อมฤตาลัย ตอนที่ 22

อมฤตาลัย ตอนที่ 22

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

สโรชินีรับคำนายสาวแล้วหยิบผ้าที่ได้รับออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูสนิทอย่างเงียบเชียบ ถัดจากห้องรโหฐานของพินทุวดีไปอีกมุมหนึ่งของตัวตึก คือห้องมุมเล็กๆ สุดมุมชั้น ๒ ของบ้าน เป็นห้องนอนส่วนตัวของสโรชินี

หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปข้างในแล้วลงกลอนอย่างแน่นหนา ห้องนอนค่อนข้างเล็กแต่โปร่งสบาย เพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา ทั่วทั้งห้องสะอาดสะอ้านน่าชม เตียงเล็กๆ ของหล่อนคลุมด้วยผ้าฝ้ายหนาหนักสีเขียวรับกับม่านหน้าต่าง ตู้เสื้อผ้าตั้งแอบอยู่มุมหนึ่งเข้าชุดกับโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ปลายเตียง พื้นห้องไม้กระดานขัดถูจนเป็นมันปลาบน่านอนเล่น

สโรชินีนั่งลงกับพื้นหน้าเตียง พลางคลี่ผ้าที่ได้รับมาจากนายสาวออกดูอย่างไม่ยินดียินร้าย มันเป็นผ้าเนื้อนุ่มบางเบาสีเขียวยอดตองสดใสจับจีบในตัวเหมือนผ้าพลีต แต่สโรชินีรู้ดีว่ามันไม่ใช่พลีตสมัยใหม่ อายุของผ้าน่าจะเกินร้อยปีขึ้นไป เพราะเคยได้รับคำบอกเล่าจากนายสาวบ่อยๆ ว่า

‘ฉันไม่ชอบผ้าสมัยใหม่หรอกบัว ทอฝีมือหยาบจนนุ่งไม่ได้เอาเลยทีเดียว เห็นผ้าของฉันแต่ละผืนไหม ทั้งนุ่มทั้งเบาเหมือนใยบัว นั่นแหละฝีมือช่างทอในราชสำนักละ ฉันมีไว้แยะ นุ่งเท่าไรก็ไม่หมด’

หญิงสาวเชื่อในข้อนั้น เพราะเคยเปิดทำความสะอาดหีบสมบัติของนายสาวบ่อยๆ ในนั้นอัดแน่นด้วยผ้าบางเบาอย่างที่ว่าซับซ้อนเป็นตั้งๆ นับไม่ถ้วน ส่วนหีบเครื่องประดับมีค่านั้นเล่า สโรชินีไม่คิดว่ามีสตรีอื่นใดในประเทศมีเครื่องเพชรเครื่องทองมากไปกว่านายสาวของหล่อน

‘ใครๆ ก็ตื่นพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรทองของอาหรับกันนัก พุทโธ่เอ๋ย อยากให้เห็นเครื่องเพชรเครื่องทองราชวงศ์ฉัน มันมากมายมหาศาลเสียจนร้านเพชรทิฟฟานี่ที่ว่าใหญ่นั่นน่ะกลายเป็นขี้ปะติ๋วไปเลยทีเดียว’

พินทุวดีเคยบอกอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่หล่อนนำเครื่องประดับเหล่านั้นออกทำความสะอาด

‘ชอบชิ้นไหนบ้างล่ะ บัวเลือกเอาสิ ฉันให้’

นายสาวของหล่อนบอกอย่างใจป้ำ แต่สโรชินีเมินหน้าพร้อมกับเก็บเครื่องประดับมีค่าเข้าไว้ตามที่ของมันอย่างเงียบๆ

‘บัวไม่ทราบจะเลือกชิ้นไหนค่ะ สวยๆ ทั้งนั้นจนเลือกไม่ถูก’

‘เอ้า งั้นฉันเลือกให้เอง’

แล้วหล่อนก็ได้รับเครื่องทองชุดหนึ่ง และเครื่องอัญมณีหลากสีอีกชุดหนึ่งเป็นรางวัลการทำงานอย่างซื่อสัตย์ขยันขันแข็งตลอดมา…สโรชินีเก็บของเหล่านั้นไว้ในตู้อย่างไม่แยแส รู้ตัวดีว่าในสภาพของหล่อนเท่าที่เป็นอยู่นี้ โอกาสที่จะได้ประดับวัตถุมีค่าเหล่านั้นมีน้อยเพียงใด

