อมฤตาลัย ตอนที่ 4

อมฤตาลัย ตอนที่ 4

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้สัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

หญิงชราหลังคุ้มงอคนเดิมยืนอยู่ข้างประตูนั้น!

สถาพรค้อมตัวลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม เป็นการเรียกคะแนนนิยมไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไรหญิงชราท่าทางงกเงิ่นผู้นี้เป็นมารดาของสตรีที่เขาหลงใหลใฝ่ฝัน

“สวัสดีครับ คุณยาย”

หญิงชราไม่สนใจในคำทักทายชายหนุ่ม แกรีบเดินเข้าห้องมาหาเขาโดยเร็ว สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

“กลับไปเสีย พ่อหนุ่ม กลับไป…”

แกกระซิบเสียงสั่นเครือ ชี้มือเร่าๆ ไปทางประตูห้อง

“รีบไปเสียก่อนที่จะต้องเป็นเหมือนคนอื่นๆ เชื่อยายเถอะ… ‘เขา’ ไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อหนุ่มคิดว่า ‘เขา’ เป็น…ไปเสียเดี๋ยวนี้แหละ”

“คุณยายหมายถึงอะไรครับ”

สถาพรถามงงงัน หญิงชราเหลียวไปทางประตูห้องก่อนเอียงหน้าเข้ากระซิบด้วยเสียงเครือ

“หมายถึง ‘เขา’ นั่นแหละ พ่อหนุ่มอย่ามัวหลงรูปโฉมอยู่เลย ‘เขา’ ไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างที่คิดหรอกน่ะเร็วเข้าซิ รีบหนีไปก่อนที่จะสายเกินไป”

“ถ้าคุณยายหมายถึงคุณพินทุวดีละก็ ผมทราบดีครับว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาเป็นถึงเจ้าหญิงจากเขมร แต่ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องให้ผมไปเสียล่ะครับ”

สถาพรถามอย่างมืดแปดด้าน หญิงชราได้ฟังก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจนั่นหรอกพ่อหนุ่ม…ความรักมันทำให้หน้ามืดตามัวอย่างนี้แหละ เปล่า…ไม่ใช่ความรักหรอก พ่อคุณ มันเป็นความหลงต่างหาก หลงรักรูปโฉมของ ‘เขา’ …ก็แน่ละซิ เวลานี้ ‘เขา’ สวยเหลือเกินนี่ แต่อยากให้พ่อเห็นเวลานั้นนัก เวลาที่ ‘เขา’…โอ๊ย! ฉันเองยังทนดูแทบไม่ได้ ‘เขา’ โหดร้ายผิดมนุษย์มนา หน้าสวยๆ ของ ‘เขา’ กลายเป็น…อย่าเสียเวลาอยู่เลย พ่อหนุ่ม รีบไปเสียก่อนที่จะต้องลำบาก”

“คุณยายพูดถึงใครกันครับ ‘เขา’ น่ะใคร”

สถาพรร้องอย่างจนปัญญาออกมา หญิงชราจึงกระแทกเสียงอย่างขัดใจ

“ก็คนที่พ่อเรียก ‘เขา’ ว่าคุณพินทุวดีนั่นน่ะซิ”

“บุตรสาวคุณยายเองน่ะหรือครับ”

ชายหนุ่มร้องเสียงสูง นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ นึกในใจว่ามารดาของพินทุวดีแก่จนหลงเสียแล้วจึงพูดจาเลอะเทอะอย่างนี้…หญิงชรายกมือขึ้นแล้วทิ้งลงข้างกายอย่างแรงด้วยท่าทางโทมนัส

“‘เขา’ ไม่ใช่ลูกสาวของฉัน พ่อหนุ่ม ไม่ใช่…ฟังให้ดีนะ ‘เขา’ ไม่ใช่ลูก แต่ ‘เขา’ เป็นแม่ ได้ยินไหม ‘เขา’ เป็นแม่แล้วฉันนี่ต่างหากที่เป็นลูกสาวของ ‘เขา’”

เสียงประตูเปิดเบาๆ ดังขึ้นทางเบื้องหลังของคนทั้งสอง หญิงชราหลังคุ้มสะดุ้งขึ้นสุดตัว และโดยไม่หันไปมอง แกรีบลนลานตรงไปยังม่านผืนใหญ่มุมห้องแล้วผลุบเข้าไปเบื้องหลังอย่างลุกลี้ลุกลน

