อมฤตาลัย ตอนที่ 20

อมฤตาลัย ตอนที่ 20

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

เสียงประตูห้องเปิดเบาๆ ขัดจังหวะการสนทนา ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ร่างบอบบางอรชรที่ประคองถาดเงินใบเขื่องวางแก้วทรงสูง ๓ ใบ บรรจุน้ำสีเหลืองสดมีเกล็ดน้ำแข็งจับเป็นฝ้าเข้ามานั้นทำให้ห้องทั้งห้องดูสว่างไสวขึ้นทันที เสื้อสียอดตองและผ้าซิ่นฝ้ายสีน้ำตาลมีเชิงสีเหลืองเขียวตองและแสดสลับกันนั้น ขับผิวเนื้อนวลละไมให้ดูผุดผ่องยิ่งขึ้น ร.ต.ท.ทัดเทพจะลุกขึ้นประคองด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า ดวงตาที่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยแววยินดีปรีดาจนหมอสโรชพันธุ์สังเกตเห็น หากดวงหน้าหวานแกมเศร้าของหญิงสาวผู้นั้นค่อนข้างเฉยเมย ดวงตามองผ่านทัดเทพและเลยไปยังนายแพทย์หนุ่มด้วยแววปึ่งชาเล็กน้อย ผู้หมวดหนุ่มหน้าเสียลงทันที

“น้ำส้มค่ะ”

เสียงหวานใสบอกเบาๆ ขณะที่โน้มตัวลงวางถาดบนโต๊ะ และหยิบแก้วน้ำส้มออกวางให้แต่ละคน ทัดเทพรีบยื่นมือออกไปรับพร้อมกับคำขอบใจ มือต่อมือกระทบกันนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบชักมือออกห่างโดยเร็วเหมือนถูกไฟ คว้าถาดได้ก็ลุกขึ้นเดินแน่วออกไปจากห้องไม่ยอมเหลียวหลัง

“เชิญซิคะ” เสียงเรียบๆ ของเจ้าของบ้านบอกมา นัยน์ตาที่มองทัดเทพคมปลาบด้วยแววเชือดเฉือน

“น้ำส้มสด บัวคั้นเอง คุณทัดเทพคงถูกใจเป็นพิเศษ”

ผู้หมวดหนุ่มหัวเราะเก้อๆ รีบกล่าวกลบเกลื่อนโดยเร็ว

“ใครคั้นก็ถูกใจทั้งนั้นแหละครับ เพราะผมชอบส้มคั้นอยู่แล้ว อยู่บ้านคุณแม่ต้องทำไว้ให้ประจำไม่ขาดเลย”

“คุณแม่เจ้าเทพใจดีที่สุดในโลกเลยครับคุณพินทุวดี รู้ว่าลูกชอบอะไรละก็ต้องไปเสาะแสวงหามาจนได้ แถมยังเผื่อแผ่มาถึงเพื่อนของลูกด้วย ผมจากไปนานตั้งหกปี กลับมาถึงพอไปกราบเยี่ยม ท่านยังจำได้ว่าผมชอบกินแกงบอน อุตส่าห์แกงให้ทานด้วยแน่ะ”

“น่าอิจฉานะคะ ตรงข้ามกับฉัน มีพ่อก็เหลิงอำนาจและลำเอียงรักน้องจนออกนอกหน้า แม่ก็ไม่สนใจไยดีอะไรนอกจากฉลององค์ชุดใหม่…เอ้อ ฉันหมายถึงตอนแม่ยังสาวๆ น่ะค่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครแล้ว อยู่ตัวคนเดียวจริงๆ กับแม่ที่แก่จนหลงอีกคนเท่านั้น”

“อาจเป็นเพราะคุณแม่ของผมยังไม่แก่ก็ได้ครับ อายุอานามเพิ่งห้าสิบ ก็เลยยังทำอะไรคล่องแคล่วดีอยู่”

“หรือคะ คุณทัดเทพคงเป็นลูกชายคนเดียว”

“เขาละ ลูกคนเดียวทายาทกองมรดกมหึมาเชียวละครับ สาวๆ ถึงได้จ้องตาเป็นมันกันนัก ถึงผมเพิ่งกลับได้สามเดือน แต่กิตติศัพท์ของเจ้านี่เข้าหูจนรับฟังไม่หวาดไม่ไหวเลยเชียว”