“ล็อกเกตของแม่อันเดียวก็พอแล้ว”

หญิงสาวนึก ยกมือขึ้นลูบคลำล็อกเกตรูปหยดน้ำประดับเพชรลูกซึ่งคล้องคออยู่อย่างภาคภูมิใจ มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวของนางปทุมซึ่งติดตัวมาตั้งแต่สาว ล็อกเกตอันนั้นสลักลวดลายงดงาม มีลักษณะเป็นตลับ เมื่อกดสลักเล็กๆ
ฝาตลับจะเปิดออก ในนั้นมีรูปสีธรรมชาติของผู้ชายคนหนึ่งหน้าตามีอำนาจ ซึ่งนางปทุมบอกว่าเป็นรูปคุณตาของสโรชินี ส่วนด้านหลังตลับสลักเป็นอักษร ป.ส. ลงยาไขว้กันอย่างงดงาม นางปทุมคล้องสร้อยทองคำขาวแขวนล็อกเกตอันนี้ ในวันเกิดปีที่ ๑๕ ของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยเสียงสั่นและน้ำตาคลอตาว่า

‘เก็บไว้ให้ดีนะลูก นี่เป็นสมบัติมีค่าชิ้นเดียวที่แม่มีอยู่ มันมีค่าเท่าชีวิตของแม่ทีเดียว คนที่ให้ล็อกเกตนี้เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของแม่ ราคามันนับว่าสูงเอาการอยู่แล้ว แต่ค่าของมันกลับสูงยิ่งขึ้นไปอีกจนประมาณไม่ได้ บัวเก็บไว้ให้ดีนะจ๊ะ แล้วสักวันมันจะช่วยให้บัวรู้ว่า บัวน่ะไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าใครเลยในด้านวงศ์ตระกูล’

‘ทำไมจ๊ะ แม่ นี่เป็นเครื่องเพชรประจำตระกูลของเราหรือจ๊ะ’

หล่อนเคยย้อนถามอย่างขันๆ นางปทุมนิ่วหน้า แต่เสียงพูดเป็นปกติ

‘ไม่ใช่หรอกลูก บัวก็รู้ว่าตระกูลของแม่เป็นอย่างไร จำไว้แล้วกันว่า ตราบใดที่บัวยังห้อยจี้อันนี้อยู่ บัวต้องประพฤติตัวเป็นคนดีนะลูก รูปที่อยู่ในล็อกเกตจะเตือนใจบัวให้นึกถึงเกียรติยศอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร’

‘บัวไม่เข้าใจจ้ะ’

“อย่าเพิ่งเข้าใจเลยลูก จำไว้ก็แล้วกันว่า รักษาของนี้และรักษาตัวให้ดีๆ สักวันหนึ่งบัวจะได้ผลกรรมดีตอบแทน”

“คุณตาของบัวในรูปนี้เป็นใครกันจ๊ะแม่ หน้าตามีสง่าจัง”

นางปทุมมีสีหน้าผิดปกติไปนิดหนึ่ง แล้วจึงตอบเสียงแผ่ว

“เป็นผู้ชายคนหนึ่งน่ะซีลูก เป็นบุพการีที่บัวจะต้องเคารพนับถือ คนที่เคารพบุพการีของตัวน่ะเป็นคนดีไม่ใช่หรือจ๊ะ”

“ปอสอนี่เป็นชื่อของคุณตาหรือจ๊ะ” หล่อนถามเมื่อพลิกดูด้านหลังล็อกเกต

“เอ้อ…ใช่จ้ะ คุณตาชื่อปิ่น แสงธรรม” นางปทุมตอบตะกุกตะกักอย่างขอไปที

สโรชินีดึงผ้าคลุมเตียงออก เอนตัวลงนอนพร้อมกับดึงล็อกเกตออกมาดูอย่างใจลอย

บนฝาตลับรูปหยดน้ำขนาดเท่าไข่นกระทานั้นสลักลวดลายดอกไม้อย่างประณีตงดงาม บนกลีบและใจกลางเกสรฝังเพชรลูกงามหลายสิบเม็ด น้ำอันแวววาวออกสีชมพูนั้นบ่งถึงคุณค่าและราคาไม่น้อยเลย โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางตลับนั้น มีเพชรลูกรูปหยดน้ำเม็ดใหญ่กะด้วยตาไม่น้อยกว่า ๔ กะรัตฝังอยู่ น้ำของมันออกสีชมพูแพรวพราวงามระยับ

