลิง ก็โปรดฯ ให้สร้างศาลขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับขัตติยราชที่สิ้นพระชนม์ในที่นั้น สร้างวัดขึ้นอีกเจ็ดแห่งและเปลี่ยนชื่อเขาขุนกาฬอันเป็นแดนมรณะเสียใหม่ว่า ‘เขาวังเจ้า’ ด้วยเหตุที่กษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายมาสิ้นพระชนม์ที่แห่งนี้จำนวนมากนั่นเอง

นอกจากนั้น พระนางยังแต่งพระราชสาส์นเพื่อเชิญกลับไปไตมาวพร้อมกับพระอัฐิทั้งหลายว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นราชันแห่งอาณาจักรไตมาวโกชานปยี เนื่องด้วยเหตุแห่งสงคราม ทำให้บ้านเมืองของพระองค์ต้องเสียองค์เจ้าฟ้าผู้เป็นรัชทายาทไป การนี้เป็นไปตามวัฏสงสาร ขอพระราชาผู้ทรงพระเจริญได้ทรงพระกรุณาอย่าได้โกรธเคืองชาวลวปุระแต่ประการใดเลย ขอได้ทรงจินตนาการว่าเราทั้งหลายได้บรรทมหลับและเกิดนิมิตร้าย

บัดนี้เราทั้งหมดได้ตื่นแล้ว หม่อมฉันขอปฏิญาณว่า แม้ต้นหญ้าต้นหนึ่งที่เกิดในแผ่นดินไตมาวโกชานปยี หม่อมฉันจักมิแตะต้องให้เป็นอันตราย แม้เมื่อใดไตมาวได้รับความเดือดร้อนด้วยอริราชศัตรู หม่อมฉันจะขอสนองพระเดชพระคุณเป็นการลุแก่โทษ และขอพระองค์และพระอัครเทวีแห่งไตมาวโกชานปยีทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ”

จากนั้นพระนางก็ทรงขอบพระทัยทหารทั้งหลายที่ร่วมรบมาด้วยกัน ทรงมีประดำรัสอันประทับใจทหารหาญเหล่านั้นว่า

“ท่านทั้งหลาย การอันใดที่เกิดมาได้สิ้นสุดแล้วในวันนี้ ขอให้เราทั้งหลายจากกันเยี่ยงพี่น้อง จงกลับไปหาผู้รอท่านอยู่ที่ละโว้เถิด เราขออาราธนาพรแห่งพระตถาคตได้ปกป้องอภิบาลท่านทั้งหลายให้เดินทางกลับโดยสวัสดี ส่วนเรานั้นจักแวะพักทัพบำรุงขวัญรามนครเสียก่อน ผู้ใดใคร่พักผ่อนให้หายเหน็ดเหนื่อยเราก็จักยินดีต้อนรับ ผู้ใดสมัครใจใคร่กลับละโว้ก็ตามแต่อัธยาศัยเถิด”

ทหารทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็พากันโห่ร้องถวายพระพรเจ้าหญิงชวาลาและเจ้าชายกัษษกรกันกึกก้อง จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็เคลื่อนกองทัพแวะพักที่เมืองรามก่อน แลเพื่ออพยพนำชาวเมืองที่หนีตายคราก่อนให้กลับนครโดยสวัสดิภาพ

ครั้นพระชายาเสด็จเข้าบรรทมไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยสะสมมายาวนาน เจ้าชายกัษษกรจึงรีบเสด็จมาพบสุกกทันตฤๅษีทันที ร้อนพระทัยตั้งแต่ได้สดับระหว่างเดินทางว่า…

ลมหายใจสุดท้ายของพระอนุชาแฝดได้หลุดลอยจากร่างไปแล้ว

“เขนน้อย…” อัสสุชลไหลอาบปราง หยดลงต้องร่างไร้วิญญาณ “เคราะห์กรรมอันใดทำให้เจ้าต้องมาสิ้นใจอย่างน่าเวทนาเช่นนี้…บาปกรรมใดหนอที่ทำให้เราพี่น้องที่เกิดมาด้วยกันแท้ๆ ถูกลิขิตให้เดินทางชีวิตต่างกันดุจเส้นขนาน พี่มิรู้จักโทษฟ้าโทษดิน โทษเทพเทวดา โทษโหรหลวงเหล่านั้น…หรือโทษตัวพี่เองที่มิกล้าหาญพอจะปกป้องเจ้าเลย”

ทรงอดนึกมิได้ ว่าหากไร้คำพยากรณ์อันโหดร้ายเช่นนั้น ป่านนี้ชีวิตพระองค์กับพระอนุชาจักเป็นเช่นไร อาจจักทรงเติบโตอย่างสงบเรียบง่ายอยู่ในนครไชยา มิได้ก้าวหน้าโดดเด่นเหมือนพระญาติพระวงศ์ทั้งหลาย แต่มิได้เดือดเนื้อร้อนใจ อาจจะทรงได้เสกสมรสกับเจ้าหญิงแคว้นทะเลใต้แถบนั้นสักพระองค์และพากันสืบสายจันทรวงศ์ในแดนมลายูสืบไป

หรือเขนน้อยจักทำลายล้างราชบัลลังก์ไชยาให้วอดวายดั่งคำทำนาย…ก็อาจเป็นได้ หรือมิได้เลย

