สายแนน บทที่ 12 : แสนสาหัส

สายแนน บทที่ 12 : แสนสาหัส

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

ความจริงที่เกิดขึ้นทำให้แสงคำทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อไปไม่ไหว ร่างสูงนั่งกอดเข่าเหม่อมองกำแพงวัดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มือยกปาดน้ำตาเบาๆ เมื่อนึกเห็นภาพในความทรงจำ เรือนกายงดงามที่เขาเคยได้อิงแอบ แววตาสดใสที่เขาเฝ้าคะนึงหา บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า

เธอจากไปแล้ว…และไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

ความจริงที่ตอกย้ำทำให้ทุกข์ทรมานราวกับตกนรก เมื่อทนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว ชายหนุ่มจึงกราบลาพ่อแม่ของเดือนเพื่อขอไปเริ่มต้นใหม่ มอบทรัพย์สินเงินทองให้บิดาเธอจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางไกล…โดยมิได้คิดหวนกลับมาอีกแล้ว…

 

แสงแดดอ่อนยามเย็นเปลี่ยนผืนนภาให้ชวนอ้างว้าง เสียงนกการ้องดังแว่วมาไกลๆ ยิ่งทำให้เงียบเหงา ร่างสูงของนายขันก้าวเท้ามาตามทาง แววตาล่องลอยราวกับคนไร้ชีวิต คราบเลือดติดตามเสื้อผ้า ร่างกายอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่

สองเท้าก้าวมาอย่างเชื่องช้า…ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าเรือนหญิงสาว สายตาแหงนมองเรือนที่ถูกปิดเงียบ ก่อนน้ำตาจะไหลอาบใบหน้าด้วยความทุกข์

เขากลับมาช้าเกินไป…

นึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้นหน้าเรือน ก่อนจะยกมือปิดหน้าร่ำไห้ เพราะเขาบาดเจ็บหนักจึงเดินกลับมาช้านัก เมื่อมาถึงก็เสร็จพิธีศพของแม่เดือนไปเสียแล้ว เหตุใดชะตาเขาอาภัพเหลือเกิน แม้รักเธอมากมายเพียงใดก็ไม่มีโอกาสได้เคียงหมอน…ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย

ร่างสูงคุกเข่าสะอื้นไห้จนตัวโยน สายตาแหงนมองหน้าต่างห้องนอนหญิงสาวที่ด้านในมีเพียงความว่างเปล่า ภาพที่มองผ่านม่านน้ำตานั้นเลือนรางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านกายเขา พร้อมกับผ้าสไบผืนหนึ่งที่ปลิวจากบนเรือน ค่อยๆ หล่นลงตรงหน้า…

สไบของแม่เดือน…แม่หญิงอันเป็นที่รัก

มือหนาเอื้อมหยิบสไบผืนบางมาถือไว้…ก่อนจะยกขึ้นบรรจงจูบทั้งน้ำตา

“เดือนเอ๋ย…อ้ายคิดฮอดเจ้าหลาย…คิดฮอดจนอยากตายตามเจ้าไป…” นายขันถือผ้าสไบสีขาวมากอดไว้แนบอก ก่อนจะได้ยินเสียงบิดาเธอตะโกนโวยวายมาจากด้านหลัง

“บักขัน! มึงกล้าดีจั่งได๋จึงมาเสนอหน้าฮอดเฮือนกู! บักคนชั่วชาติหมา! บักคนจัญไร! มึงออกไปจากเฮือนกูบัดเดี๋ยวนี้!”

นายจั่นผู้เป็นบิดาหญิงสาวเดินปรี่เข้ามาทุบตีเข้าด้วยความแค้น เพราะเรื่องราวจากปากแสงคำทำให้หลงเชื่อว่าเขาเป็นชู้ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็มิได้ขัดขืน อีกทั้งยังปล่อยให้ตนถูกทำร้ายจนทรุดตัวลงจมกองเลือด

ร่างสูงถูกทุบตีจนล้มนอนเกลือกกลิ้ง…เขาจึงนอนกอดเข่าอยู่ตรงนั้นให้นายจั่นทุบจนพอใจ ในมือยังกำสไบของแม่เดือนไว้แน่น…น้ำตายังไหลอาบใบหน้ามิขาดสาย

“ลุงจั่น! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนโวยวายของนายจั่นดังไปทั่วบริเวณจนชาวบ้านออกมาดูเหตุการณ์ ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาห้าม นายฮ้อยทรัพย์และหนุ่มชาวบ้านก็ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกัน จึงรีบเข้าไปประคองนายขันไว้ ส่วนนายฮ้อยรีบดึงมือบิดาของเธอออกแล้วตวาดเสียงดังให้คืนสติ

“เจ้าตีบักขันเฮ็ดหยัง! มันเฮ็ดอีหยังผิด!”

“เฮ็ดหยังผิด!”

นายจั่นทวนคำถามพลางหัวเราะเสียงดังราวกับคนวิปลาส “มันเป็นต้นเหตุให้ลูกสาวกูตาย! หากบ่มีคนชั่วๆ อย่างมัน ป่านนี้ลูกสาวกูก็คงอยู่ดีมีสุขไปแล้ว!”