สถาพรหันมามองร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างตะลึงลานจนลืมคำพูดของหญิงชราในบัดดล พินทุวดีนั่นเอง หากหล่อนเปลี่ยนทรงผมใหม่จากแบบเกล้าเป็นช่อสูงมาเป็นแบบเรียบๆ ปล่อยสยายลงคลุมไหล่ทำให้ดูหน้านั้นดูงามไปอีกแบบหนึ่ง ชุดแม็กซี่อยู่กับบ้านหลวมๆ สีรุ้งระยับผ่าข้างขึ้นมาจนเกือบถึงแก้มสะโพกดูงามอย่างเย้ายวน ผิดจากพินทุวดีผู้วางสง่าปั้นปึ่งที่เขาเคยเห็นมา หญิงสาวเยื้องกรายเข้ามาหาอย่างแช่มช้า ดวงตาและรอยยิ้มที่ริมฝีปากมีแววประหลาดจนชายหนุ่มรู้สึกวูบในใจด้วยสังหรณ์อันบอกไม่ถูก

“คุณแม่ฉันพูดอะไรให้คุณรำคาญหรือเปล่าคะ สถาพร ท่านเป็นงั้นแหละ ชอบพูดอะไรเลอะเทอะให้แขกฟังเสียเรื่อย ท่านหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นลูกสาวของฉัน”

“ครับ ท่านก็พูดกับผมอย่างนั้นเหมือนกัน”

“คุณแม่แก่มากค่ะ อายุร่วมเก้าสิบแล้วมั้ง ความจำก็เลยหลงเลือนไปตามอายุด้วย”

“งั้นคุณแม่ก็อายุมากกว่าคุณหลายรอบนะซีครับ ราวๆ เจ็ดสิบปีทีเดียว”

ชายหนุ่มพูดอย่างประหลาดใจ มองดูดวงหน้าอันเปล่งปลั่งสดใสด้วยวัยสาวสะพรั่งอย่างไม่วางตา

พินทุวดียิ้มอย่างมีเลศนัยลึกลับ “งั้นรึ สถาพร คิดว่าฉันอายุสักเท่าไหร่ล่ะคะ”

“ยี่สิบสอง อย่างมากไม่เกินยี่สิบห้า เฉียดไหมครับ”

เจ้าของบ้านผู้เลอโฉมหัวเราะเสียงใสอย่างขบขัน

“แหม ดีใจจริงๆ ที่คุณเห็นฉันอายุแค่นั้น…ถ้าบอกว่าฉันแก่แล้วล่ะคะ จะเชื่อไหม”

“ถ้าคุณพินทุวดีจะแก่ก็คงเป็นทำนองเดียวกับพระนางอัชฌาเทวี สาวสองพันปีของเซอร์แฮกการ์ดนั่นแหละครับ อาบไฟทิพย์จนเป็นสาวสวยอยู่ถึงสองพันปี”

สถาพรตอบอย่างขันๆ พินทุวดีซ่อนยิ้ม หางตาที่ชำเลืองมาวาววามอย่างท้าทายระคนสนุก

“เผอิญฉันไม่ได้อ่านเรื่องนี้เสียด้วยจึงไม่รู้จักพระนางอัชฌาเทวี แต่ยังไงก็ไม่ถึงกับเป็นสาวสองพันปีหรอกน่ะ เพียงแค่เฉียดๆ ไปก็แล้วกัน สถาพรจะว่าไงคะ”

“โธ่ อย่าล้อเล่นน่า คุณทำผมทรงนี้ยิ่งดูยังกะสาวรุ่นๆ จริงๆ นะครับ สวยร่าเริงเหมือนโอลิเวีย ฮัสซีย์ แต่มีเสน่ห์ล้ำลึกยังกับลานา เทอร์เนอร์ ตอนสาวๆ ยังไงก็ยังงั้น”

“ถึงงั้นเชียว”

หญิงสาวอุทานเสียงสูงอย่างล้อเลียน นัยน์ตาพราวระยับรับกับกระแสเสียงนั้นอย่างกลมกลืน เต็มไปด้วยเสน่ห์อันลึกซึ้ง สถาพรมองดูด้วยความรู้สึกใคร่จะกลืนเข้าไว้ในอก

