อมฤตาลัย ตอนที่ 1

อมฤตาลัย ตอนที่ 1

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้สัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

 

ฟอร์ดลินคอล์น คอนติเนนตัลคันเท่าตึกเคลื่อนที่สีดำเป็นมันปลาบคันนั้น เมื่อแล่นไปทางใดก็สามารถดึงดูดสายตาคนให้มองตามได้เสมอ แต่ในวันนี้ สายตาคนที่จ้องมองมานั้นไม่ใช่เพราะทึ่งในลักษณะโอ่อ่าของรถ หากสตรีสาวผู้นั่งเป็นสง่าอยู่บนเบาะหลังนั้นต่างหากที่เป็นเป้าดึงดูดความสนใจของคนที่พบเห็นให้รวมอยู่ ณ จุดนั้นเป็นตาเดียว

ลำคออันเชิดเป็นสง่านั้นระหงและขาวผ่อง แต่ที่ผ่องยิ่งไปกว่าก็คือ ดวงหน้าอันมีลักษณะงามประหลาดเหมือนภาพวาดมากกว่าจะเป็นคนจริงๆ รูปหน้านั้นไม่ใช่รูปไข่หรือเรียวยาวอย่างที่นิยมกันว่าเป็นแบบฉบับของใบหน้าที่งามสมบูรณ์ หากค่อนไปทางสี่เหลี่ยมซึ่งดูกลมกลืนรับกับเครื่องประกอบดวงหน้าอย่างเหมาะเจาะจนหาที่ติไม่ได้ ทำให้รูปหน้านั่นดูแตกต่างจากบรรดาสตรีทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ฟอร์ดใหญ่แล่นเข้าเทียบหน้าห้างสรรพสินค้าหรูหราในละแวกนั้นอย่างนิ่มนวล ชายหนุ่มคนหนึ่งในสองคนที่กำลังจะพารถเคลื่อนออกจากที่จอดฝั่งตรงข้ามกับห้างเหลือบมาเห็นเข้า เขาเบรกรถโดยแรงทันทีจนเพื่อนผู้ที่นั่งเคียงข้างศีรษะคะมำไปข้างหน้า ส่งเสียงเอ็ดตะโรลั่น

“เฮ้ย ออกรถภาษาอะไรวะไอ้พร หัวหูพ่อเจ๊งหมด”

ผู้ถูกเรียกว่า ‘ไอ้พร’ ไม่ตอบ รีบหาทางจอดรถกุลีกุจอแล้วเปิดประตูก้าวลงไปอย่างรีบร้อน

“เฮ้ย เฮ้ย นั่นเอ็งจะไปไหนวะ บ้าแล้วเรอะ ไอ้พร อยู่ๆ ก็วิ่งลงจากรถเฉยๆ งั้นแหละ อ้าว…”

ประโยคของชายหนุ่มขาดหายไปเมื่อมองตามเพื่อนผู้ออกเดินจ้ำอย่างรีบร้อนข้ามถนนไปยังฟอร์ดลินคอล์นคันนั้น ซึ่งคนขับในชุดเครื่องแบบสีขาวกำลังก้าวลงมาเปิดประตูรถด้านหลังให้นายสาวอย่างนอบน้อม

“เอ๊ะ นั่น…” เจ้าตัวพึมพำแล้วรีบขมีขมันลงจากรถเดินรี่ตามสหายไปบ้าง

สตรีสาวสวยในพาหนะคันมหึมาก้าวลงจากรถอย่างวางสง่าเผยให้เห็นรูปโฉมเต็มตัว ผู้ชายต่างวัยและแม้แต่สตรีด้วยกันที่เดินผ่านไปมาต่างเหลียวมองเป็นตาเดียว เรือนร่างนั้นโปร่งอรชรอ้อนแอ้นราวกับลอยออกมาจากภาพเขียนของจิตรกรฝีมือเอก เรือนผมดกดำสนิทเป็นเงางามเกล้าตลบเป็นทรงสูงอย่างเรียบๆ แต่ก็รับกับดวงหน้างามประหลาดนั้นอย่างกลมกลืน เสื้อชุดผ้าไหมสีเขียวมรกตที่สวมใส่ขับผิวอันขาวผ่องให้ดูผุดผาดเป็นนวลใย