ทัดเทพถลึงตาเข้าใส่เพื่อนเกลอ หมอสโรชพันธุ์จึงหุบปาก พินทุวดียิ้มเย็นๆ เสียงที่พูดเรียบเรื่อยแต่แฝงริ้วรอยประหลาดไว้ภายใน

“คงจะจริงของคุณหมอละมังคะ เพราะเมื่อวันก่อนก็มีสาวคนนึงบุกมาหาฉันถึงบ้าน และนี่เองคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณทัดเทพต้องแล่นมาถึงนี่ในวันนี้”

“สาวที่ว่านั่นคืออลิศราใช่ไหมครับ ผมทราบแล้วละ”

เจ้าของบ้านผู้ทรงเสน่ห์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“คุณหมอก็ทราบด้วยหรือคะ แล้วทราบอีกหรือเปล่าว่า คุณอลิศราเกิดคลั่งยังไงก็ไม่รู้ ร้องว่าเห็นเสือเห็นสางให้วุ่นไป ที่แท้ก็กุเลนน่ะค่ะ ยังไม่ทันพูดกันให้รู้เรื่องก็วิ่งออกจากบ้านเปิดเปิงไปเลย”

“ครับ เพราะงั้นแหละ เจ้าเทพถึงได้ชวนผมไปดูอาการเธอ สงสัยว่าจะเป็นเพราะประสาทหลอนมากกว่า ตะกี้คุณพินทุวดีว่าที่แท้ก็กุเลนน่ะ อะไรกันครับ”

“อ๋อ แมวของฉันเองค่ะ ตัวมันดำ คุณอลิศราจึงเห็นเป็นเสือดำไปเลย”

ว่าพลางพินทุวดีก็หันไปทางม่านผืนใหญ่มุมห้องส่งเสียงเรียกชื่อกุเลน ๒-๓ ครั้ง แมวดำตัวใหญ่ถนัดใจก็วิ่งออกมาจากหลังม่านมา มันตรงเข้าเคล้าแข้งเคล้าขาประจบนายสาวอย่างแสนรู้ทันที พร้อมกับร้องเสียงต่ำๆ อยู่ในคอ

“โอ้โฮ แมวหรือครับนั่น ผมนึกว่าลูกหมาอัลเซเชียนเสียอีก”

หมอสโรชพันธุ์ว่า มองดูเจ้ากุเลนอย่างทึ่งนิดๆ

“นั่นแน่ะ สวมสร้อยคอเพชรเสียด้วย ยังกะแมวไดมอนด์อาร์ฟอร์เอฟเวอร์ของเอียน เฟลมมิ่งยังงั้นแหละ”

พินทุวดีก้มลงลูบปลอกคอประดับเพชรรอบคอล่ำสันของแมวดำเบาๆ

“เพชรตาแมวไงล่ะคะ ของเก่าและหายากมาก แมวตั้งพันตั้งหมื่นจะมีเพชรตาแมวเพียงตัวเดียว รอบคอเจ้ากุเลนนี่มีถึงสิบเม็ดเชียวนะคะ คิดดูเถอะว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะเสาะหามาได้”

“โอ้โฮ ถ้าเป็นผมคงเอามันไปซ่อนไว้ในธนาคารมากกว่าเอามาสวมให้แมว คุณพินทุวดีไม่กลัวใครมาลักตัวเจ้าแมวตัวนี้ไปเสียหรือครับ”

เจ้าของแมวเงยหน้าขึ้นยิ้ม ดูงามละมุนตาก็จริง แต่ทัดเทพไม่ชอบเอาเสียเลย เขารู้สึกว่ามีแววประหลาดเร้นลับแฝงอยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม

“ใครล่ะคะ จะกล้ามาลักเอามันไปจากบ้านของฉัน”

กระแสเสียงที่แสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่นั้น ทำให้นายแพทย์หนุ่มมองหน้า พินทุวดีจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อไป

“ฉันหมายความว่า ‘กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก’ อย่างบ้านฉันนี่จะมีผู้ร้ายเข้ามาได้หรือคะ…เอ้อ เราอย่าคุยเรื่องแมวเลยนะคะ คุณอลิศราสำคัญกว่าเป็นกอง อย่างน้อยก็สำคัญที่สุดสำหรับคุณทัดเทพละ…ฉันหนักใจเหมือนกันค่ะที่เธอเข้ามาไม่สบายในบ้านฉัน เดี๋ยวคุณทัดเทพจะเข้าใจผิดไปว่า ฉันทำอะไรเธอเข้า”