“มาเถอะค่ะ”

หล่อนยื่นมืออันเรียวงามนุ่มนิ่มและหอมกรุ่นมาให้เขา ซึ่งรับไปกุมไว้อย่างงงๆ เหมือนตกอยู่ในความฝัน

“ฉันจะพาคุณไปดูโบราณวัตถุที่สะสมไว้ในห้องใต้ดิน เชิญทางนี้ค่ะ”

เจ้าของบ้านสาวจูงมือชายหนุ่มผู้ก้าวตามอย่างงงงวยไปยังม่านที่มุมห้อง ยื่นมือไปทำท่าจะแหวกมันออก แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง

“ขอโทษค่ะ คุณผู้หญิงเรียกบัวหรือคะ”

ทั้งสองหันขวับไปทันที พินทุวดีมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อมองเห็นหน้าเจ้าของเสียงหวานใสนั้น ส่วนสถาพรเบิกตากว้างจ้องมองร่างนั้นอย่างตะลึงลานจนอ้าปากค้าง…

ตรงประตูห้องซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย ร่างบางระหงของสตรีนางหนึ่งยืนอยู่อย่างสำรวม เป็นสตรีที่สถาพรคิดว่า นอกจากพินทุวดีแล้วเขาไม่เคยเห็นใครงามน่ารักอย่างนี้มาก่อนเลย ดวงหน้ารีรูปไข่อันผุดผาดนั้นหวานแฉล้มสวยซึ้งจับใจ ผมดกดำสนิทเป็นมันขลับยาวสลวยลงมาถึงกึ่งกลางหลัง คิ้วโค้งเรียวอยู่เหนือดวงตาดำขลับงามซึ้งด้วยแววฝันระคนเศร้า จมูกโด่งและริมฝีปากบางละมุนสีสดโดยปราศจากเครื่องสำอาง ร่างระหงได้ส่วนสัดนั้นซ่อนอยู่ในชุดนอนยาวคลุมทับ
ด้วยเสื้อคลุมแพรเนื้อหนาสีเขียวโศกยาวจรดพื้น

“อะไรกัน บัว เข้ามาทำไมที่นี่”

กระแสเสียงของพินทุวดีห้วนกระด้าง นัยน์ตาที่จ้องมองหญิงสาวผู้เข้ามาใหม่เป็นประกายวาวอย่างไม่พอใจ

สถาพรเห็นดวงหน้างามนั้นเผือดลงทันทีอย่างกลัวเกรง หล่อนหลบตาลงต่ำ ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักแผ่วเบา

“เอ้อ เจ้าอุษาปลุกบัวค่ะ บอกว่าคุณต้องการพบ บัวก็รีบเข้ามา ไม่ทราบว่าคุณมีแขกเลยค่ะ”

“ฉันไม่มีอะไรจะใช้เราหรอก ก็รู้แล้วว่าแม่ป้ำๆ เป๋อๆ ยังทำโง่เชื่ออยู่ได้ ดึกดื่นอย่างนี้ฉันเคยเรียกใช้เราที่ไหนสักที ไปนอนเสียไป๊”

เสียงพินทุวดีค่อนข้างเคร่งและเฉียบขาด ดึงมือออกจากอุ้งมือของเขาค่อนข้างแรงพลางชี้ไปยังประตู หญิงสาวผู้นั้นก็รีบหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับงับประตูให้ปิดสนิทดังเดิม

เจ้าของบ้านสาวหันมาทางชายหนุ่ม ดวงหน้ายังไม่คลายริ้วรอยไม่พอใจ กล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

“สโรชินีน่ะค่ะ คนสนิทหรือเลขานุการของฉันเอง ฉันเรียกแกสั้นๆ ว่า บัว”

“เธออยู่กับคุณที่นี่ด้วยหรือครับ”

“ค่ะ พ่อแม่ของแกเป็นคนเก่าของฉัน นายชินคนขับรถนั่นไงคะพ่อของแก สถาพรติดใจหรือคะ ที่จริงบัวเป็นเด็กสวยไม่ใช่เล่น เสียแต่หัวอ่อนมากไปหน่อย แม่ฉันชอบหลอกอะไรเป็นตุเป็นตะให้หลงเชื่ออยู่เรื่อย”