“สวัสดีครับ เจ้า”

ฝ่ายชายร้องทักพร้อมกับโปรยยิ้มเต็มที่อย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ

ดวงหน้างามเบือนมาเล็กน้อย นัยน์ตาดำสนิทด้วยแววลึกซึ้งเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่งขณะที่เห็นชายหนุ่ม

“คุณสถาพร”

เสียงเอ่ยทักแผ่วเบา กังวานไพเราะราวระฆังเงิน ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปงามเผยอยิ้มน้อย เหมือนๆ อาการแย้มของดอกไม้

“โชคดีจังที่ได้พบเจ้า ไปไหนมาครับ”

ผู้ถูกเรียกว่า ‘เจ้า’ ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ยินสรรพนามนั้น

“มาซื้อของค่ะ แหม ขอทีเถอะ สถาพร อย่าเรียกฉันว่าเจ้าเลยค่ะ บอกหลายครั้งแล้วไม่เชื่อสักที”

ประโยคหลังหญิงสาวทอดเสียงฟังเหมือนพ้อ สถาพรหัวเราะระรื่น

“ขอโทษครับ ลืมไปทุกทีเลย…นี่คุณพินทุวดีไม่ต้องการคนช่วยถือของบ้างหรือครับ”

หญิงสาวยังไม่ทันตอบ ชายหนุ่มผู้เดินจ้ำตามมาทีหลังก็เข้ามายืมยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า

“อ้อ คุณไวฑูรย์ มากับสถาพรด้วยหรือคะ”

“วันนี้ลากคอนักโบราณคดีออกมาจากกุฏิ เอ๊ย ออกจากห้องทำงานครับ ให้ช่วยดูของเก่าให้หน่อย คุณพ่อผมจะซื้อให้ฝรั่งเป็นที่ระลึก” สถาพรชิงตอบแทนเพื่อน

“แล้วซื้อได้หรือยังคะ”

“ยังครับ อะไรๆ เจ้าหมอนี่ก็ว่าไม่ใช่ของแท้ทั้งนั้น ผมก็ไม่รู้จะไปสรรหาที่ไหนดี หนักเข้าเห็นจะต้องขุดกรุเสียเอง”

“ก็จริงๆ นี่นา…”

ชายหนุ่มเจ้าของนามไวฑูรย์เพิ่งมีโอกาสเปิดปากพูดเป็นประโยคแรก

“ของเก่า จริงๆ ในเมืองไทยแทบไม่มีแล้วครับ เศรษฐีฝรั่งมันกว้านซื้อส่งไปเมืองนอกหมด”

ดวงตาของหญิงสาวเจ้าของนามพินทุวดีเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชายหนุ่มทั้งสอง แต่ริมฝีปากยังยิ้มเยื้อนเป็นปกติ พอไวฑูรย์กล่าวจบ หล่อนก็เอ่ยขึ้น

“ฉันเห็นจะต้องขอตัวละค่ะ ซื้ออะไรนิดหน่อยแล้วจะรีบไปธุระ ขอบคุณที่จะช่วยถือของ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซื้อนิดเดียว สถาพรจะได้มีเวลาไปเดินเลือกซื้อของเก่าได้นานๆ”

“โอ๊ย เดินจนขาจะพังแล้วครับ…อ้อ อย่าลืมคืนพรุ่งนี้นะครับ ทุ่มตรงผมจะไปรับที่หน้าวัง เอ๊ย หน้าบ้าน”

“ไม่ลืมแน่ค่ะ”

หญิงสาวพูดเท่านั้นแล้วก็ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง พลางหันหลังกลับออกเดินตรงก้าวฉับๆ เข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลัง

“ฮึ่ม! ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เลยนะ จะชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แม่ตัดบทฉับเสียยังงั้นแหละ”

สถาพรพึมพำ มองตามร่างระหงนั้นจนลับตา

ไวฑูรย์หัวเราะอย่างขันๆ

“ไอ้พรเอ๊ย เอ็งมันไม่เจียมบอดี้ยังงี้แหละ ไม่ตักน้ำดูเงาตัวมั่งนี่หว่า”

