อมฤตาลัย ตอนที่ 21

อมฤตาลัย ตอนที่ 21

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ร่างผอมสูงผิวคล้ำและหน้าคมเหมือนมีเชื้อชาวภารตะ ที่ยืนพิจารณาสินค้าเครื่องใช้ของผู้ชายในร้านสรรพสินค้าแห่งนั้นสะดุดตาจุลจิราอย่างจัง นางแบบสาวทบทวนความจำอยู่เป็นครู่ สีหน้าก็แจ่มใสขึ้นอย่างนึกออก หล่อนเดินกรายเข้าไปทันที ส่งเสียงแหลมถามผู้ขาย ๒-๓ คำ ชายผู้นั้นก็หันหน้ามามอง

“โอ้โฮ คุณจุลจิรานี่เอง นึกว่าใคร จำผมได้ไหมเอ่ย”

น้ำเสียงสนุกสนานกะลิ้มกะเหลี่ยเอ่ยทักทายสมใจจุลจิรา นางแบบสาวหันมาทำตาโต โต้ตอบด้วยอารามสนุกปานกัน

“คนตาบอดที่ไหนก็จำคุณศุภสิทธิ์ผู้อื้อฉาวได้ทั้งนั้นละค่ะ ว่าแต่วันนี้ออกจะผิดปกติอยู่สักหน่อยที่เห็นคุณเดินคนเดียว”

“โธ่ จะให้เดินกี่คนล่ะครับ ผมมันหัวเดียวกระเทียมลีบนี่”

“ก็ทำไมถึงยอมหัวเดียวกระเทียมลีบเสียง่ายๆ ล่ะคะ หรือว่าเปลี่ยนที่หวังเสียแล้ว”

สีหน้าของศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ มีแววฉงนอย่างเสแสร้ง “หมายความว่าไงครับ”

“อุ๊ย ทียังงี้ละทำเสียงซื่อเชียวนะคะ ใครๆ ก็รู้ว่าคนที่เคยเดินกับคุณศุภสิทธิ์ เขาไปกับคนอื่นเสียแล้ว”

คราวนี้หัวคิ้วดกดำสนิทของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงที่เอ่ยก็เต็มไปด้วยความสนใจแกมหวั่นกังวล

“คุณหมายถึงพินทุวดีหรือครับ”

“คุณศุภสิทธิ์ยังมีคนอื่นอีกหรือคะ มิน่าล่ะ หมู่นี้ถึงไม่ค่อยได้เจอหน้าเสียเลย”

“เปล่า ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ ผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย เพิ่งรักษาตัวทุเลาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง…ง่า…คุณเห็นพินทุวดีไปกับใครหรือครับ”

“วุ้ย ก็เพื่อนคุณน่ะแหละค่ะ คุณทัดเทพน่ะเห็นหงิมๆ หยิบชิ้นปลามันนะคะ แม่อลิศเพื่อนดิฉันถึงกับคลั่งจะเป็นจะตายเพราะเรื่องนี้แหละ เขาฉวยโอกาสตอนคุณป่วยไปรับไปส่งกันถึงในบ้านในช่องออกบ่อยไป อลิศตามไปหึงก็โดนเล่นงานเอาแทบแย่”

กรามของชายหนุ่มบดเข้าหากันจนนูนเป็นสัน นัยน์ตาที่วาววามมีแววแค้นใจ เจ็บใจ และดุดันจนจุลจิราชักแหยง

“จริงๆ หรือครับ ไอ้เทพมันไม่น่าดัดหลังผมเลย”

“ถ้าคิดว่าไม่จริงก็เป็นเรื่องของคุณนี่คะ ช่วยไม่ได้ แต่ใครๆ ในวงการเขารู้กันทั้งนั้นแหละ เอ้อ ดิฉันเห็นจะต้องลาละค่ะ หวังว่าคงได้พับกันในงานแฟนซีลีลาศนะคะ บ๋าย บายค่ะ”

นางแบบสาวผละจากไปแล้ว ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ ยังคงยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้นอย่างครุ่นคิด คนขายเวียนมามองหน้าเขาไม่หยุดหย่อนชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกตัว นัยน์ตาจ้องแน่วแน่อยู่ที่สิ่งของในตู้โชว์โดยไม่เห็นสิ่งใด สมองปั่นป่วนอึงอลและรุ่มร้อนด้วยความหึงหวงระคนริษยาจนกระทั่งเสียงผู้ขายเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างเกรงใจนั่นแหละ เขาจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์

“ต้องการชิ้นไหนครับ”

ศุภสิทธิ์กะพริบตาเงยขึ้นมองหน้าคนขายอย่างงงๆ สบตาที่จ้องมองมาอย่างสนใจใคร่รู้นั้นแล้วก็รู้สึกตัว ยกมือขึ้นลูบหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ

“ไหน เอ้อ…เอ้า…เอาอันนั้นแหละ เข็มกลัดเน็กไทรูปตัวเอสนั่นละ ห่อให้ด้วยนะ”