“โธ่ คุณพินทุวดีคิดอะไรยังงั้นก็ไม่รู้ ผมไม่ได้มาที่นี่ด้วยเรื่องนั้นสักหน่อย บอกแล้วว่าผ่านมาก็แวะเข้ามาคุยเท่านั้นเองครับ”

“ก็เถอะค่ะ ตำรวจมีนิสัยช่างสงสัยทุกคนแหละ พนันกันก็ได้ว่าในใจคุณต้องสงสัยฉันแน่ๆ ว่าเป็นตัวการ แต่เปล่าจริงๆ นะคะ ฉันกำลังเดินลงบันไดมาก็ได้ยินเสียงเธอร้องกรีดกราดอยู่ในห้องนี้ พอวิ่งเข้ามาดู เธอก็บอกว่าเห็นเสือดำตัวใหญ่อยู่หลังเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่นี่แหละ ฉันเข้าไปดู พุทโธ่! ก็กุเลนนั่นเองค่ะ แถมเธอบอกว่าเห็นเศียรอนันตนาคราชเคลื่อนไหวได้ ตรงนี้น่ะซีที่ฉันเข้าใจว่าคุณอลิศราคงไม่ค่อยสบายนัก ยังไม่ทันซักไซ้อะไร เธอก็วิ่งไปขับรถออกจากบ้านไป”

“ผมไม่ติดใจสงสัยอะไรหรอกครับ คุณพินทุวดี อย่าคิดมากไปเลย ผมมอบหมายให้หมอของเราคนนี้ดูแลเธอแล้ว เชื่อว่าคงดีขึ้นในเร็วๆ นี้แหละครับ อลิศราคงเคร่งเครียดมากไปทั้งๆ ที่อาชีพของเธอไม่น่าจะต้องเคร่งเครียดเลย”

“ไม่จริงหรอกค่ะ อาชีพนางแบบเหนื่อยไม่ใช่เล่นทีเดียว ฉันหมายถึงนางแบบอาชีพนะคะ”

“งั้นหรือครับ เอ้อ…รูปงูที่ไหนนะครับที่อลิศราเห็นเป็นตุเป็นตะไปน่ะ”

พินทุวดีชี้มือไปทางศิลาสลักรูปพญาอนันตนาคราชเจ็ดเศียรที่ริมเสากลางห้อง

“นั่นไงคะ คุณหมอลองไปพิจารณาดูก็ได้ว่า มันเป็นหินแท้ๆ ได้มาจากเชิงบันไดปราสาทหินโบราณแห่งหนึ่งในเขมรน่ะค่ะ”

ทัดเทพและนายแพทย์หนุ่มลุกขึ้นเดินไปพิจารณาดูแล้วก็กลับมานั่งที่เดิม

“ครับ เป็นรูปสลักหินธรรมดานี่เอง แต่ขอโทษเถอะครับ ผมไม่มีความรู้ในทางนี้เลย ดูให้ตายก็มองไม่เห็นความงาม ไม่เหมือนเจ้าฑูรย์มันหรอกครับ ขานั้นฝากชีวิตไว้กับของโบราณเลยทีเดียว อิฐโบราณแผ่นเดียวก็มีค่ายังกะทองสำหรับมัน”

นายแพทย์เชื้อพระวงศ์พูดยิ้มๆ  แต่สีหน้าของเจ้าของบ้านสาวไม่ยิ้มเลยเมื่อกล่าวตอบเรียบๆ

“ค่ะ ไวฑูรย์เป็นนักโบราณคดีเต็มตัว วันแรกที่เขาเข้ามาในห้องนี้ เขาตื่นเต้นเสียจนอดขันไม่ได้เลยค่ะ”

“ตอนนี้มันได้รูปสลักมาใหม่อีกอันหนึ่งครับ เห็นตื่นเต้นจะเป็นจะตาย เอามาคุ้ยฟุ้งให้เทพฟังทั้งคืนเลย”

ทัดเทพยื่นเท้าลอดใต้โต๊ะไปเตะหน้าแข้งจิตแพทย์ค่อนข้างแรง คุณหมอจึงรีบหุบปาก ทำหน้าเหยเก…แต่สายเกินไปเสียแล้ว พินทุวดีเบิกตาขึ้นอย่างสนใจเต็มที่ เสียงที่ถามเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“รูปสลักหรือคะ เป็นรูปลอยตัวหรือรูปสลักนูนต่ำคะ”

