สายแนน บทที่ 6 : สายลมหวน

สายแนน บทที่ 6 : สายลมหวน

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

ทองยังนั่งอยู่ในศาลาหลังเก่า เมื่อนั่งฟังเรื่องราวในอดีตจากปากสมภารขันก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มนึกงุนงงมากขึ้น หากนายแสงคำอาคมแก่กล้าสามารถถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดสุดท้ายจึงมิได้แม่เดือนไปครอบครอง อีกทั้งเธอยังตายจากไปตั้งแต่สามสิบปีก่อนเช่นนี้ได้

“แล้วหลังจากนั้น…เกิดหยังขึ้นขอรับ”

“กูก็เริ่มเรียนมนตร์สายขาวไปสู้กับมัน…” สมภารขันกล่าวตอบ

“กูเริ่มเรียนอาคมจากนายฮ้อยทรัพย์เพื่อไปล้างแค้นกับมัน อันที่จริงอาคมของนายฮ้อยทรัพย์บ่ได้แพ้มันดอก แต่นายฮ้อยอายุมากแล้วจึงสู้มันบ่ไหว หากเป็นกูที่รุ่นราวคราวเดียวกับมัน…คงมีโอกาสสู้มันได้มากกว่า”

“แล้วระหว่างนั้น พวกคนชั่วมันไปอยู่ไหนขอรับ”

“ออกไปปล้นวัวควายอย่างเคยนั่นละ” สมภารขันเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “กว่าจะถึงฤกษ์ผูกแขนก็หลายเดือนอยู่ กูจึงใช้เวลานี้ร่ำเรียนอาคมกับนายฮ้อยทรัพย์ เพราะกว่ามันจะกลับมา กูก็มีอาคมมากพอจนสู้มันได้”

“หากเป็นอย่างนั้นหลวงลุงก็คงไล่มันสำเร็จ…แม่นบ่ขอรับ”

สมภารขันส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ แววตาสงบนิ่งก็พลันเจือความเศร้าเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ความทรงจำที่เคยมีก็ยิ่งตอกย้ำให้เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น

“ระหว่างกูกับมัน…บ่มีไผชนะ…” สมภารขันเอ่ยเสียงเศร้า “คนชั่วอย่างบักแสงคำถูกเวรกรรมตามสนอง แต่กูเองก็เสียเดือนไป”

“แล้วมันกลับมาคราวนี้…เป็นหยังมันต้องมาทำร้ายอีนางปิ่นล่ะขอรับ” ทองกล่าวถาม “ข้อยบ่เห็นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอีนางปิ่น เพราะตอนนั้นนางยังบ่ทันเกิดด้วยซ้ำ”

“มันต้องการร่างของโยมปิ่นไปทำพิธี” สมภารขันฟังเอ่ยอธิบายพลางเอื้อมมือตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ “บักทองเอ๋ย…มึงต้องดูแลโยมปิ่นให้ดี บักแสงคำกลับมาคราวนี้มันชั่วช้าหลายกว่าเก่า มึงจงตั้งใจร่ำเรียนวิชาที่กูถ่ายทอดให้ เอาไปปกป้องคนรักของมึง”

“แต่จงจำคำกูไว้ให้ดี…” สมภารขันเอ่ยน้ำเสียงจริงจังนัก “อย่าประมาทเป็นอันขาด หากมึงพลาด…โยมปิ่นอาจถูกมันเล่นงานถึงตายได้”

แม้ทองจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวสักเท่าใดนัก แต่เมื่อสมภารขันเอ่ยกำชับเช่นนี้แล้วเขาจึงมิอาจอยู่เฉยได้ พักหลังมานี้จึงคอยติดตามแม่หญิงคนรักอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ยกเว้นเพียงยามเธอกลับเข้าเรือนตนเองไปแล้วเท่านั้น

ทองเป็นชายหนุ่มปลูกเรือนอยู่ในละแวกเดียวกัน ในยามค่ำคืนเขาจึงทำได้เพียงแวะเวียนมาดูอยู่ห่างๆ ทำเช่นนี้ทุกวันจนกระทั่งเวลาผ่านไปราวครึ่งเดือนแล้ว ทุกราตรีผันผ่านเป็นไปอย่างปกติสุข จึงทำให้เขาคลายกังวลไปได้บ้าง

 

ในยามราตรีของฤดูหนาวบรรยากาศมักจะสงบเงียบชวนผ่อนคลาย แต่เหตุใดหนอกลางดึกคืนนี้กลับดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด สายลมเย็นยะเยือกพร้อมเสียงลมพัดหวีดหวิว…รอบกายมืดมิดเพราะเป็นแรมสิบห้าค่ำจึงไร้แสงจันทร์สาดส่อง