“เอ็งพูดยังงี้ดูถูกฝีมือกันนี่พวก ข้าเป็นยังไงวะเจ้าหล่อนถึงจะรักไม่ได้”

สถาพรทำหน้าขึงขัง ไวฑูรย์หัวเราะพลางเอามือไสคอสหายให้ออกเดินไปด้วยกัน

“ข้าก็ไม่ได้ว่าเอ็งเป็นยังไงหรอก แต่ตำแหน่งรองผู้จัดการโรงงานกระดาษชำระของเอ็งมันมีดีแค่ไหนวะ มหาเศรษฐีอย่างคุณพินทุวดีเขาถึงจะสนใจ ผู้ชายตอมเขาออกเกรียวยังกะแมลงวันตอมเม็ดทุเรียน แม่คุณจะเลือกที่วิเศษวิเสโสกว่าเอ็งยังไงก็ได้ อย่าทำเป็นหมาเห็นเครื่องบินหน่อยเลยว้า”

สถาพรมีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย นัยน์ตามีแววหมายมาด ขณะที่ตอบห้วนๆ

“ยังไงๆ ข้าก็สู้สุดใจละวะ ถ้าไม่ได้คุณพินทุวดีข้าคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตเลย”

ไวฑูรย์หันมามองหน้าสหายอย่างพิจารณา

“เอ็งรักเขาจริงๆ หรือวะ พร ทีแรกข้านึกว่าจะจีบเล่นเฉยๆ เพราะเห็นเขาสวย…แล้วคุณภาของเอ็งล่ะ”

“ถามทำไมวะ”

“คุณภาเป็นคนดีโว้ย ข้าไม่อยากเห็นเธอต้องอกหักเพราะผู้ชายกะล่อนอย่างเอ็ง”

สถาพรถอนใจยาว

“ภาน่ะข้าสงสารแล้วก็เห็นใจเท่านั้น ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรมากไปกว่านี้หรอก ส่วนพินทุวดีเป็นยังไงเอ็งดูเอาเองก็แล้วกัน มีเสน่ห์หยาดเยิ้มตั้งแต่หัวถึงเท้า ใครมั่งจะไม่หลง เอ็งลองเปรียบเทียบดูทั้งสองคนเถอะวะ”

“เปรียบกันไม่ได้หรอก พร คุณพินทุวดีของเอ็งเป็นผู้หญิงลึกลับประหลาดๆ ยังไงก็ไม่รู้ หน้าตาก็ประหลาดด้วย เอ็งสังเกตเห็นไหม รูปหน้าสี่เหลี่ยมแบบนั้นไม่น่าจะสวยได้เลย แต่เธอก็เป็นคนสวย และสวยเอามากๆ เสียด้วยซี”

“แฮะแอ้ ติดใจละซี่ ข้ามศพข้าไปก่อนนะโว้ย”

“ไอ้บ้า ข้าไม่เหมือนเอ็งนี่หว่าเห็นใครสวยก็หลงรักหัวทิ่มหัวตำ ถ้าข้าจะรักใครต้องเข้าใจกันได้ทะลุปรุโปร่งเว้ย ไม่ใช่มีอะไรลึกลับชวนสงสัยอยู่เรื่อยๆ ยังงี้”

“เออ ก็ข้าชอบยังงี้นี่หว่า”

สถาพรว่าพลางควักกุญแจออกมาจะไขประตูรถ แต่แล้วก็ต้องตีหน้าปุเลี่ยนๆ เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ ไวฑูรย์ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ

“ไอ้พรเอ๊ย เอ็งนี่ท่าจะต้องไปปรึกษาคุณหมอประสพมั่งละ ลูกพ่อวิ่งตามเขาเสียจนลืมล็อกรถ ถูกซิวไปเมื่อไหร่จะรู้ซึ่ก”

“อย่าแก่เทศนานักเลยวะ ข้าไม่ใช่ลูกไล่ของเอ็งนะเว้ย จะไปหรือไม่ไป หา?  ถ้ารักจะไปด้วยกันก็หยุดปากหมาซะที เดี๋ยวพ่อยัวะขึ้นมาเป็นได้เอาพระบาทฟาดพระโอษฐ์กันมั่งหรอก”