“ไม่ได้ติดใจหรอกครับ โธ่พูดอะไรอย่างนั้น”

สถาพรพูดอย่างกระดาก พินทุวดีหัวเราะระรื่นยื่นมือออกมาให้เขาอีกครั้ง ชายหนุ่มรับไปกุมไว้บีบเบาๆ อย่างทะนุถนอม

หญิงสาวเจ้าของบ้านแหวกม่านใหญ่นั้นออกจากกัน หลังม่านจัดเป็นห้องเล็กๆ มีเก้าอี้นวมและโต๊ะเรียบๆ ๑ ชุด ลักษณะเหมือนที่ซ่อนตัวขององครักษ์ ในระหว่างที่เจ้านายอยู่ในห้องท้องพระโรง ฝาห้องเป็นผนังทึบตันทาสีเทาขรึม สถาพรมองดูอย่างงงๆ เพราะจำได้ว่าเมื่อครู่ก่อนหญิงชราที่พินทุวดีเรียกว่าแม่ หรือเจ้าอุษาสวรรค์ได้หลบเข้ามาทางหลังม่านนี้ แต่บัดนี้ แกหายไปไหนในเมื่อหลังม่านไม่มีทางออกอื่นอีกเลย

ขณะที่เขายืนงงอยู่นั่นเอง เจ้าของบ้านผู้เลอเสน่ห์ก็ยื่นมืออันเรียวงามไปยังผนังด้านหนึ่ง พลางกดอย่างแรงและโดยปราศจากสุ้มเสียง ผนังสีเทาตอนนั้นค่อยๆ เลื่อนออกไปทางด้านข้างอย่างช้าๆ เหมือนบานประตูเลื่อน เผยให้เห็นช่องทางเดินค่อนข้างมืดทอดตรงไปเบื้องหน้า พินทุวดีผลักชายหนุ่มเบาๆ ให้ก้าวเข้าไปในช่องนี้แล้วหันไปกดข้างฝาอีกครั้ง ผนังส่วนนั้นก็เลื่อนปิดเข้าหากันเงียบกริบดังเดิม

“โอ้โฮ ลึกลับจังครับ”

สถาพรอุทานอย่างทึ่ง…ช่องทางที่เขากำลังยืนอยู่นี้มีลักษณะเหมือนระเบียงคดตามวิหาร คือเป็นระเบียงยาว มีผนังสองด้านและหลังคา  ตามผนังมีโคมไฟสลัวติดไว้เป็นระยะๆ และที่เรียงรายอยู่ตามผนังนั้นคือเทวรูปศิลาต่างๆ ขนาดเท่าตัวคนตั้งเรียงกันเป็นแถวเหมือนวิหารคดตามวัดใหญ่ๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นแถวเป็นแนวไปตลอดทาง

“ยังหรอกค่ะ” เสียงเจ้าของบ้านตอบมาพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ในลำคอ

“ยังไม่ลึกลับเท่าไรหรอก นี่เป็นเพียงด่านแรกเท่านั้น ฝาผนังเหล่านี้มีประตูลับหลายบานที่คุณสังเกตยังไงๆ ก็ไม่เห็น เปิดออกไปสู่ทุกจุดในบ้านได้ตลอดถึงกัน แต่หนทางที่ฉันจะพาคุณลงไปดูนี้เป็นทางลับที่สุด แม้แต่คนในบ้านนี้ก็ยังไม่รู้จักเลย มันลึกลับจนไม่มีใครคาดถึงเลยเชียวแหละค่ะ”

กระแสเสียงของพินทุวดีเยือกเย็นจนชายหนุ่มรู้สึกสะดุดใจ หันขวับไปมองหน้าก็เห็นดวงตาที่มองตรงมายังเขานั้นวาววามลุกโรจน์เหมือนดวงตาเสือแม่ลูกอ่อน สถาพรถึงกับสะดุ้ง…แต่แล้ว รอยยิ้มหวานบนใบหน้าของหญิงสาวก็ทำให้เขากลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

“มาทางนี้สิคะ แล้วจะได้เห็นโบราณวัตถุงามๆ พวกรูปศิลาสลักเหล่านี้อย่าไปสนใจเลยค่ะ ถึงยังไงก็ยกไปไม่ได้ มันหนักเกินกว่าจะส่งออกนอกประเทศ”