ร่างเล็กของปิ่นนั่งพิงผนังเรือน มือบางกระชับผ้าห่มคลุมกายให้แน่นขึ้น นัยน์ตาคู่ใสหันมองรอบกายด้วยความตื่นกลัว เมื่อครู่เธอสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงแหบแห้งกระซิบอยู่ข้างหู…ฟังดูคล้ายกับที่ได้ยินในคืนนั้นมากนัก

นึกได้เช่นนั้นเธอจึงยกมือปิดหูแล้วร้องไห้ เสียงที่เคยได้ยินมันกลับมาอีกครั้ง ผีตนเดิมที่เคยมาหลอกหลอน…มันหวนกลับมาอีกหน

เหตุใดหนอ…เหตุใดจึงไม่เลิกรากันเสียที

“พ่อ! พ่อจ๋า…แม่จ๋า…”

ปิ่นยกมือปิดหูแล้วร้องเรียกบิดาที่อยู่อีกห้องหนึ่ง แต่เหตุใดหนอบิดาจึงยังไม่ตื่นขึ้นมาเสียที เสียงหัวเราะแหบแห้งที่ก้องอยู่ในหัวเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันกำลังลอยเข้ามา ยิ่งทำให้เธอกลัวจนขาดสติ

เมื่อร้องเรียกบิดาแล้วไม่เป็นผล ปิ่นจึงรวบรวมกำลังลุกขึ้นแล้วกลั้นใจวิ่งออกไปหาในทันที แต่เมื่อเปิดประตูออกไป…ภาพตรงหน้าก็ทำให้แทบเป็นลมลงตรงนั้น

“กรี๊ดดดดด!”

หญิงสาวยืนกรีดร้องด้วยความกลัวถึงขีดสุด เพราะเพียงเปิดประตูออกมาก็เห็นภาพน่าสยดสยองเข้าเสียแล้ว เบื้องหน้าเป็นผีหญิงชรานั่งก้มหน้านิ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวสีดำช้ำเลือดช้ำหนอง ผอมแห้งเนื้อติดกระดูก…ดวงตาถลนออกมานอกเบ้า

มันก้มหน้าโยกตัวไปมาเบาๆ แล้วเงยหน้าแสยะยิ้มฉีกถึงใบหู…

“กรี๊ดดดดด! ผีหลอกกก! ผีหลอกกก!!”

ปิ่นตะโกนกรีดร้องจนขาดสติ น้ำตาไหลอาบดวงหน้าเพราะถูกหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงจิตอ่อนแอลงมิอาจต้านทานได้ไหว ร่างเล็กทรุดตัวหมดแรงลงกับพื้น ภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนรางลงทุกที…ก่อนสติจะค่อยๆ ดับวูบไป

“ปิ่น! ปิ่นเอ๊ย! ได้ยินเสียงพ่อบ่ลูก…ได้ยินบ่…”

เสียงเรียกของบิดาทำให้ปิ่นสะดุ้งเฮือก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เห็นบิดากำลังนั่งประคองเธอด้วยความเป็นห่วง แต่หันมองรอบกายก็เห็นราวกับภาพฉายซ้ำ ชาวบ้านราวยี่สิบคนกำลังยืนมุงดูเธอด้วยความหวาดกลัว แตกต่างเพียงบัดนี้เธออยู่บนลานดินกว้างท้ายป่าช้า…

เสียงฟ้าร้องครืนดังมาเป็นระยะ มีทั้งเมฆฝนและสายลมรุนแรงพัดมาราวกับจะมีพายุใหญ่ ใบไม้ปลิวว่อนพร้อมเสียงลมดังหวีดหวิวชวนขนลุก แต่กระนั้นชาวบ้านที่ยืนมุงดูเธอกลับไม่มีใครยอมกลับเรือนตนทั้งสิ้น เอาแต่ยืนมองเธออยู่ห่างๆ ด้วยความตื่นตระหนก

ปิ่นนั่งอยู่กลางลานกว้างหน้าเรือนนายแสงคำที่ท้ายป่าช้า นายแสงคำกำลังเดินก้าวเข้ามาหา…

เมื่อเห็นว่าในมือเขาถือสายสิญจน์และของอัปมงคลมาทำพิธี ปิ่นจึงกรีดร้องร่ำไห้อีกหน ร่างเล็กพยายามคลานถอยหนี แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเสียจนมิอาจลุกไปไหนได้

เธอกลัว…เธอกลัวเหลือเกิน…

“คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ภูตผีจึงมีอิทธิฤทธิ์หลาย…อีนางปิ่นมันกำลังดวงตกเลยถูกผีเข้า” นายแสงคำแสร้งเอ่ยอธิบาย แต่นัยน์ตาดุดันนั้นก็มิอาจปกปิดความเจ้าเล่ห์เอาไว้ได้ “พวกมึงถอยออกไปให้หมด กูจะเริ่มพิธีปัดเป่าวิญญาณร้ายให้มัน…ผีตนนี้มันบ่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กูต้องจัดการให้เด็ดขาด”

“อย่า! อย่าทำข้อย…ปล่อยข้อยไป…”

ปิ่นร่ำไห้สะอึกสะอื้น แต่กระนั้นก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด เมื่อชาวบ้านถอยออกไปแล้วนายแสงคำจึงเริ่มใช้ไม้ปักอาณาเขตแล้วโยงสายสิญจน์ล้อมร่างของปิ่นไว้ทุกทิศ ถือพานใส่ห่อเถ้ากระดูกของเดือนออกมาวางตรงหน้า ธูปเทียนและของอัปมงคลพร้อมสรรพ เห็นปิ่นนั่งหลับตาหายใจรวยรินในอ้อมกอดนายสินผู้เป็นบิดา นายแสงคำจึงสั่งให้ทิ้งร่างของปิ่นนอนลงกับพื้น

“เอาเชือกมัดมันไว้อย่าให้ดิ้นหนี…มัดแล้วมึงก็ออกมาจากเขตสายสิญจน์ กูจะเริ่มพิธี”

นายสินได้ฟังคำสั่งก็พลันนิ่งชะงัก แม้ไม่เต็มใจให้ทารุณกรรมลูกสาวของตนเช่นนี้ แต่ภาพตรงหน้าก็พอให้เดาออกว่าปิ่นอาการไม่ดีนัก สุดท้ายจึงยอมให้ชาวบ้านช่วยกันมัดมือเท้าเธอโดยดี

“ปล่อยกู…”

ปิ่นเอ่ยกระซิบเสียงแหบแห้ง น้ำตาไหลอาบนวลแก้มมิขาดสาย “ปล่อยกู…บักหมอผีชั่ว…”

แม้บัดนี้เหนื่อยจนแทบไร้เรี่ยวแรงหายใจ แต่เพราะสติยังอยู่ครบถ้วนจึงมองเห็นผีหุ่นพยนต์ตนนั้นยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างหลังเขา ปิ่นจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ผีตนนั้นเป็นบริวารของนายแสงคำ…ทุกอย่างเป็นแผนของหมอผีชั่วที่ต้องการพาเธอมาทำพิธีคืนนี้

แม้ไม่รู้ว่ามันคือพิธีอะไร…แต่เธอมั่นใจว่ามิใช่เรื่องดีแน่…

นายแสงคำเดินเข้ามาใกล้แล้วจับมือหญิงสาวให้เป็นท่าพนมมือ ใช้สายสิญจน์พันรอบมือให้แน่นราวกับมัดตราสังคนตาย ริมฝีปากขยับเบาๆ พร้อมเสียงกระซิบบริกรรมคาถา…ก่อนจะเป่าลงกลางกระหม่อม

“กรี๊ดดดดดด!”

ปิ่นกรีดร้องทุรนทุรายถึงขีดสุด สายตาเลือนรางจนแทบมองไม่เห็น ร่างเล็กเกลือกกลิ้งบนพื้นราวกับจะขาดใจ…ภาพในหัวขาวโพลนราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง

“ปิ่น…ปิ่นลูกพ่อ!”

“อย่าเข้ามา!” นายแสงคำหันมาตวาดบิดาของปิ่นเพราะกลัวแผนล่ม มืออีกข้างคว้าโถใบใหญ่บรรจุเถ้ากระดูกของเดือนมาถือไว้แล้วบริกรรมคาถา

สองเท้าก้าวเข้ามาใกล้ๆ แล้วแตะเอาผงเถ้ากระดูกในโถติดปลายนิ้วชี้มาด้วย เป็นผงขี้เถ้าของเดือนที่ผสมน้ำมันพรายไว้เพื่อนำมาแต้มหน้าผากเธอในคืนนี้

แต่นายแสงคำยังมิทันลงมือแต้มหน้าผาก…พลันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก

“มึงหยุดเดี๋ยวนี้! บักหมอผีชั่ว!”

เสียงชายหนุ่มตะโกนแข่งกับฟ้าร้องมาไกลๆ เมื่อเดินเข้ามาถึงก็รีบเอาขันน้ำมนต์สาดใส่เธอทันที

“กรี๊ดดดดดดดดดด!”

“เฮ้ย!”