‘เพชรสีชมพู นี่แม่ของเราก็มีของแพงๆ อย่างนี้ด้วยนะ เห็นยากจนกรอกกร๋อยออกยังงี้เถอะ’

หญิงสาวนึกในใจ มือที่ลูบคลำล็อกเกตกดถูกสลักเข้าโดยบังเอิญ ฝาตลับดีดตัวเปิดออก เผยให้เห็นรูปที่บรรจุอยู่ข้างใน

ดวงตาของผู้ชายในรูป ดูเหมือนจะทอดมองสโรชินีอย่างอ่อนโยนและมีเมตตา

หญิงสาวเหม่อมองอย่างนึกสะดุดใจเป็นครั้งแรก

ดวงหน้าของชายนั้นรี รูปมีเค้าคมคายดูคลับคล้ายคลับคลาหล่อนจะเคยเห็นที่ใดมาก่อน แต่นึกไม่ออก นัยน์ตาซึ่งอ่อนโยนในรูปทำให้ดวงตานั้นดูจับตาจับใจ สโรชินีพยายามนึกถึงดวงหน้าของคนที่หล่อนเคยพบปะ แต่ก็นึกไม่ออกว่ามีผู้ใดบ้างที่ละม้ายแม้นชายในรูปซึ่งแม่บอกว่าเป็นคุณตาของหล่อนเอง…

แต่แล้วดวงหน้าหนึ่งก็ลอยเข้ามาในห้วงคิด และขับไล่ภาพชายอื่นๆ ออกไปหมดสิ้น สโรชินีสะบัดหน้ากดสลักปิดตลับอย่างเดิม แล้วพลิกกายนอนตะแคง สอดมือทั้งสองไว้แนบแก้ม ข่มตาให้หลับ พยายามที่จะไม่นึกถึงชายที่เข้ามาในห้วงนึกโดยฉับพลันนั้นอีก

ทว่า…ดวงหน้าคร้าม เก๋ และคมสันนั้นไม่ยอมจากไปง่ายๆ หญิงสาวนึกเห็นถนัดถึงดวงตาคมซึ้งที่มองหล่อนอย่างอ่อนโยนมีความหมายลึกซึ้ง ริมฝีปากโค้งได้รูปงามเผยอยิ้มน้อยๆ อย่างดีใจ ทำให้ดวงหน้านั้นกระจ่างน่าดูยิ่งขึ้น อากัปกิริยาเคลื่อนไหวเป็นสง่า แต่สุภาพอ่อนโยนทุกอิริยาบถ ชุดเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่สวมดูรับกับรูปทรงเพิ่มสง่าราศีขึ้นอีกอย่างประหลาด ร่างนั้นดูเหมือนจะติดตามมารบกวนหล่อนจนหลับไม่ลง สโรชินีพยายามสลัดออกไปจากห้วงคิดคำนึงอย่างสุดความสามารถ นึกถึงดวงหน้าท่าทีอันทันสมัยปราดเปรียวของสตรีอีกนางหนึ่งเพื่อนำมาขับไล่ภาพชายผู้นั้น

‘คนรักของเขาออกเก๋ไก๋ถึงปานนั้น ซ้ำยังเป็นนางแบบมีชื่อเสียง เรามัวแต่นึกถึงเขาก็บ้าแล้ว’