“ชะ ชะ นี่ใครขอร้องใครกันแน่วะ คุณมึงขอให้กูมาด้วยนะโว้ย ข้าไม่ได้แส่วิ่งตามเอ็ง พูดให้มันดีๆ หน่อย”

ทั้งสองคนนั่งรถไปเถียงกันไปตลอดทางตามความเคยชิน สถาพร ไพสิฐกุล กับไวฑูรย์ อมรรัช เป็นเพื่อนเกลอกันมาตั้งแต่ยังเด็ก พร้อมๆ กับสหายร่วมโรงเรียนเดียวกันอีกสองคน คือ ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี และศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ ทั้งสี่คนนี้เรียนหนังสือห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ครั้นเติบโตขึ้น การแยกย้ายไปเรียนตามสถาบันที่ตนถนัดทำให้ห่างกันไปบ้าง แต่มิตรภาพของคนทั้งสี่ยังแน่นแฟ้นตามเดิม สถาพร ไพสิฐกุล เรียนบัญชีสำเร็จแล้วก็ช่วยบิดาทำการค้าขายตามถนัด ส่วนไวฑูรย์ อมรรัช สนใจศึกษาทางโบราณคดีจึงได้ทำงานนั้น และเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชานี้ด้วย ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ เป็นผู้จัดการโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในขณะที่ ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี เป็นนายตำรวจมือปราบผู้สำเร็จวิชาการสืบสวนสอบสวนมาจากสกอตแลนด์ยาร์ดและมีอนาคตสดใสในชีวิตราชการ

เมื่อไม่นานมานี้ วงสังคมของฟ้าเมืองไทยเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกล่าวขวัญถึงดาวสังคมดวงใหม่ที่เพิ่งจุตินั่นคือหญิงสาวรูปสวยรวยทรัพย์เจ้าของนามพินทุวดี วงศ์ยโสธร ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในวงสังคมชั้นสูงโดยไม่มีใครรู้ถึงที่มา จึงเป็นหน้าที่ของชาวสังคมด้วยกันที่จะสอดแทรกขุดคุ้ยความจริงขึ้นมาซุบซิบสู่กันฟังอย่างมันปาก บางกระแสข่าวกล่าวว่า พินทุวดี วงศ์ยโสธร เป็นเจ้าในราชสำนักทางเหนือบ้าง บางเสียงก็ว่า เป็นเจ้าหญิงแห่งกัมพูชาผู้ลี้ภัยการเมืองเมื่อครั้งเขมรเปลี่ยนผู้นำ และบ้างก็ว่า หล่อนคือกุลสตรีเจ้าของมรดกนับร้อยล้านจากตระกูลเก่าแก่ผู้เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ หลายต่อหลายเสียงร่ำลือกันไปต่างๆ นานา โดยไม่มีใครรู้เบื้องหลังที่แท้จริงเลยสักคนว่า พินทุวดี วงศ์ยโสธร ผู้แสนสวยรวยทรัพย์นั้นเป็นใครและมาจากไหนกันแน่…