“แหม นี่ถ้าเจ้าฑูรย์มาเห็น มันคงตื่นเต้นพิลึกละครับ มันยิ่งเป็นคนคลั่งของเก่าขนาดหนักอยู่ด้วย”

“อย่าให้มาเห็นเลยค่ะ” พินทุวดีตอบทันทีด้วยเสียงเยียบเย็น แล้วอธิบายต่อเมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาอย่างฉงน

“ฉันขี้เกียจเปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ใครๆ แห่กันมาดู เพราะไวฑูรย์น่ะคงไม่ดูคนเดียวหรอก ต้องต้อนใครต่อใครที่เป็นนักโบราณคดีมาช่วยกันดูเป็นโขยง บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ชอบค่ะ นี่ก็เปิดให้คุณดูคนเดียวเท่านั้นเป็นพิเศษ”

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติ” สถาพรค้อมศีรษะให้อย่างล้อเลียนระคนภาคภูมิใจ

“แต่ก็ต้องขอค่าปิดปากด้วยละครับ จะได้ไม่พูดให้ไอ้ฑูรย์มันรู้”

สถาพรว่า ทำตากริ่ม พินทุวดีได้ฟังก็หัวเราะ แววตาที่ชายชำเลืองมาบอกความเวทนาระคนขบขัน

“ต้องได้แน่ค่ะ ค่าปิดปากน่ะอย่าห่วงเลย รับรองว่าคุณจะต้องไม่ปริปากเลยแม้แต่คำเดียว”

สถาพรทำหน้าสงสัย ขยับปากจะถาม แต่หญิงสาวตัดบทด้วยการจูงมือเดินผ่านเทวรูปหินสลัก ซึ่งยืนขมึงทึงจ้องมองมาด้วยเบ้าตาหินอันว่างเปล่าและเยือกเย็นเหล่านั้น ตรงไปยังริมสุดของระเบียงคด ซึ่งมองดูเหมือนกับเป็นผนังทึบตันมืดสลัวเพราะอยู่ในส่วนลึกสุด ต่อเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงนั้น จึงมองเห็นความวิจิตรพิสดารได้ถนัดตา

ผนังส่วนนั้นแบ่งเป็นสองตอนจากพื้นสูงขึ้นมาประมาณ ๓ ฟุต เป็นศิลาสลักภาพนูนต่ำเป็นเรื่องราวนรสิงหาวตารอันน่าสะพรึงกลัว เหนือส่วนนี้ขึ้นไปเป็นผนังเรียบทึบวาดรูปจิตรกรรมฝาผนังสีสดใสเป็นรูปอวตารปางต่างๆ ของพระนารายณ์สิบปาง

สถาพรก้มลงมองภาพสลักนูนต่ำส่วนล่างนั้นด้วยความสนใจ ดวงหน้าของคนครึ่งสิงห์ที่กำลังฉีกอกอสูรในรูปสลักแสยะยิ้มอย่างน่าหวาดกลัวราวกับมีชีวิตจิตใจจนเขาแทบเบือนหน้าหนี หากพินทุวดีไม่ยอมให้ชายหนุ่มพิจารณาต่อไปอีก หล่อนตรงเข้าไปยังผนังส่วนนั้นใช้มืออันเรียวงามผลักลงไปตรงดวงตาอันเหลือกโปนของตัวอสูรในรูปสลักอย่างเต็มเหนี่ยว

มีเสียงครืดดังขึ้นเบาๆ แล้วแผ่นหินสลักส่วนนั้นก็หมุนกลับอย่างช้าๆ ด้วยเดือยกลไกอันหนักอึ้งซึ่งซ่อนอยู่ข้างใน เผยให้เห็นช่องทางลับอยู่ต่ำลงไปทางเบื้องหลังมีบันไดหินทอดต่ำลึกลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง

“นี่แหละทางลงไปห้องใต้ดินสุดยอดของความลับละค่ะ”

หญิงสาวเจ้าของบ้านบอกแล้วเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า

“ฉันเก็บสมบัติแผ่นดินไว้ที่นี่หลายอย่าง เลยต้องทำให้ลี้ลับหน่อยป้องกันขโมยไงคะ ทั้งขโมยอาชีพและคนขโมยดู ช่องทางลับนี่กว่าจะเปิดได้ก็ต้องใช้เรี่ยวแรงผู้ชายถึงสองคนทีเดียวนะคะ”