สโรชินีพยายามนึกเช่นนั้นซ้ำๆ เพื่อขับไล่ภาพหนุ่มออกไปจากหัวใจ…

… หวนนึกถึงอดีตความเป็นมาของตัวเองด้วยความขมขื่นลึกๆ ในอารมณ์ หล่อนจำได้ดีว่าตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่ของหล่อนเป็นลูกจ้างของพินทุวดี ร่อนเร่รับใช้นายจ้างสาวซึ่งเป็นนายคนเดียวในชีวิต สโรชินีเกิดในเมืองไทย ครั้นอายุได้ประมาณ ๒-๓ ขวบ หล่อนตามพ่อแม่ไปทำมาหากินในประเทศเขมร ซึ่งพ่อแม่ของหล่อนได้พบและรับใช้พินทุวดีที่นั่นจนกระทั่งแตกเนื้อสาว จึงอพยพตามพินทุวดีมาเมืองไทยอีกครั้ง อาศัยที่บิดามารดาของหล่อนเป็นคนไทยแท้ สโรชินีจึงได้รับการสั่งสอนให้อ่านเขียนหนังสือไทยได้คล่อง ชีวิตในเขมรสอนให้หล่อนรู้จักภาษาต่างประเทศได้บ้าง หากพินทุวดีไม่ประสงค์จะให้หล่อนได้เล่าเรียนตามโรงเรียนอย่างเด็กอื่นๆ สโรชินีจึงต้องหมั่นเพียรเรียนกับบิดามารดา และมาสอบเทียบชั้นมัธยมบริบูรณ์ในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จอย่างลำบากยากเย็น จำได้ว่า วันแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรนั้น หล่อนตื่นเต้นยินดีราวกับได้ขุมทรัพย์ก็ไม่ปาน

สโรชินีประสงค์ที่จะออกไปสู่โลกภายนอกได้เรียนรู้และมีชีวิตพบปะคนอื่นๆ บ้าง หญิงสาวมีนิสัยรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ หล่อนจึงได้กำไรอยู่บ้างที่มีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับโลกภายนอกพอสมควร แต่ความรู้ที่ได้จากตัวหนังสือนั้น สโรชินีรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนของจริง…ทว่า ความใฝ่ฝันของหล่อนไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะพินทุวดีผู้เป็นนายสาวไม่ยินยอมเด็ดขาดที่จะให้หล่อนออกไปสู่โลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นในเขมรหรือประเทศไทยก็ตาม สโรชินีถูกนายสาวสั่งให้อยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา…ทั้งนี้ เป็นความพอใจของพ่อแม่หล่อนด้วย นางปทุมมักจะพร่ำพูดกับลูกสาวเนืองๆ ว่า

‘ไม่มีที่ไหนปลอดภัยยิ่งกว่าบ้านแล้วนะลูก บัวมีทั้งพ่อแม่ และนายที่ดีอย่างคุณผู้หญิง อย่าดิ้นรนออกไปไหนเลย โลกภายนอกมันไม่สวยงามอย่างที่คิดหรอกลูก มันไม่ผิดอะไรกับป่าใหญ่ มีแต่เสือสางคอยจ้องตะครุบอยู่ทั้งนั้น ผู้ชายทั้งหลายที่เห็นๆ นั่นแหละคือสิ่งที่คอยจ้องจะตะปบเราเป็นเหยื่ออยู่ตลอดเวลา’

‘บัวอย่าคิดหนีไปไหนนะลูก พ่อมีบัวคนเดียวก็เป็นห่วง ไม่ยอมให้สูญเสียไปแน่ๆ อยู่ที่นี่แหละ ถึงคุณผู้หญิงจะเป็นคน…ง่า…เป็นคนดุแต่เธอก็ช่วยเรามานะลูก’

ขณะที่พูด นายชินพ่อของหล่อนมีท่าทางหวาดวิตกและหวั่นเกรงอยู่ในส่วนลึกจนสโรชินีแปลกใจ แต่ทุกครั้งที่หล่อนทำท่าจะเอ่ยปากถาม นายชินจะรีบลุกหนีไปเสียก่อนทุกทีไป หญิงสาวจึงต้องเก็บความระแวงสงสัยไว้ในใจเงียบๆ คนเดียว

ส่วนพินทุวดีนั้น คำพูดของหล่อนห้วนและไม่ยินดียินร้าย แต่สโรชินีรู้ว่ามีความหวังดีเจือปนอยู่ในส่วนลึก

‘อย่าดิ้นรนไปเล้ย บัว ชีวิตมันยากแค้นขมขื่นกว่าที่เราคิดมากนัก ยิ่งมีชีวิตยาวนานเท่าใดก็ยิ่งเห็นความทุกข์ยากของคนมากขึ้น ฉันเห็นมาแล้วทั้งนั้นแหละ นานแสนนานมาแล้ว ชีวิตของคนเป็นอย่างนี้ไม่มีทางดีขึ้น เพราะงั้นฉันถึงได้…เอ้อ…ไม่จริงจังกับใครทั้งนั้น’