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่คลุมเครือเหลือเกินเกี่ยวกับประวัติที่มาของสาวสวยผู้นี้ แต่หนุ่มสังคมทั้งหลายก็ไม่นึกหวั่นอันใด หลายต่อหลายรายพากันเข้าไปทาบอย่างเอาเป็นเอาตายซึ่งในจำนวนนี้มีสถาพร ไพสิฐกุล และศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ รวมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าความเป็นเพื่อนทำให้ไม่อาจแข่งกันได้ออกหน้าออกตานัก แต่ทั้งสองก็เผยนัยให้รู้เป็นทีว่าใครดีใครได้…หากความเป็นจริงเท่าที่ปรากฏก็คือ บรรดาหนุ่มสังคมเหล่านั้นจะได้รับไมตรีจิตจากพินทุวดีโดยเสมอหน้ากันหมดไม่มีใครเหนือกว่าใคร ทุกคนได้รับความสนิทสนมอย่างมากเพียงแต่เที่ยว เต้นรำ รับประทานอาหารด้วยกัน แล้วพาไปส่งที่ประตูบ้าน…แค่ปากประตูเท่านั้นจริงๆ ไม่มีใครเลยที่ได้รับเชิญให้ล่วงล้ำเข้าไปสู่ห้องรับแขกของบ้านพินทุวดี วงศ์ยโสธร ได้ และที่แน่นอนที่สุดก็คือไม่มีใครอีกเหมือนกันที่ได้รับเกียรติให้ก้าวเข้าไปนั่งในห้องหัวใจของหล่อนผู้ไม่มีใครอ่านออกผู้นั้น ทั้งหมดนี้ยิ่งยั่วยุผู้ชายต่างวัยต่างวุฒิให้กลุ้มรุมหมายปองจะพิชิตใจให้ได้ รวมทั้งสถาพร ไพสิฐกุล ด้วย ซึ่งความเอาจริงเอาจังของเขาทำให้เพื่อนเกลอทั้งหลายเป็นห่วงอยู่ครามครัน

“เฮ้ย! เดี๋ยว ไอ้พร นั่นคุณภาของเอ็งนี่ มากับใครเล่าหวา อ้าว นั่นไอ้เทพนี่โว้ย”

ไวฑูรย์เอะอะลั่น ชี้มือไปยังรถคันหนึ่งซึ่งมาจอดรอไฟแดงอยู่เยื้องๆ กัน สถาพรชะโงกหน้าไปดูพร้อมๆ กับหญิงสาวในรถคันนั้นเหลียวมาเห็นเข้า ดวงหน้าอันจิ้มลิ้มพริ้มเพราจึงแจ่มใสขึ้นในทันใด

“ว่าไงจ๊ะ ภา อ้อ นั่นไอ้เทพมาด้วยเร้อ จะไปไหนกันล่ะ”

สถาพรร้องทัก บุรุษหนุ่มในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหันมาโบกมือ

“เอ็งล่ะ ไปไหนกัน”

“จะไปกินข้าวร้านเป็ดย่างตรงนี้แหละ ไปด้วยกันไหม ถ้าไปก็ตามมานะโว้ย”

ว่าพลางก็เข้าเกียร์โดยแรงพารถกระตุกพรวดออกไปจากที่นั้นในทันทีที่สัญญาณไฟเขียวเริ่มขึ้น ไวฑูรย์หันมามองหน้า

“เห็นเขามาด้วยกัน หึงหรือวะ”

สถาพรไม่ตอบ แต่หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นบอกให้รู้ว่า อารมณ์ไม่ดีนัก

“เอ็งจะเอายังไงกันหือ ไหนว่าไม่รัก แล้วทำไมต้องหึงด้วย หมาในรางหญ้านี่มึงน่ะ”

“เฉยเหอะ”

สถาพรพูดเหมือนคำราม เลี้ยวรถพรืดเข้าไปภัตตาคารข้างทางโดยเร็ว จอดอย่างกระแทกกระทั้นแล้วเปิดประตูรถลงมาพร้อมๆ กับที่รถอีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาขนาบข้างและหญิงสาวในรถรีบเปิดประตูลงมาอย่างรวดเร็ว

“พรไปไหนมาคะ ภาโทรหาตั้งหลายหน ที่บ้านบอกว่าพรออกมาตั้งแต่เช้า ภาเลยไปหาคุณทัดเทพ…อ้อ สวัสดีค่ะ คุณฑูรย์ แหมวันนี้เจอพร้อมหน้าพร้อมตากันดีจริง”

ไวฑูรย์ตรงเข้ามาหยุดยืนข้างหญิงสาว นัยน์ตาที่ทอดมองดวงหน้าของหล่อนมีแววอ่อนโยนระคนนิยมชมชื่น

“คุณรู้ไหมว่าคอผมจะหักตายเสียแล้ว เพราะไอ้พรมันกระชากรถตอนที่เห็นคุณกับไอ้เทพเข้า”

เสาวภาพรรณหัวเราะ นัยน์ตาที่เหลือบแลทางสถาพรมีแววหวานฉ่ำอย่างซ่อนไม่มิด

“เข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาว คุณทัดเทพคงหิว หน้ามุ่ยแล้วค่ะ ท่าจะขับรถเหนื่อย”

ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี ก้าวลงมาสมทบกับเพื่อนเกลอ ร่างสูงของเขาผึ่งผายเป็นสง่าอยู่ในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันกระชับรูปทรงนั้น

“มีคนสวยๆ นั่งมาด้วยงี้ ขับทั้งวันก็ไม่เหนื่อยครับ”

ไวฑูรย์หันไปยักคิ้วกับสหายที่มาด้วยกัน

“ฟัง ฟังมัน ไอ้พร มันจีบแฟนเอ็งต่อหน้าต่อตาเลยว่ะ”

สถาพรยิ้มอย่างแค่นๆ หันไปคว้าแขนหญิงสาวพาเดินลิ่วเข้าไปในร้านทันที ไวฑูรย์หันไปบอกทัดเทพอย่างขบขัน

“อารมณ์มันบูดว่ะ ตะกี้เจอคุณพินทุวดี เขาไม่เปิดโอกาสให้มันตื๊อ มันเลยโมโหเต่า”

ทัดเทพหัวเราะหึๆ รีบสาวเท้าตามเพื่อนเข้าไป ไวฑูรย์จึงต้องหยุดพูดแล้วตามไปบ้าง

ทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะมุมห้อง สถาพรสั่งอาหารให้หญิงสาวพร้อมกับเบียร์ให้ตัวเองและเพื่อนเกลอ เมื่อทุกคนสั่งสิ่งที่ต้องการครบแล้วเสาวภาพรรณก็เอ่ยขึ้น

“ภาว่าจะชวนพรไปแจ้งความเช้าวันนี้ค่ะ ติดต่อไปทีไรพรไม่อยู่บ้านสักที เลยต้องไปเอง”

สถาพรเลิกคิ้วอย่างฉงน “แจ้งความ มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

เสาวภาพรรณยิ้มน้อยๆ เห็นฟันซี่เล็กๆ ขาวเป็นเงารับกับริมฝีปากอันบอบบาง ไวฑูรย์มองดูเพลินจนลืมแก้วเบียร์ตรงหน้า

“ภาเองน่ะไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ แต่เพื่อนของภามี พี่เต๋าพี่ชายของเพื่อนภาหายไปจากบ้านหลายวันแล้วเที่ยวถามหาตามบ้านเพื่อนก็ไม่เจอ เลยต้องมาแจ้งความ เพื่อนของภาชื่อมณฑินีน่ะค่ะ พรคงจำได้ ก็ไอ้ต้อยนั่นแหละ”

“จำไม่ได้หรอกจ้ะ เขาอยู่ในท้องที่เจ้าเทพมันหรือ”

“ค่ะ ต้อยรู้ว่าภารู้จักคุณเทพดีก็เลยชวนไปหา เสร็จแล้วคุณเทพก็พาต้อยไปส่ง แล้วชวนภามาทานข้าวนี่แหละค่ะ”

“เอ๊ะ หมู่นี้รู้สึกว่ามีเรื่องคนหายบ่อยจังนะ นี่เป็นรายที่สองหรือที่สามแล้วที่เข้าหู”

สถาพรว่าพลางหันไปทางทัดเทพ

“เอ็งว่าไงวะ โปลิศหญ่าย”

ร.ต.ท.ทัดเทพยักไหล่ “ไม่รู้จะว่าไงว่ะ คลำหาปมกันไม่เจอ มีอยู่รายนึงพบแล้วมีแต่ตัว เลือดกับหัวใจไม่มีอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละ”

“หา” ไวฑูรย์อุทานหน้าตื่น

“ถึงงั้นเชียวเรอะ ได้ตัวผู้ร้ายไหมวะ”

“ยังจับมือใครดมไม่ได้เลย อะไร เอ็งไม่รู้เรื่องหรอกหรือวะ หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวจนจะกลายเป็นเรื่องเคานต์แดร็กคิวลาไปเสียแล้ว ศพที่พบก็อยู่ในซอยใกล้บ้านเอ็งนั่นแหละ”