“ลุงจั่น! เป็นหยังจึงหูเบาเชื่อคนง่ายแท้…ไผเว้าหยังก็เชื่อโดยบ่เคยไตร่ตรองให้ดีก่อน” หนุ่มชาวบ้านตะโกนสวนกลับด้วยความโกรธจัด ในมือประคองนายขันให้ลุกขึ้นนั่ง “บักขันมันบ่แม่นคนเลวอย่างนั้น มันกับลูกสาวลุงรักกันมาหลายปี หากลุงบ่ได้ตาบอด ก็คงรู้ว่าลูกสาวลุงคิดจั่งได๋!”

“เออ! กูรู้นานแล้ว!” นายจั่นตะโกนตอบทั้งน้ำตา “แต่กูเลือกให้ลูกกูได้ตบแต่งกับคนดีๆ หากมันบ่ไปแย่งคืนมา ลูกสาวกูคงบ่ต้องตายอย่างนี้ บักคนชั่วช้า! มึงตายตามลูกกูไปบัดเดี๋ยวนี้!”

นายจั่นเดินปรี่เข้ามาอีกครั้ง นายฮ้อยทรัพย์จึงคว้าร่างเขาไว้แล้วบอกหนุ่มชาวบ้านให้พานายขันกลับเรือนไปก่อน เหตุเพราะเจ้าตัวเอาแต่นอนร่ำไห้ไม่แก้ตัวแม้สักคำ หากปล่อยให้อยู่ท่ามกลางชาวบ้านมุงดูเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่ปลอดภัยนัก

เพราะเรื่องราวจากปากนายแสงคำแพร่สะพัดไปจนทุกคนหลงเชื่อ แม้นายฮ้อยทรัพย์และหนุ่มชาวบ้านอีกหลายคนจะรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่เพราะกลุ่มโจรที่จับได้ในคืนนั้นหนีไปจนหมดสิ้นจึงไร้หลักฐานเอาผิด…ทำให้มิอาจกล่าวหานายแสงคำว่าใส่ร้ายนายขันได้

กลับมาถึงเรือนชายหนุ่มก็เอาแต่นอนซึมไม่ยอมกินข้าวน้ำ ในใจเจ็บปวดทุรนทุรายเพราะไม่มีโอกาสแม้จะเห็นร่างไร้วิญญาณของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อฟังเรื่องราวจากสหายจนรู้ว่านายแสงคำนำเถ้ากระดูกฝังไว้ใต้กำแพง ชายหนุ่มจึงเดินกลับมาที่วัด…ก่อนจะนั่งซึมเหม่อมองหลุมเถ้ากระดูกอยู่อย่างนั้น

ภาพเธอสิ้นใจในคืนนั้นยังติดตรึงในความทรงจำ ความเจ็บปวดยังตอกย้ำจนมิอาจลบเลือนมันโดยง่าย แม่หญิงที่เขาเฝ้ารัก แม่หญิงที่เขาเฝ้าถนอมดังแก้วตาดวงใจ…บัดนี้เหลือเพียงเถ้ากระดูกในห่อผ้า

มิอาจได้พบกันอีกชั่วชีวิต…

ชายหนุ่มยกมือปาดน้ำตาตนเองพลางกอดเข่าสะอื้นไห้ แม้ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเธอไว้ แต่เหตุใดหนอเขาจึงพ่ายแพ้มันไปเสียทุกครั้ง เหตุใดหนอโชคชะตาจึงใจร้ายกับเขานัก เขากับแม่เดือนไม่เคยทำความผิดใดๆ แล้วเหตุใดจึงต้องพบแต่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

“เดือน…เดือนเอ๋ย…ได้ยินอ้ายบ่”

นายขันเอ่ยเรียกเสียงสั่น…มือลูบกองดินนั้นอย่างทะนุถนอม เรื่องราวความหลังยังวนเวียนราวกับภาพฉายซ้ำ ราวกับยังมีเธออยู่ข้างกายไม่ไปไหน ทั้งที่มิอาจรู้ว่าป่านนี้แล้วดวงวิญญาณเธอไปอยู่ที่ใด…ยังสุขสบายดีหรือไม่

สายลมเย็นพัดผ่านกายเขาราวจะปลอบประโลม…กลิ่นดอกมหาหงส์หอมอ่อนๆ ลอยมาราวกับอยากบอกว่าเธอยังวนเวียนอยู่ตรงนี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความรักที่เธอส่งผ่านสายลมมาหา น้ำตาก็พลันไหลออกมาอีกครั้ง…ร่างสูงนั่งพิงกำแพงพลางกอดเข่าร่ำไห้

มือข้างหนึ่งลูบกองดินนั้นอย่างทะนุถนอม น้ำตายังไหลออกมามิขาดสาย นึกโกรธเคืองโชคชะตาเหลือเกินที่พรากเธอกับเขาให้ตายจากกันไป แม้รักเพียงใดก็มิอาจพบหน้ากันอีกแล้ว