ด้วยเหตุนี้ สโรชินีจึงเป็นเสมือนดอกไม้ที่เบิกบานสะพรั่งอยู่ในสวน อันมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบอย่างแน่นหนา ความอ่อนโยนเชื่อฟังของหล่อน ช่วยให้หญิงสาวไม่เดือดเนื้อร้อนใจมากนักในสภาพที่เป็นอยู่ หากความช่างคิดและความเป็นตัวของตัวเองที่ซ่อนอยู่ลึกลงไป ก็ทำให้หล่อนอึดอัดรำคาญในบางคราวอย่างบอกไม่ถูก

แต่จะว่าไปแล้ว พินทุวดีก็ไม่ใช่ว่าจะกักขังหล่อนให้อยู่แต่ในบ้านเหมือนติดคุกแต่อย่างใด หญิงสาวมีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้างเป็นครั้งคราวเดือนละ ๒-๓ ครั้ง หากบิดามารดาของหล่อนเองต่างหากที่เป็นตัวตั้งตัวตีไม่ประสงค์จะให้สโรชินีออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อยนัก ซึ่งทำให้หญิงสาวอดน้อยใจเสียใจไม่ได้ และนี่เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดวงหน้าท่าทางของหล่อนดูโศกซึ้งน่าสงสาร จนทำให้ ร.ต.ท.ทัดเทพติดใจเป็นนักหนา

แต่สาเหตุที่แท้จริงอีกอย่างที่ทำให้หล่อนวิตกกังวลก็คือ นับตั้งแต่เติบโตเป็นสาวมา สโรชินีถูกบังคับแกมขอร้องให้กินยาลูกกลอนชนิดหนึ่ง โดยพินทุวดีนายจ้างของหล่อนบอกว่าเป็นยาแก้โรคร้ายที่เจ้าตัวไม่เคยรู้จัก หากความฝันที่ปรากฏเสมอๆ ในยามค่ำคืนตั้งแต่เริ่มเป็นสาวมานี้ ทำให้หญิงสาวสยดสยองจนไม่อยากนึกถึง…ทุกค่ำคืนหล่อนจะฝันเห็นภาพน่ากลัวต่างๆ นานา เป็นต้นว่าสัตว์ร้ายและมนุษย์ท่าทางแปลกๆ ซึ่งดูกระจ่างแจ่มชัดในความทรงจำจนดูเหมือนหล่อนเข้าไปร่วมพบปะสิ่งเหล่านั้นมาด้วยตนเองมิใช่ฝันไป…เมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษาบิดามารดา ก็ได้รับอาการอ้ำอึ้งและบ่ายเบนเป็นคำตอบทุกทีไป สโรชินีจึงเต็มไปด้วยความสงสัยยิ่งขึ้น และคิดแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง…

‘พรุ่งนี้ก็จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว’

สโรชินีคิดอย่างดีใจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ กับตัวหล่อน ทุกคราวที่มีโอกาสออกไปเที่ยวนอกบ้าน สโรชินีอาจจะพอใจที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง แต่ไม่ใช่ตื่นเต้นดีใจอย่างที่เป็นอยู่นี้…อะไรเล่าเป็นเหตุให้หล่อนเปลี่ยนไปจากทุกคราวจนเจ้าตัวเองก็ยังแปลกใจ