“เรอะ นานเท่าไหร่แล้ววะ ข้าไม่รู้เรื่องเลย ก็เพิ่งออกจากป่ามาไม่กี่วันนี่นา ยังไม่ทันได้คุยกับใครด้วยซ้ำ”

“เออ ลืมไปว่าเอ็งมันเป็นคนดง หากินกับซากอิฐหินโบราณ…ตำรวจเองยังไม่รู้เลยว่าฆาตกรมันมีความมุ่งหมายอะไร ทรัพย์สินมีค่าในตัวมันไม่แตะเลย จะว่าฆ่าล้างแค้นก็ไม่ใช่ คนตายไม่มีศัตรูที่ไหน เป็นคนมีความรู้และฐานะดีด้วย”

เสาวภาพรรณหน้าสลด “ภากลัวว่าพี่เต๋าของไอ้ต้อยจะเป็นยังงั้นจังค่ะ”

“ใจเย็นๆ น่า ภา” สถาพรปลอบ

“เชื่อมือไอ้เทพมันเถอะ รับรองว่ามันต้องสืบให้ได้ตัวพี่เต๋าคนนั้นคืนภายในสามปีเป็นอย่างเร็ว”

“ไหน เอ็งลองเล่าให้ฟังหน่อยซิเทพ ข้าไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ผ่าวะ มัวแต่ไปตะลุยอีสานอยู่ตั้งเกือบสองเดือน กลับมาได้สองวันยังนอนไม่เต็มอิ่ม ไอ้พรก็ไปลากตัวออกมานี่แหละ”

ไวฑูรย์ว่ากับทัดเทพอย่างสนใจ

นายร้อยตำรวจหนุ่มจุดบุหรี่สูบ พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่คนหายไปสองคนเป็นหนุ่มสังคมชื่อดังทั้งคู่ถึงได้เป็นข่าวไงล่ะ คนแรกหายไปเมื่อสองเดือนก่อน คนหลังเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง คนแรกน่ะพบศพทิ้งอยู่ในซอยเปลี่ยวแถวๆ บ้านเอ็งนั่นแหละ มีรอยกัดทึ้งอย่างทารุณ เนื้อหนังหลุดหายไปหมดรวมทั้งหัวใจด้วย เลือดไม่มีอยู่ในตัวสักหยด ที่แปลกก็คือ รอยกัดนั้นเป็นฟันสัตว์ที่แปลกมากว่ะ มันเล็กแล้วก็ถี่ยิบ คมกริบเหมือนใบมีดโกน พวกตำรวจยังคลำต้นตอไม่พบเลย เฮ้ย ข้าว่าเราอย่าคุยเรื่องนี้เลยวะ คุณภาจะแย่แล้ว หน้าซีดเชียว”

ทุกคนหันไปมองหญิงสาวผู้นั้นเป็นตาเดียว เสาวภาพรรณมีใบหน้าซีดเผือด หล่อนยิ้มอย่างฝืนๆ พลางพูดเสียงเบาหวิว

“ภาไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นห่วงแต่พี่เต๋าเท่านั้น ถ้ากลายเป็นศพทุเรศทุรังไปอย่างคุณเทพเล่า ต้อยมันคงแย่เลยค่ะ มีพี่ชายอยู่คนเดียว”

“อยู่ๆ ก็หายไปจากบ้านเลยหรือครับ” ไวฑูรย์ถาม

“ต้อยเองก็ไม่ทราบว่าพี่เต๋าหายไปไหนค่ะ แต่มีคนเห็นบอกว่าคืนที่หายไปนั่นน่ะ นั่งรถไปกับคุณพินทุวดีดาวสังคมที่กำลังดังนั่นแหละค่ะ”

คำตอบของหญิงสาวทำให้ทุกคนเงียบไป แล้วทัดเทพจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ กับเพื่อนเกลอ

“นี่ก็แปลกเหมือนกันว่ะ ผู้ชายที่หายไปทั้งสองคนนี้ ล้วนแต่เป็นคนที่ไปติดพันผู้หญิงที่ชื่อพินทุวดีด้วยกันทั้งนั้นเลย…!”

 



Don`t copy text!