“เดือนเอ๋ย…วิญญาณเจ้ายังทุกข์ทรมานอยู่บ่…”

ชายหนุ่มเอ่ยกระซิบทั้งสะอื้นไห้ เขาเคยได้ยินมาว่าดวงวิญญาณที่ถูกฆ่าตายก่อนสิ้นอายุขัย จักต้องวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์จนกว่าจะถึงเวลาสู่ภพภูมิใหม่ นึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงยกมือปาดน้ำตาเบาๆ พลางเงยหน้ามองแสงเดือนที่สาดส่องงดงามบนแผ่นฟ้า…

เพราะเขาพลาดท่าให้คนชั่ว…แม่เดือนจึงต้องตายจากไป

หลังจากนี้…เขาจะขอโอกาสได้ดูแลเธออีกครั้ง

เสียงนกน้อยร้องดังแว่วมาจากชายป่า บวกกับสายลมบางเบาชวนให้บรรยากาศวันนี้ดูเงียบเหงานัก ในศาลาวัดวันนี้มีผู้คนมาชุมนุมกันเกือบเต็มศาลา ร่างสูงของนายขันกำลังนั่งก้มหน้าพนมมือเงียบๆ แววตาเซื่องซึมราวกับคนไร้สติ แต่กระนั้นก็ยังมีน้ำตาเอ่อเจียนจะหยดอาบใบหน้า

ด้านหลังชายหนุ่มเป็นภิกษุวัยชราที่กำลังทำพิธีปลงผมให้…นอกจากนี้ยังมีนายฮ้อยทรัพย์และหนุ่มชาวบ้านคนอื่นๆ มาร่วมอนุโมทนาบุญด้วย เส้นผมที่ถูกตัดนำมาวางบนใบบัวอย่างเบามือ เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงใช้น้ำชะล้างเส้นผมออกเป็นขั้นตอนสุดท้าย

สายน้ำเย็นราดลงกลางหัวเรียกสติชายหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง…นายขันจึงหลับตาลงช้าๆ ปล่อยน้ำตาไหลปะปนไป

เขาตั้งใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์รับใช้พระศาสนาไปจนวันสุดท้ายของชีวิต เพื่ออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดนี้ให้แม่เดือน ให้เธอได้อยู่อย่างสุขสงบ…ร่มเย็น…ให้ดวงวิญญาณของเธอปราศจากความหมองเศร้า

หากชาตินี้ไม่มีวาสนาได้เคียงกัน…ก็ขอให้ผลาบุญหนุนนำในชาติหน้า…อย่าให้เราสองต้องพบเจอความพลัดพรากเช่นนี้อีกเลย

เขายกวัวเทียมเกวียนของตนให้นายฮ้อยทรัพย์ไว้ใช้สอย สละทุกสิ่งให้บรรดาสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก่อนจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์เปล่งคำขออุปสมบท ถวายทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ให้พระศาสนา หวังเพียงกุศลผลบุญที่เพียรสั่งสมมา…จะทำให้ดวงวิญญาณของเธออยู่อย่างสุขสงบจนวันสุดท้าย

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอุปสมบทแล้ว ร่างสูงของพระขันจึงก้าวออกจากโบสถ์มาอย่างเชื่องช้า สายตามองหน้าธรณีประตูที่มีนายฮ้อยทรัพย์และหนุ่มชาวบ้านคอยกราบอนุโมทนาบุญอยู่ตรงนั้น

ก่อนจะสะดุดตาเมื่อเห็นแม่หญิงคนหนึ่งนั่งพนมมืออยู่ด้านหลัง…

พระขันนิ่งไปนานโข ก่อนจะก้าวเข้าไปหาโยมผู้นั้นอย่างเชื่องช้า…แม้พยายามกลั้นน้ำตาแต่ก็ยากเย็นนัก

โยมแม่หญิงนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นดิน เรือนผมดำขลับรวบเป็นมวยสูงเสียบดอกมหาหงส์ให้กลิ่นหอมอ่อน ดวงหน้าหวานละมุนดังเทพธิดา เรือนกายบอบบางนั้นห่มสไบสีขาวนวลกับผ้าซิ่นทอมือสีแดงเข้ม…ยังงดงามอย่างที่เคยเห็นในทุกครั้ง

“โยมเดือน…”

พระหนุ่มเปล่งเสียงเรียกออกมาได้ยากเย็นนัก เมื่อเธอปรากฏตัวต่อหน้ายิ่งทำให้มิอาจกลั้นน้ำตาได้ไหว วิญญาณของเดือนก้มลงกราบด้วยกิริยาอ่อนน้อม ก่อนจะพนมมือเงยหน้าสบตา แม้มิได้เอ่ยคำใดออกมา…แต่แววตาเปี่ยมสุขของเธอก็ทำให้เขาเป็นสุขมากเกินจะเอ่ย

เพราะแม้อยู่กันละภพภูมิแล้ว…

แต่ความรักในแววตานั้นก็มิเคยหายไป…



Don`t copy text!