คุณหมอยกมือเกาศีรษะอย่างไม่รู้เรื่อง ในขณะที่ทัดเทพทำหน้าเซ่อ

“เอ…ผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าเป็นยังไงแน่ เพราะไม่ได้เห็นกับตา เห็นเจ้าฑูรย์เขาว่าเป็นของเก่า ผมก็อือๆ
ออๆ ไปยังงั้น ไม่ได้สนใจฟังมันเท่าไหร่”

“คงเป็นของสมัยอมฤตาลัยอีกกระมังคะ ไวฑูรย์เขาหลงเมืองนั้นยังกะอะไรดี”

พินทุวดีพูดเบาๆ ลึกลงไปในดวงตามีแววกระหายใคร่รู้เต็มที่

“ไม่เห็นพูดยังงั้นนี่ครับ บอกแต่ว่าเป็นของเก่ายังไม่ทราบอายุเท่านั้น มันฝากให้บอกคุณว่า เห็นจะต้องขอเวลาดูเกียรติมุขให้นานหน่อย เพราะต้องรีบพิจารณารูปสลักอันนี้ก่อน”

“ค่ะ ช่วยบอกเขาด้วยว่าเชิญตามสบาย”

ทัดเทพก้มลงมองดูนาฬิกา แล้วหันไปมองหน้าเพื่อน เจ้าของบ้านจึงเอ่ยขึ้นทันที

“จะรีบไปไหนหรือคะ กำลังคุยสนุกเชียว”

“หมอจะรีบไปดูตึกที่เซ้งทำคลินิกครับ วันหน้าผมจะมาใหม่ ลาก่อนนะครับ”

ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี เดินลงบันไดไปอย่างอาวรณ์ ซึ่งสังเกตได้จากอาการเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนมองหาใครคนหนึ่ง เมื่อไม่พบก็ทำท่าผิดหวังเดินคอตกไปที่รถโดยไม่พูดจา ไม่เหลียวหลังไปทางพินทุวดีซึ่งเดินตามออกมาส่งที่หัวบันไดเลย

“เฮ้ย ไอ้เสือ ทำท่าให้ดีๆ หน่อยโว้ย เจ้าของบ้านเขาจับตาดูอยู่ หันไปยิ้มหน่อยซี อย่าให้เสียกำลังใจ”

ทัดเทพทำตาเขียว แต่ก็หันไปทางเบื้องหลัง โบกมือและยิ้มให้เจ้าของบ้านสาวผู้ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือบันไดหินอ่อน แล้วคุณหมอก็สตาร์ตรถออกจากที่นั่นอย่างช้าๆ

ที่หน้าบานประตูเหล็ก นายชินก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างกอมะลิกอใหญ่เพื่อเตรียมเปิดประตูให้แก่สองหนุ่ม ทัดเทพบอกให้เพื่อนชะลอรถลงข้างชายวัยกลางคนนั้น ยื่นหน้าออกไปพูดด้วยเสียงกระซิบว่า

“ช่วยบอกคุณสโรชินีด้วยว่าที่เธอเข้าใจนั่นน่ะ ผิดหมด วันหลังผมจะอธิบายให้เข้าใจเอง”

“อะไรนะครับ”

นายชินทำหน้างงจัด มองดูชายหนุ่มอย่างสงสัย ทัดเทพก็ยิ้มให้อย่างอารมณ์ดีเป็นครั้งแรกของวันนั้น

“กรุณาบอกบุตรสาวตามนี้ก็แล้วกัน แล้วคุณสโรชินีก็จะทราบเองแหละ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอกครับ ถามเธอดูก็ได้ เอาละขอบคุณมากที่ช่วยเปิดประตู”

เปอร์โยของหมอสโรชพันธุ์แล่นผ่านประตูบ้านออกไปแล้ว นายแพทย์เชื้อพระวงศ์จึงหันมาทางสหาย

“อือ…เอ็งนี่ยอดเลยว่ะไอ้เทพ ทีแรกนึกว่าเอ็งชอบคุณพินทุวดี พอเห็นสโรชินีเข้า ถึงได้รู้ว่าเอ็งชอบใครกันแน่ตาแหลมไม่เบาเลยนิ แต่ถ้าเป็นข้าคงเลือกยากพิลึกว่ะ สวยคนละแบบจนไม่รู้จะเลือกใครดี”