“ผมทายว่าคงมีสมบัติสิบสองท้องพระคลังอยู่ใต้นั่นแน่ๆ” สถาพรพูดอย่างจริงใจ

“มันต้องมีค่ามากทีเดียว คุณถึงต้องทำที่เก็บลึกลับขนาดนี้”

“อ๋อ มีซีคะ มีค่ามากเท่าชีวิตเลยทีเดียวแหละ ประเดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นและรู้ว่าชีวิตเราเองยังไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้เห็นเหล่านี้”

พินทุวดีพูดเสียงเย็น พลางเดินนำลงไปที่บันไดนั้น

“ค่อยๆ ลงมานะคะ สถาพร ตรงนี้มืดหน่อย แต่ข้างล่างสว่างค่ะ”

หล่อนเบี่ยงกายให้เขาก้าวลงไปก่อน ตนเองหันไปกดปุ่มลับที่ใดที่หนึ่งบนแผ่นหินสลักนั้นแล้วผนังส่วนนั้นก็หมุนกลับปิดสนิทลงดังเดิมแนบเนียนเหมือนมันเป็นแผ่นทึบตัน

“ไหนว่าต้องใช้แรงผู้ชายถึงสองคนปิดเปิดทางเข้าไงล่ะครับ ทำไมคุณคนเดียวถึงปิดได้”

พินทุวดีหัวเราะเบาๆ “ต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัวซีคะ บอกใครไม่ได้หรอก…เอ้อ มาทางนี้ค่ะ”

สถาพรซึ่งรีรออยู่บนบันไดหินขั้นแรกก้าวตามหญิงสาวเจ้าของบ้านผู้ลึกลับลงไปตามบันไดหินแคบๆ และชันนั้นอย่างระมัดระวัง จนถึงขั้นสุดท้ายจึงเห็นแสงสว่างสลัวสาดไปทั่วบริเวณ เขาหยุดยืนชะงักอยู่เพียงนั้น เหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความพิศวงสุดขีด

แสงสว่างอันเกิดจากคบไฟที่จุดไว้ตามผนังห้องเป็นระยะๆ เผยให้เห็นสภาพห้องทั้งกว้างทั้งยาวได้ถนัดตาตกแต่งไว้ให้ดูมีลักษณะคล้ายวิหารหรือเทวาลัยโบราณไม่มีผิด สถาพรรู้สึกเยือกในใจเมื่อมองไปรอบกาย เสาหินกลมใหญ่ที่ค้ำยันหลังคามองดูเหมือนเสาวิหารข้างเสาเหล่านั้น มีรูปสลักหินขนาดเท่าตัวคนเป็นรูปนางอัปสรและอสูรตลอดจนเทวรูปต่างๆ ตั้งประดับอยู่มากมาย เทวรูปสำริดเป็นเงาวับขนาดต่างๆ กัน ตั้งอยู่ที่นั่นที่นี่อย่างเป็นระเบียบและดูเหมาะเจาะไม่ขัดตา

แต่ที่น่าพิศวงที่สุดก็คือ ตรงด้านในสุดของห้องวิหารนั้น…ใหญ่ตระหง่านมหึมาจังก้าอยู่บนแท่นหินคือเทวรูปศิลาขนาดมหึมาองค์หนึ่งสลักด้วยหินทั้งแท่งเป็นรูปทรงอันได้ส่วนสัดของเทพเจ้าผู้มีสี่กรทรงอาวุธต่างๆ ดวงพักตร์สี่เหลี่ยมใหญ่นั้นเครียดขรึมค่อนข้างดุดัน บนเศียรสวมเครื่องประดับทรงกระบอกคล้ายหมวกแขกสลักลวดลายละเอียดยิบ กายท่อนบนของเทวรูปเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างสลักเป็นภูษาทรงจีนแนบเพลาอันใหญ่หนา ดวงเนตรหลุบมองต่ำเหมือนเพ่งจ้องผู้มาเยือนอย่างไม่พึงพระทัย…สถาพรถึงกับชะงักจ้องมองตะลึงจังงังอยู่กับที่เหมือนต้องมนตร์สะกด