ดวงหน้าคร้ามคมสันมีเสน่ห์ของ ร.ต.ท.ทัดเทพลอยเข้ามาในห้วงคิดอย่างปัจจุบันทันด่วนอีกครั้งหนึ่งจนสโรชินียับยั้งไม่ทัน หญิงสาวรู้ดีว่ามีความรู้สึกแปลกใหม่หลายอย่างเกิดขึ้นกับหล่อน นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้าเขา จิตใจของสโรชินีครุ่นคำนึงถึงแต่เขาตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน หัวใจหล่อนจะพองโตขึ้นจนคับอก และสั่นระริกระรัวเหมือนตีกลอง ตื่นเต้น ขวยเขิน และเป็นสุข เมื่อลอบมองเห็นเขาก้าวลงมาจากรถเก๋งคันงาม…แต่แล้วหัวใจก็ฟุบแฟบห่อเหี่ยวลงด้วยความปวดร้าวเศร้าหมองเมื่อประจักษ์ว่าสตรีอีกผู้หนึ่งได้ติดตามเข้ามาอ้างความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนออกหน้าออกตา…สโรชินีขนลุกซู่ด้วยความรู้สึกอายแทน หล่อนบอกตัวเองว่าไม่มีวันเสียหรอก…ไม่มีวันเลยที่หล่อนจะลดตัวลงไปสู่สนามแข่งขันแย่งชิงผู้ชายคนนี้ ถึงจะมีสภาพต้อยต่ำแค่เด็กในบ้านของพินทุวดี หากหญิงสาวก็ทระนงอยู่ในส่วนลึกว่า หล่อนมีความเป็นกุลสตรีพอที่จะไม่มีวันวิ่งตามไปแย่งชิงผู้ชายคนใด แม้ว่าจะชอบหรือสนใจเขาขนาดไหนก็ตาม

สโรชินีถอนใจยาวเหมือนสะอื้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวและน้ำใสๆ เริ่มเอ่อซึมออกมา หล่อนยกแขนขึ้นปาดมันอย่างไม่ไยดี เหลือบไปเห็นยาลูกกลอนเม็ดใหญ่ๆ สีดำมะเมื่อมอยู่ในขวดแก้วบนโต๊ะหัวเตียงเข้าไปโดยบังเอิญ หล่อนทรงกายลุกขึ้นนั่งเอื้อมไปหยิบมันออกมาเม็ดหนึ่ง รินน้ำจากแก้วเจียระไนใบน้อย แล้วกล้ำกลืนกินยาเม็ดนั้นเข้าไปอย่างลำบากยากเย็น…

ในเวลาเดียวกับที่สโรชินีนอนคิดวุ่นวายอยู่นั้น ไวฑูรย์ อมรรัช ก็เดินเซนิดๆ เข้าบ้านของเขาหลังจากที่ศุภสิทธิ์ ผู้อาสามาส่งขับรถกลับไปแล้ว นักโบราณคดีหนุ่มก็อาบน้ำอาบท่าเดินมานั่งผึ่งอยู่หน้าพัดลมในห้องนอน ความมึนอันเกิดจากพิษสุราที่ร่ำมากับเพื่อนๆ ค่อยคลายลงบ้าง ไวฑูรย์เปิดกระเป๋าเอกสารหยิบเศษศิลาสลักรูปดวงหน้าสตรีขึ้นมาพิจารณาอย่างครุ่นคิดลึกซึ้ง

‘เป็นภาพเหมือนสมัยขอมที่ไม่ค่อยจะได้พบกันบ่อยนัก’ เขานึกสรุปในใจ

‘พันธุมเทวี ถึงเธอจะเป็นใครก็ตาม ฉันจะพยายามสืบเบาะแสให้รู้ชัดในเร็วๆ นี้ให้จงได้ และจะบรรจงเปิดหน้ากากของเธอด้วยมือตัวเองเลยทีเดียว’

นักโบราณคดีหนุ่มวางรูปสลักลงบนโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งสายตามองไปปะทะเศียรเกียรติมุขศิลาที่ได้จากพินทุวดี ซึ่งวางเด่นอยู่บนโต๊ะนั้นโดยไม่ตั้งใจ พลันก็สะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งตัวในบัดดล…

ไวฑูรย์เบิ่งตาจ้องมองรูปอสูรศิลาเขม็งด้วยความพิศวงสงสัยเป็นล้นพ้น!