“ไอ้บ้า พูดยังกะเลือกผักเลือกปลา เขาเป็นคนดีทั้งคู่นะโว้ย ไม่ใช่สินค้าที่เสนอเข้ามาให้เลือก”

“ก็ใครจะไปว่าอะไรเล่า ข้าเพียงแต่บอกว่า ถ้าให้เลือกระหว่างสองคนนี่เห็นจะเลือกยาก ว่าแต่ทำไมเอ็งไม่ชอบคุณพินทุวดีวะ”

“ก็ทำไมจะต้องชอบด้วยล่ะ”

“เอ๊า ยวนซะด้วยแน่ะ ก็เขาสวยสง่ายังกะนางพญาสมกับเอ็งเหมือนเหล้าสกอตช์กับขวดเจียระไนยังไงยังงั้นเชียว”

“เคยได้ยินอะไรยังงี้ไหมวะ ‘พี่รักนุชนาฏด้วย เห็นใจ จริงแฮ ใช่รักรูปวิไล เลิศล้ำ’ นั้นน่ะ”

“เอ็งริอ่านเจ้าบทเจ้ากลอนอย่างไอ้ฑูรย์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ตอนพบคุณสโรชินีนี่ละมั้ง”

ทัดเทพนิ่งอย่างคร้านจะต่อปากคำ แต่ดวงตาที่เป็นประกายและสีหน้าที่ผิดปกติไปนั้น บอกให้จิตแพทย์รู้ถึงความในใจเขาได้ดี

“ว่าไปแล้ว เธอสวยน่ารักเป็นบ้าเลยนะ คุณสโรชินีของเอ็งน่ะ เหมือนใครดีน้อ…เออ…คล้าย บาร์บารา ปาร์กินส์ นิดๆ เหมือนซูซาน พรีเชตต์หน่อยๆ เอ็งว่าว่ายังงั้นไหมวะ”

“เอ้า ว่าเข้าไปนั่น แล้วคุณพินทุวดีล่ะ เอ็งเห็นเป็นไง”

“เหมือนงูว่ะ” หมอสโรชพันธุ์ตอบทันที พลางกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ

“ข้ารู้สึกเหมือนๆ ไอ้ฑูรย์มันแหละ คือเห็นแล้วแหยงไม่กล้าเข้าใกล้ ลักษณะของเธอมีอะไรบางอย่างชวนให้นึกถึงงูพิษหรืออันตรายอยู่ร่ำไป เคลื่อนไหวเนิบช้ามีสง่านุ่มนวล แต่เอาตายเลยทีเดียว ถ้าพูดถึงความสวยแล้ว ข้าว่าคงเป็นแบบเดียวกับพระนางชีบานั่นแหละ เป็นประเภทสวยด้วย มีเสน่ห์ร้อนแรงด้วย”

“ไอ้ฑูรย์มันว่าเหมือนนางอัปสรขอมอย่างชนิดที่สลักไว้ตามปราสาทหินนั่นน่ะ”

“ก็ไอ้ฑูรย์มันอยู่กับอิฐหินนี่หว่า เลยไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี เออเพิ่งนึกได้ เมื่อคืนไอ้ฑูรย์มันว่ารูปสลักที่ได้มานั่น หน้าเหมือนพินทุวดีไม่ใช่หรือ ข้าชักอยากเห็นซะแล้วซี ไปหามันเถอะ ไหนๆ ก็ไปทำงานไม่ทันแล้ว เกสักวันเถอะวะเทพ”

“ไม่ได้โว้ย งานข้าไม่เหมือนงานเอ็ง”

“น่า ร้อยเวร สิบเวร สารวัตรอะไรๆ ของเอ็งก็อยู่เต็มโรงพัก หลบสักวันเถอะวะ ตั้งแต่ทำงานมาเอ็งไม่เคยโดดร่มเลยไม่ใช่หรือ”

“เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าข้าถูกไล่ออกละก็ เอ็งต้องจ่ายเงินเดือนให้จนกว่าจะหางานได้นะโว้ย”

“เออ จะให้เป็นภารโรงที่คลินิกของข้า”

เปอร์โยคันนั้นแล่นตรงไปยังที่ทำงานของไวฑูรย์ สองสหายใช้เวลาเกือบสิบนาทีนั่งรอนักโบราณคดีหนุ่มอยู่หน้าที่ทำงานของเขา ไวฑูรย์จึงเดินหน้ายุ่งออกมา

“ไงโว้ย รอข้านานไหม”

“มัวทำอะไรอยู่วะรอตั้งชั่วโมง”