“มึงเป็นไผ! กล้าดีมาล่มพิธีของกู!” นายแสงคำปรี่เข้ามาหาท่าทางโกรธจัด ทองจึงยกพร้าชี้หน้าจนอีกฝ่ายหยุดชะงัก

“บักหมอผีชั่ว ถ้ามึงกล้าดีก้าวเข้ามา…กูสิตัดคอมึงทิ้งเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้นทำให้นายแสงคำหยุดยืนนิ่งทันที เพราะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้เอาจริงแน่ “บักหนุ่มคนนี้มันเป็นไผ! มึงเฮ็ดอีหยังลงไปรู้ตัวบ่! อีนางปิ่นถูกผีสิง…กูกำลังทำพิธีไล่ผีให้”

“ไล่ผี ” ทองหัวเราะในลำคอพลางเหยียดยิ้มหยัน “ไล่ผีแนวได๋อีนางปิ่นจึงหน้าซีดเหมือนคนตาย แทบสิหายใจบ่ได้แล้ว มึงตั้งใจสิเฮ็ดอีหยัง…มึงเองก็รู้อยู่แก่ใจ!”

“กูบ่รู้เรื่อง…จะมากล่าวหากูอย่างนี้บ่ได้”

ทองได้ยินถ้อยคำก็หัวเราะดังลั่น แต่นัยน์ตาคมเจือโทสะรุนแรงนัก “ถ้าอย่างนั้นมึงกล้าเถียงกูบ่
ว่าในมือมึงบ่แม่นเถ้ากระดูกคนตาย ต้องให้กูบอกชาวบ้านบ่ว่ามึงเอาเถ้ากระดูกไผมาทำพิธี…ต้องให้กูบอกชาวบ้านบ่…ว่ามึงเลวทรามชั่วช้าปานใด!”

สิ้นเสียงชายหนุ่มก็เกิดเสียงฮือฮาของชาวบ้านโดยรอบ นายสินและนางสายผู้เป็นบิดามารดาของหญิงสาวก็เช่นกัน เมื่อทองกล่าวหานายแสงคำเช่นนั้นทุกคนก็ตื่นตระหนกไม่น้อย

ทองหันกลับมาเหน็บพร้าไว้ข้างเอวก่อนจะช้อนร่างหญิงสาวมาอุ้มไว้ แล้วเดินปรี่เข้าไปหาบิดาเธอด้วยความโกรธ “อย่าหาว่าข้อยเสือกเลย แต่ให้ข้อยขอถามแหน่…เป็นหยังจึงกล้าเอาลูกสาวมาให้หมอผีชั่วๆ เล่นมนตร์ดำใส่อย่างนี้!”

นายแสงคำยืนฟังคำสบประมาทก็ตวาดใส่ทองด้วยความโกรธจัด “หุบปากไปเดี๋ยวนี้ อีนางปิ่นเป็นลูกสาวของน้องเมียกู เปรียบไปก็เหมือนหลานของกูคนหนึ่ง มึงสิกล่าวหาว่ากูใจชั่วอย่างนี้บ่ได้!”

ทองพลันเหยียดยิ้มมุมปากเพราะมิได้สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของนายแสงคำแม้สักนิด วงแขนแกร่งยังอุ้มร่างไร้สติของเธอไว้ด้วยความหวงแหน เมื่อเห็นเธอปลอดภัยแล้วจึงหันมากล่าวกับบิดาของหญิงสาวอีกครั้ง “ข้อยสิเอานางปิ่นไปหาหลวงลุงอยู่วัด”

เมื่อบิดาเธอพยักหน้าอนุญาตแล้ว ชายหนุ่มจึงหันกลับมาสบตาหมอแสงคำอีกครั้ง นัยน์ตาคมเจือแรงโทสะราวสัตว์ร้าย

“หากมึงเข้าใกล้อีนางปิ่นอีกแม้แต่ก้าวเดียว…มึงได้เจอกู!”

ชายหนุ่มกระชับร่างเล็กไว้แนบอกแล้วเดินออกไปทันที ปล่อยให้หมอผีวัยกลางคนยืนมองด้วยความโกรธจัด ริมฝีปากขยับเบาๆ ร่ายคาถาเสกคุณไสย เพียงครู่เดียวก็มีเงาดำก่อตัวขึ้นมาพร้อมเสียงลมพายุ เงาดำลอยคว้างบนอากาศก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของทองอย่างรวดเร็ว…

ก่อนจะหายวับไปในทันที…

“มึง…มึง!”

นายแสงคำยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ เมื่อเห็นว่ามนตร์ดำของตนทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ ทองเองก็หยุดยืนนิ่งชะงักเช่นกันเมื่อรู้ตัวว่าถูกลอบทำร้าย ร่างสูงหันกลับมาหา ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ

“บักหมอผีชั่ว…เดี๋ยวมึงกับกูได้เห็นดีกัน”



Don`t copy text!