แต่เศียรเกียรติมุขยังคงสงบนิ่งแข็งทื่ออยู่ในที่ของมัน ไวฑูรย์ถอนใจยาว ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองอย่างงงงวยและอ่อนใจ

“พิษธารามันเล่นงานเอาเสียแล้ว เฮ้อ เห็นอะไรเป็นตุเป็นตะไปได้”

ชายหนุ่มลดมือลงจากหน้ามองไปยังรูปนั้นอีก…หวังเต็มเปี่ยมที่จะเห็นดวงตาอันโปนถลนของรูปศิลาสลักขยับได้ และกลอกกลิ้งไปมาช้าๆ อย่างที่ได้เห็นเมื่อตะกี้…หากคราวนี้เขาต้องผิดหวังที่ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างนั้นเกิดขึ้นอีกเลย หน้าศิลาของเกียรติมุขยังคงแข็งทื่อเป็นหินทั้งแท่งอยู่เช่นเดิม…

“นอนดีกว่า”

ไวฑูรย์บอกตัวเองดังๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปผลัดผ้า โดยเปลี่ยนจากกางเกงแพรมาเป็นชุดนอนอันค่อนข้างทะมัดทะแมง เดินกลับไปที่โต๊ะหัวเตียงหยิบปืนลาม่าออโตเมติกมาใส่ในกระเป๋าเสื้อนอนด้านล่าง คว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะออกมาเปิดหยิบวัตถุสีดำขนาดแท่งเท่าดินสอออกมากำไว้ในมือ

“ว่านครุฑพล…ถ้ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์จริงก็ขอให้ช่วยป้องกันลูกช้างจากภัยอันตรายที่มองไม่เห็นด้วยเถิด”

ชายหนุ่มพึมพำพลางบรรจงสอดว่านชิ้นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อนอนด้านบนซึ่งอยู่ตรงกับหัวใจพอดี แล้วจึงดับไฟก้าวขึ้นเตียง และแทบจะหลับไปในทันทีที่ศีรษะตกถึงหมอน…

ในความมืดและความเงียบอันน่าวังเวงของราตรี เสียงเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นก็คือเสียงหายใจเบาๆ และสม่ำเสมอของนักโบราณคดีหนุ่ม เขาหลับสนิทราวกับสลบไสลไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตามปกติชายหนุ่มเป็นคนนอนไว แต่คืนนี้แม้อะไรบางอย่างจะคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวอย่างมาดร้าย และทำให้เกิดเสียงเบาๆ จากการเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่ทำให้เขาตื่นได้เลย

อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น น่าสะพรึงกลัวจนเกินคำบรรยาย!

ศีรษะศิลารูปเกียรติมุขน่าเกลียดน่ากลัว ซึ่งตั้งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของไวฑูรย์นั้น บัดนี้ มันปาฏิหาริย์มาอยู่บนหัวเตียงของเขาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และสิ่งที่มันกำลังกระทำอยู่นี้น่าสยดสยองยิ่งไปกว่าปาฏิหาริย์ของมันมากนัก

ด้วยแขนศิลาทั้งสองข้างของมันที่ใช้ยันศีรษะคืบคลานไปตามโต๊ะนั้นอย่างแช่มช้าและระวังระไว กระนั้นก็ยังเกิดเสียงค่อยๆ เมื่อแขนศิลารูดไปกับเนื้อไม้ ทีละน้อย…มันคืบขยับใกล้เข้าไปทุกที…ทุกที…

ไวฑูรย์พลิกตัวจากนอนหงายเป็นนอนตะแคงหลับต่อไปอย่างผาสุก เศียรศิลาหยุดชะงักนิ่งอยู่กับที่อย่างเงียบงัน แต่ครั้นเห็นชายหนุ่มยังคงหายใจเบาๆ หลับสนิทอย่างเดิม หัวนั้นก็คืบคลานต่อไปอีก ทีละน้อย…ทีละน้อย…จนถึงเตียงนอนของชายหนุ่ม

ดวงตาโปนถลนแดงก่ำนั้นขยับกลอกไปมา แล้วเพ่งจ้องมองไวฑูรย์อย่างประสงค์ร้าย ด้วยความพยายามให้เงียบที่สุด ศีรษะประหลาดใช้มือทั้งสองยันกับที่นอนเคลื่อนส่วนหัวลงไปสู่เตียงนั้นห่างจากนักโบราณคดีหนุ่มไม่ถึงศอก…เพ่งตาอันเหลือกโปนไปยังดวงหน้าของชายหนุ่ม แล้วปากอันมีแต่ฟันแหลมคมปราศจากขากรรไกรล่างก็แสยะเหยียดยิ้มอย่างเหี้ยมโหด ในขณะที่มือศิลากำยำทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้าทีละน้อย หมายลำคอไวฑูรย์เป็นเป้า…

 



Don`t copy text!