“ไอ้บ้า รอสิบนาทีเท่านั้นข้ารู้ มีอะไรหรือเปล่าวะ เอ็งคงไม่พิศวาสข้าถึงขนาดไม่เจอหน้าสักวันก็ต้องทะแร่ๆ ตามมาถึงที่ทำงานหรอกนะ เมื่อคืนก็เจอกันแล้ว”

“คุยกันรู้เรื่องเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อคืนนี้น่ะ เอ็งเล่นเมาแประพับไปก่อนใครๆ นี่หว่า เอ้านี่เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว ข้าให้เวลาเอ็งสิบนาที ไปทำอะไรๆ ให้เรียบร้อยแล้วออกไปด้วยกัน”

“ไปไหนวะ”

“เอาเหอะน่ะ ไปก็แล้วกัน อ้อเดี๋ยว ไอ้หมอมันอยากเห็นรูปสลักที่เอ็งคุยฟุ้งให้ฟังเมื่อคืน ยังอยู่หรือเปล่าล่ะ”

“อยู่ อยากดูเรอะ เดี๋ยวจะเอามาให้ดู”

“ไม่ต้องหรอก ยังไม่อยากดูเดี๋ยวนี้ เอ็งเอาติดตัวไปด้วยก็แล้วกัน ที่นี่มันเอิกเกริกนัก”

ไวฑูรย์หายเข้าไปในห้องทำงานสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระเป๋าเอกสารในมือ หมอสโรชพันธุ์เอ่ยขึ้นอย่างขันๆ

“ไปได้หรือยังล่ะ เจมส์ บอนด์”

“เออ ว่าแต่จะไปไหนกันวะ”

“เอาเหอะน่า มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังด้วย”

สามชายเดินคียงกันตรงไปยังรถของนายแพทย์หนุ่ม ไวฑูรย์เปิดประตูขึ้นไปนั่งตอนหลังอย่างรวดเร็ว ผู้หมวดหนุ่มใช้เวลาที่นั่งรถไปนั้นเล่าเรื่องการพบปะสนทนากับพินทุวดีในบ่ายวันนี้ให้ฟังโดยตลอด

“เพราะเอ็งทีเดียว ข้าถึงได้สนใจคุณพินทุวดี”

หมอสโรชพันธุ์เอี้ยวคอมาบอกเพื่อนเกลอผู้นิ่งฟังอยู่อย่างสนใจ

“พอพบตัวจริงข้าก็รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่ลึกลับไม่ใช่เล่น แถมดูเหมือนจะมีอำนาจพิเศษอยู่ในตัวด้วย และอีกอย่างหนึ่งหน้าตาของเธอข้าว่าไม่เหมือนคนในยุคใหม่นี้เลยว่ะ เอ็งว่างั้นไหม”

“ข้ารู้สึกยังงั้นมาตั้งแต่แรกพบแล้ว แต่ไม่มีใครคิดอย่างข้าสักคน พินทุวดีเหมือนคนโบราณมาก ถ้าเอ็งได้เห็นรูปสลักอายุพันปีที่ได้มาใหม่นี่แล้ว เอ็งจะต้องคิดเหมือนข้า”

“นั่นซี ถึงได้ตามมาขอดูวันนี้ไงล่ะ”

จิตแพทย์ตอบแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านของทัดเทพ นายตำรวจบอกโดยไม่หันหน้ามา

“วันนี้กินข้าวบ้านข้าเถอะวะ เบื่อร้านเจ๊กเต็มทนแล้ว ลองสีมือแม่ข้าสักมื้อ อร่อยกว่าเหลาอีก”

เก๋งคันงามจอดลงหน้าตึกอย่างนิ่มนวล ไวฑูรย์กับหมอสโรชพันธุ์รีบเปิดประตูลงมา เมื่อเห็นร่างค่อนข้างท้วมของสตรีวัยกลางคนเดินออกมาจากข้างใน

“สวัสดีครับ คุณแม่”

“สวัสดีจ้ะ วันนี้ปล่อยให้ลมหอบมาถึงนี่ได้ทั้งคู่เชียวนะลูก”

คุณหญิงศจีรับไหว้เพื่อนของบุตรชายพลางยิ้มอย่างใจดี สีหน้ามีแววพึงพอใจอย่างแท้จริงในการมาเยือนของสองหนุ่ม

“ทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม แม่จะสั่งแม่ครัวทำเพิ่ม”