“สนใจหรือคะ”

เสียงพินทุวดีดังขึ้นข้างๆ ชายหนุ่มจึงหันมามองด้วยสีหน้างงงัน

“เทวรูปอะไรครับนั่น ใหญ่เหลือเกิน”

“พระหริหระไงล่ะคะ คือพระอิศวรกับพระนารายณ์รวมกัน ชาวขอมสมัยโบราณนับถือมากถึงกับสร้างเมืองหลวงให้ชื่อว่า ‘หริหราลัย’ เพื่อเป็นสักการะแด่พระหริหระองค์นี้”

“ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย เคยรู้แต่ว่าเมืองหลวงของเขมรโบราณคือ นครธม”

“นั่นเป็นเมืองหลวงสมัยหลังค่ะ เมืองหริหราลัยสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่สอง และเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้ายโสวรมัน ทรงเห็นว่าเมืองหริหราลัยมีผู้คนแออัดคับคั่งเกินไป จึงทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้นให้ชื่อว่าเมืองพระนครหรือนครธมที่คุณรู้จักนั่นแหละค่ะ”

“คุณพินทุวดีมีความรู้ในทางประวัติศาสตร์ขอมดีนะครับ”

“แน่ละค่ะ ต้นตระกูลของฉันนี่คะ…เข้าไปดูใกล้ๆ กันเถอะ”

สถาพร ไพสิฐกุล เดินตามหญิงสาวไปอย่างรวดเร็วด้วยความสนใจและตื่นเต้นเสียจนไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นวาจา ทั้งๆ ที่มีคำถามมากมายในหัวใจของเขา เทวรูปองค์นั้นคะเนด้วยตาสูงราว ๙ ฟุตเป็นอย่างต่ำ ยังสมบูรณ์ดีทุกส่วนสัดไม่มีบุบสลาย…เบื้องฐานเทวรูปมีที่บูชาทำด้วยศิลาขนาดใหญ่พร้อมด้วยเครื่องบูชาครบครัน กำยานเผาหอมตลบอยู่ในที่เผากำยานสำริดขนาดใหญ่ พร้อมด้วยกองกูณฑ์บูชาลุกคึ่กๆ อยู่ในภาชนะสำริด มีขารองเป็นรูปเศียรนาคขนาดมหึมา กระถางธูป เชิงเทียน ตลอดจนอ่างบรรจุน้ำชนิดหนึ่ง ล้วนเป็นเครื่องสำริดขนาดใหญ่สลักเสลาลวดลายประณีตงดงามทุกชิ้น

“พระหริหระองค์นี้ รู้สึกว่าจะพักตร์ดุไปหน่อยนะครับ”

สถาพรเอ่ยขึ้นหลังจากกวาดสายตาสำรวจเทวรูปองค์นั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว

“เท่าที่ผมเห็นมา เทวรูปขอมส่วนมากมักจะยิ้ม แต่องค์นี้ดูแสยะๆ ยังไงชอบกล”

พินทุวดียิ้ม ดูหล่อนมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษในคืนนี้ แต่ประกายตาอันวาววามนั้น ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในส่วนลึก

“คุณช่างสังเกตไม่ใช่เล่นนะคะสถาพร ถูกแล้วค่ะ เทวรูปขอมส่วนมากไม่เหมือนอย่างนี้ และนี่ก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งของฉันค่ะที่มีศิลปะขอมแบบที่ไม่มีใครเขาเคยพบเห็นกันมาก่อนเลย เพราะเมืองซึ่งเป็นบ่อเกิดของศิลปะแบบนี้ได้ถล่มล่มจมไปนานแล้ว…ไม่เอาละค่ะอย่าเพิ่งมาเรียนประวัติศาสตร์ขอมกันในเวลาตีสามอย่างนี้เลย เอาไว้วันหลังถ้าคุณยังสนใจละก็ฉันจะเล่าให้ฟัง…แต่คิดว่าคุณคงไม่มีทางสนใจอีกแล้วละน่า”

กระแสเสียงนั้นฟังดูเหมือนเย้ามากกว่าอย่างอื่น สถาพรจึงได้แต่ยิ้ม

“โธ่ สนใจซีครับ ถึงผมไม่ใช่นักโบราณคดีอย่างไอ้ฑูรย์ แต่ก็ชอบของเก่าเหมือนกัน…ขอดูด้านหลังหน่อยนะครับ อยากรู้ว่าทรวดทรงด้านหลังได้ส่วนสัดอย่างนี้หรือเปล่า”