“อาจารย์จะลองถอนอาคมไสยดำออกเสียก่อน” ทั้งนี้สุกกทันตฤๅษีทราบดีว่าลูกศิษย์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า มากกว่าคติความเชื่อตามลัทธินิกายของเขาเสียอีกจึงเสริมว่า

“ขอให้ฝ่าบาทสวดมนต์บทที่ทรงนับถือ แลสวมเหรียญตราเครื่องรางติดองค์ไว้ด้วยเจ้าข้า”

จากนั้นทั้งคูหาน้อยของฤๅษีเฒ่าก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงบริกรรมคาถาต่อไปยาวนานจนล่วงเข้าทุติยยามก็ค่อยพยักหน้าให้สัญญาณว่าเสร็จสิ้นเรียบร้อย

“เราเผาที่นี่มิได้ ต้องรอให้ออกนอกเขตนครเสียก่อน ดังนั้นจำเป็นต้องชะลอเวลารักษาสภาพร่างเสียก่อนเจ้าข้า เกรงว่าขั้นตอนนี้ต้องทรงช่วยอาจารย์แล้ว”

เมื่อทอดพระเนตรสิ่งที่พระอาจารย์หยิบขึ้นมา อุปราชเมืองรามก็ประหลาดพระทัย

“ท่านเอาปรอทมาจากที่ใดกัน”

“องค์หญิงทรงให้ทหารนำปรอทจากสุวรรณบรรพตลงมาด้วยเพื่อรักษาพระศพเจ้าเมืองก่อนถวายพระเพลิงเจ้าข้า อาจารย์ได้ยินว่ายังพอมีเหลือ จึงไปขอแบ่งมา”

“ประเดี๋ยววาน้อยก็ต้องทราบเรื่องแล้วปะติดปะต่อความได้” เจ้าชายทรงเดาได้ทันที “ข้ารู้สึกว่านางกำลังเริ่มสงสัยว่าพวกเราแอบซ่อนทำเรื่องลับหลัง…เพราะดูนางมิใคร่เชื่อเรื่องศพติดโรคเท่าไร” ทอดพระเนตรศพแล้วกลั้นพระทัยถาม “เอาละ…เราต้องกรอกอย่างไร”

เขนน้อยเอ๋ย…หากย้อนเวลากลับไปได้ พี่จักทำสิ่งใดต่างไปจากเดิมหรือไม่

พี่จักช่วยน้องของพี่ให้พ้นจากคำสาปร้ายได้เพลาใด…ยามนั้นพี่ยังเยาว์นัก ยังมิรู้ความ แลไร้อำนาจจักทัดทานโหราจารย์เมืองได้

พี่อาจช่วยเจ้าได้เมื่อมาถึงละโว้ ยินยอมให้เจ้าเปิดหน้า ยินยอมให้เจ้ามีตัวตน แลให้พระเจ้าจักวัติทรงเลือกเอาตามพระทัยว่าทรงโปรดพี่หรือน้อง เราทั้งสองอาจต้องแข่งขันกัน พี่อาจพ่ายแพ้ หรือพี่อาจยอมแพ้เสียเอง เปิดทางให้เจ้าได้เป็นจันทราฉายแสง สมดั่งที่เป็นเขนดวงหนึ่งแห่งจันทรวงศ์

เวลานั้นวาน้อยอาจเลือกเจ้า ไม่รักพี่ หรือหากรักพี่ แต่ไม่มองเจ้า ครานั้นพวกเราอาจต้องห้ำหั่นแย่งชิงหัวใจนาง เป็นศัตรูกันเพราะสตรีนางเดียว หรือเราอาจยอมรับความพ่ายแพ้ในสงครามรักเยี่ยงลูกผู้ชายผู้กล้าหาญก็เป็นได้

ถ้าหากย้อนกลับไปได้…ถ้าหาก…พี่ก็เพียงได้แต่สมมติเท่านั้น

“เรียบร้อยแล้วเจ้าข้า” เสียงสุกกทันตฤๅษีปลุกพระองค์จากภวังค์ ท่าทางหนักใจ

“เราต้องป้องกันก่อนที่องค์หญิงจะมาพบเข้า อาจารย์เกรงว่า…ถึงเวลาที่เราต้องทำลายใบหน้าเจ้าเขนน้อยแล้วเจ้าข้า”

“ทำลาย?” เจ้าชายทรงทวนคำ หนาวเยือกตลอดวรกาย “ทำลายเยี่ยงไรหรือ”

“ทุบ…หรือลนไฟจนจำหน้ามิได้ หรือไม่ก็…”

“ยางไม้ก็เพียงพอแล้วเจ้าข้า” เจ้าชายยกหัตถ์ห้าม “อย่าให้ข้าต้องกลายเป็นพี่ชายใจร้าย ทำลายเกียรติเขนน้อยจนวาระสุดท้ายเลย”

อาจารย์และลูกศิษย์จึงนำยางไม้มาเคี่ยวให้มีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยนำมาพอกกลบดวงหน้าอันซีดขาวไร้สัญญาณชีพจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม…

กัษษกรหลับเนตรลงด้วยความรวดร้าว เมื่อเป็นผู้บรรจงทายางไม้ส่วนสุดท้ายอันปิดมิดถึงดวงตา

จนมิสามารถระบุตัวตนได้อีก

 



Don`t copy text!