ไวฑูรย์อุทานเสียงหลงอย่างเกรงใจ “ฝีมือคุณแม่ทำอะไรให้ทาน ผมก็ทานได้จุทั้งนั้นแหละครับ อย่าลำบากกับพวกผมเลย”

คุณหญิงมองหน้านักโบราณคดีหนุ่มอย่างเอ็นดู

“ไม่ลำบากอะไรหรอกจ้ะ ปกติแม่ก็ลงครัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว ของโปรดของพ่อฑูรย์น่ะแม่รู้ แกงคั่วสับปะรดกับเนื้อผัดพริกแซ่บๆ ใช่ไหมล่ะ แม่จะทำผัดพริกให้นะจ๊ะ ของพ่อหมอก็แกงบอนกับแกงส้ม แม่จะให้ยายอิ่มแกงส้มผักกาดให้ ของมีอยู่แล้วไม่ต้องออกไปหาซื้อเพิ่มเติม”

“แหม คุณแม่ละก็” หมอสโรชพันธุ์พูดกระดากๆ ตรงเข้าไปกอดเอวคุณแม่อย่างประจบ

“ผมมาทีไรพุงกางกลับไปทุกทีเลย จนชักเกรงใจแล้วละครับ ทีหลังไม่ต้องทำหรอกครับ อะไรๆ ผมก็ทานได้ทั้งนั้น”

“แต่ถ้าทำให้ทานมากๆ หลายๆ อย่างก็ดีใช่ไหม”

ทัดเทพดักคอ คุณหญิงศจีหัวเราะอย่างขันๆ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ ตาเทพมาบ้านแต่วันยังงี้แม่ก็ดีใจแล้ว ขอตัวนะจ๊ะ จะไปดูครัวก่อน วันนี้แม่ทำยำไข่ปลาดุกของโปรดให้เทพด้วยจ้ะ รอเดี๋ยวนะ จะเอามาให้แกล้มเหล้า”

คุณหญิงศจีเดินเข้าไปข้างในอย่างกระฉับกระเฉง ไวฑูรย์มองตามด้วยสายตาแสดงความเทิดทูนบูชา

“น่ารักที่สุดเลยนะคุณแม่ของเอ็งนี่ ไอ้เทพ ชักอิจฉาแล้วเว้ย ข้ามันคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ หัวเดียวกระเทียบลีบ เห็นครอบครัวใครอบอุ่นก็อดปลื้มใจแทนไม่ได้”

จิตแพทย์เชื้อพระวงศ์ยกมือขึ้นผลักหน้าเพื่อนเบาๆ

“อย่ายาหอมนักเลยวะ ไอ้ฑูรย์นั่งลงซะดีๆ แล้วเอารูปสลักที่ว่ามาดูหน่อยซิ”

ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้หวายสีสวยที่ตั้งอยู่บนเทอเรซอันร่มรื่น สาวใช้หน้าตาหมดจดเข็นรถเครื่องดื่มเข้ามาบริการโดยทั่วถึง ในขณะที่อีกคนหนึ่งประคองถาดบรรจุกับแกล้มอันมีไก่สามอย่าง มันทอด และข้าวเกรียบออกมาคุกเข่าลงจัดวางเรียงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย

“คุณหญิงให้มาเรียนว่า รอประเดี๋ยวจะมียำไข่ปลาดุกอีกอย่างหนึ่งค่ะ”

ทัดเทพพยักหน้าและโบกมือ สาวใช้วัยรุ่นจึงรีบหลบเข้าไปข้างในโดยเร็ว แต่ไม่วายที่จะชำเลืองปราดดูเพื่อนของเจ้าของบ้านทั้งสองคนแล้วลงความเห็นในใจว่า ‘หน้าตาดีทั้งคู่ เสียแต่ไม่ค่อยสนใจสาวๆ เสียมั่งเลย’

ทัดเทพแบมือออกไปทางนักโบราณคดี “ไหน ไอ้ฑูรย์ ขอดูหน่อยซีวะ รูปสลักของเอ็งน่ะ”

“วะ ทียังงี้ละก็เร่งยิกเชียวนะ”

ไวฑูรย์บ่นอุบ คว้ากระเป๋าเจมส์บอนด์ที่วางบนพื้นข้างเก้าอี้ขึ้นมาเปิด หยิบวัตถุอย่างหนึ่งซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลออกมาส่งให้

“เอ้า ดูเสีย”