เขาว่าพลางเดินอ้อมไปทางด้านหลังเทวรูปมหึมาองค์นั้น พินทุวดีขยับจะร้องห้าม แต่แล้วก็นิ่งเฉยมองตามชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยบนดวงหน้า และดวงตาก็ลุกวาววามอย่างน่ากลัว

สถาพรหยุดชะงัก มองดูสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังเทวรูปอย่างงงงันเป็นคำรบสอง…

บริเวณหลังเทวรูปนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่เขาคิด หากสิ่งที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่น ทำให้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความพิศวงอย่างถึงขนาด มันประกอบด้วยแท่นหินอันหนึ่งตั้งอยู่ชิดกับฐานเทวรูป บนนั้นมีหีบศิลาขนาดใหญ่ปิดฝาสนิท จารึกอักขระขอมและยันต์ต่างๆ เต็มไปหมดทั้งหีบ ถึงจะน่าสนใจอย่างไร สถาพรก็ยังขนลุกซู่เพราะมันคือโลงศพศิลานั่นเอง…โลงศพขนาดใหญ่ไพศาลที่สลักเสลาวิจิตรพิสดารเสียจนดูน่ากลัวผิดธรรมดา!

แต่ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีก… แท่นบูชาที่ตั้งต่ำลงมานั้นนอกจากจะมีกระถางธูป เชิงเทียน และที่เผากำยานสำริดอันงดงามแล้วยังมีพานขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายพาน และบนพานเหล่านั้น…แทนพุ่มดอกไม้บูชาตามปกติธรรมดา กลับคือหัวกะโหลกมนุษย์ที่ยังใหม่เอี่ยมขาวเป็นมันวับ ที่ยิงฟันและอวดนัยน์ตากลวงโบ๋เรียงรายอยู่บนพานเป็นตับ!

“อะไรกันนี่”

สถาพรอุทานออกมาเต็มเสียง หันขวับมาทางเจ้าของบ้านสาวด้วยแววตาสยองกลัว…รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวในขณะที่เยื้องกรายเข้ามาหา ทำให้เขาถึงกับชาวูบไปทั้งตัวด้วยความตกใจ

“กลัวอะไรกันคะ สถาพร”

เสียงเยียบเย็นของพินทุวดีดังขึ้นอย่างแช่มช้าลากยาวจนฟังเยือกเข้าไปในหัวใจ กระแสสำเนียงประหลาดของมันกังวานสั่นพลิ้วเข้าไปในอกชายหนุ่ม ทำให้รู้สึกเยือกเย็นขึ้นในฉับพลัน ขยับจะออกก้าวเดินหนีตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็หยุดนิ่งเมื่อหญิงสาวผู้เลอเสน่ห์ขยับเข้ามาจนประชิดตัว แขนกลมกลึงงามเสลาทั้งสองข้างยกขึ้นโอบรอบคอเขาไว้ ดวงตาดำสนิทลึกล้ำนั้นเพ่งจ้องดวงตาของเขาแน่นิ่งเหมือนสะกดจิต ขณะที่ริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างเร้นลับเยือกเย็น…

สถาพรขยับตัว โอบแขนไปรอบกายหญิงสาว ตั้งใจจะรวบกอดให้เต็มรัก แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกสุดตัว…

เขารู้สึกแปลบที่ต้นคอซ้ายพร้อมๆ กับความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นไปถึงสมอง และชาซ่าไปตลอดทั้งกาย นัยน์ตาพร่าพราวมองเห็นหน้าพินทุวดีที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบรางเลือนและสั่นพลิ้วเหมือนเงาในน้ำ…ร่างทั้งร่างของเขากระตุกไปข้างหลังพร้อมๆ กับที่เข่าทั้งสองหมดแรงอ่อนคู้ลงกับพื้น แล้วร่างสูงนั้นค่อยๆ รูดลงกองอยู่แทบเท้าของหญิงสาวแน่นิ่งปราศจากความรู้สึกใดๆ ในนาทีนั้นเอง…

 



Don`t copy text!