ทัดเทพรับห่อมาแก้ออก หยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาดู พอเห็นถนัดสีหน้าเรียบเรื่อยนั้นก็เปลี่ยนไป เขาก้มลงพิจารณาดูมันอย่างใกล้ชิดสักครู่ แล้วเงยขึ้นมองหน้าเพื่อนเกลอ ทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ส่งแผ่นศิลาสลักนั้นผ่านไปให้ยังนายแพทย์หนุ่มผู้ชะเง้อคอมองอย่างสนใจอยู่แล้ว

“อ๊ะ นี่มันรูปผู้หญิงคนนั้นนี่” หมอสโรชพันธุ์อุทานเสียงลั่น ขยับแว่นเพ่งดูใกล้ชิดอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“หือ ไอ้ฑูรย์ รูปพินทุวดีเองนี่หว่า”

“ข้าบอกแล้วไงล่ะ” ไวฑูรย์พูดอย่างมีชัย ยกแก้วเหล้าขึ้นละเลียดจิบช้าๆ

“เอ็งดูเอาก็แล้วกัน เหมือนไหมวะ”

“เหมือนมากทีเดียว เพียงแต่ตัวจริงสวยกว่าเท่านั้น”

ทัดเทพพูดเบาๆ จิตแพทย์หนุ่มพลิกรูปสลักไปมาอย่างพิศวง

“เอ็งมีคำอธิบายอีกไหมวะ ฑูรย์” เขาถามอย่างกระตือรือร้น ดวงตาหลังแว่นสีขาวเป็นประกายอย่างสนใคร่รู้

ไวฑูรย์ยักไหล่เลียนแบบเพื่อนนายแพทย์จากเยอรมนี

“ข้าน่ะไม่มีหรอก แต่ดอกเตอร์ชไนเดอร์แกเชื่อเป็นมั่นเหมาะว่ารูปนี้เป็นชิ้นส่วนศิลาจำหลักจากซากเมืองอมฤตาลัยและผู้หญิงในรูปก็คือพันธุมเทวี ราชินีแห่งเมืองนั้น”

“ตกลงเชื่อกันแน่หรือว่า เมืองอมฤตาลัยมีจริง”

ทัดเทพถามเรียบๆ ไวฑูรย์ยักไหล่อีกครั้งพร้อมกับแบมือ

“ดอกเตอร์แกเชื่อข้อความในจารึกที่ได้มาอย่างแน่นแฟ้นนี่หว่า พวกข้ายังสงวนท่าทีอยู่ รอฟังคำแปลจารึกที่แอบไปถ่ายรูปมาเสียก่อน ถ้าจารึกนั้นมีใจความตรงกันก็ไม่มีปัญหา เมืองอมฤตาลัยมีอยู่จริงแน่ ที่น่าคิดต่อไปก็คือ เมืองอยู่ที่ไหน และพินทุวดีของเราไปได้จารึกล้ำค่าของเมืองนี้มาอย่างไร และทำไมเธอไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราเลย”

“คำตอบเหล่านั้นเอ็งคิดไว้ในใจแล้วนี่หว่า เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น”

ผู้หมวดหนุ่มแย้งขรึมๆ ไวฑูรย์ก็ยิ้มเฝื่อนๆ

“นั่นซี เรื่องมันพูดให้ใครฟังได้ที่ไหนล่ะ ต้องรอให้กาลเวลาและข้อเท็จจริงพิสูจน์ออกมาเอง ซึ่งถ้าหากเป็นไปอย่างที่ข้าคิด เอ็งจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงหรือวะ”

คราวนี้ ร.ต.ท.ทัดเทพเป็นฝ่ายยักไหล่บ้าง

“ใครจะไปรู้ อาจเชื่อก็ได้ถ้ามีประจักษ์พยานแก่ตา…ว่าแต่ข้ามีเรื่องไม่สู้ดีเล่าให้ฟังโว้ยไอ้ฑูรย์ ฟังให้ดีๆ อย่าเพิ่งชักตายเสียก่อนล่ะ เรื่องเจ้าช่วงนั่นแหละ มันตายเสียแล้วเมื่อคืนนี้ด้วยอาการพิกลอยู่ เป็นอันว่า พยานของเอ็งที่จะยืนยันเรื่องมนุษย์ค้างคาวมีอันเป็นไปพูดไม่ได้เสียแล้วละโว้ย ทีนี้เอ็งจะว่าไง”

 



Don`t copy text!