เขาจ่ายเงินและรับของมาอย่างใจลอย เดินด้วยอาการหมกมุ่นครุ่นคิดตรงไปยังรถ และเมื่อไขกุญแจไปนั่งแล้ว ศุภสิทธิ์ก็ยังคงนั่งนิ่งคิดอยู่นาน…ภาพหนุ่มสาวทั้งคู่ปรากฏในห้วงนึกสวยสมกันแหมือนเทพบุตรกับนางฟ้า ในงานราตรีสโมสรคืนที่ทั้งสองแรกพบกันนั้น ร่างที่ปลิวไปตามฟลอร์ลีลาศสง่างามเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆในแดนพิมาน เรียกเสียงชมเชยจากผู้พบเห็นทั่วไป ทัดเทพกับพินทุวดีช่างเป็นคู่ที่เหมาะเจาะอะไรเช่นนั้น…ส่วนเขาเล่าแม้แต่บ้านช่องของหล่อนเขาก็ยังไม่เคยได้ย่างเหยียบเข้าไป แต่เพื่อนเกลอผู้เพิ่งรู้จักหล่อนได้ไม่เท่าไร กลับมีโอกาสไปรับส่งถึงบ้านช่องอันรโหฐาน…แสดงถึงความสนิทสนมอันเกินหน้าชายอื่น…นึกถึงตรงนี้แล้ว พิษรักแรงหึงพรวดเข้าสุมใจจนเร่าร้อนแทบทนไม่ได้…ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเด็ดขาด…ศุภสิทธิ์พารถออกจากที่นั้นตรงไปยังทิศทางสู่บ้านของทัดเทพอย่างหมายมั่นปั้นมือและเคียดแค้น…

“อ้าว นั่นใครมา เอ๊ะ รถไอ้สิทธิ์นี่หว่า”

นายแพทย์สโรชพันธุ์ซึ่งนั่งเอนอย่างสบายอยู่บนเก้าอี้หวายบนลานเทอเรซ หันมาเห็นเก๋งสีเขียวใบไม้ที่แล่นเข้ามาในบ้านอย่างปรู๊ดปร๊าดตามอารมณ์เจ้าของก่อนคนอื่น จึงเอะอะขึ้น ทัดเทพเหลียวไปมองแล้วลุกขึ้นอย่างยินดี

“ทางนี้โว้ย สิทธิ์”

ศุภสิทธิ์เดินโครมๆ ตรงเข้ามาหาสหายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไวฑูรย์จึงเอ่ยทักอย่างสัพยอก

“กินรังแตนที่ไหนมาวะ สิทธิ์ หน้าถึงเหยียดไม่ออกยังงั้น”

ศุภสิทธิ์กระแทกตัวลงบนเก้าอี้หวายสีสวยที่อยู่ใกล้ตัว ทัดเทพเลื่อนแก้วเหล้าที่ชงแล้วมาให้อย่างเอาใจ นัยน์ตาอันดุเดือดของศุภสิทธิ์ที่มองเพื่อนเกลออย่างกินเลือดกินเนื้อจึงค่อยอ่อนลง

“หายดีแล้วหรือวะ ยังไม่ครบวันพักฟื้นไม่ใช่หรือ”

เขาถามอย่างสนใจ ศุภสิทธิ์คว้าแก้วเหล้าขึ้นดื่มก่อนตอบกร้าวๆ

“ก็งั้นแหละ รำคาญต้องนอนอยู่เฉยๆ ก็ออกมาเที่ยวเล่น พอดีเจอยายจุลจิราเข้า”

เขาหยุด เหลือบขึ้นมองหน้าทัดเทพอย่างหยั่งท่าที แล้วกล่าวต่อไป

“แม่คุณเล่าฉอดๆ ว่า เอ็งไปเที่ยวไหนๆ กันพินทุวดีจนคุณอลิศราต้องตามไปหึงเชียวหรือ ไอ้เทพ”

ทัดเทพเลิกคิ้ว มองเพื่อนอย่างฉงน “เอ็งตั้งใจจะมาถามเรื่องนี้หรือวะ”

“แล้วเอ็งจะตอบไหมล่ะ”

“ก็อยากตอบเหมือนกัน แต่ตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยไปเที่ยวกับพินทุวดี ส่วนเรื่องของผู้หญิงสองคนนั้น พินทุวดีพูดอย่างหนึ่ง อลิศราก็ว่าอีกอย่างหนึ่ง เลยไม่รู้จะตอบเอ็งยังไงดี”

“พินทุวดีว่าไง”

ทัดเทพเลิกคิ้วอีกครั้ง แต่คราวนี้อย่างขบขันในท่าทีเอาจริงเอาจังของสหาย ไวฑูรย์กับหมอสโรชพันธุ์ก็พลอยยิ้มไปด้วย

“ไม่ว่า เพราะยังไม่ทันพูดอะไร อลิศราเกิดตกใจกลัวอะไรบางอย่าง รีบขับรถออกจากบ้านไปเลย”

หมอสโรชพันธุ์มองหน้าอันบึ้งตึงของเพื่อนเกลอผู้มาใหม่แล้วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ข้าก่อนโว้ย ไอ้สิทธิ์ ข้ารู้ละว่าเอ็งแล่นมาถึงนี่ทำไม อย่าเพิ่งให้พิษรักแรงหึงมันปิดตามากนักเลยวะ เอ็งโมโหไอ้เทพมันใช่ไหมล่ะ”

“ไอ้บ้า” ศุภสิทธิ์หน้าแดง หลบตาเพื่อนลงมองแก้วเหล้า ทัดเทพหันมาทางสหาย ดวงตามีแววขุ่นระคนรำคาญใจ

“จริงหรือวะสิทธิ์ เอ็งคงไม่นึกว่าข้าชอบคุณพินทุวดีของเอ็งหรอกนะ”

“ใครจะรู้ พินทุวดีออกสวยยังกะนางฟ้า หน้าไหนมันจะอดใจได้วะ”

ทัดเทพชักหน้าตึง ไวฑูรย์จึงแก้สถานการณ์นั้นทันที

“เอ็งพูดยังงี้เพราะไม่เคยเห็นสโรชินี ไอ้สิทธิ์ ถ้าเห็นละก็ เอ็งคงไม่คิดว่าผู้หญิงสวยในโลกมีแต่พินทุวดีคนเดียวเท่านั้นหรอก”

“สโรชินี ใครกันวะ” ศุภสิทธิ์ทำหน้าสงสัยอย่างแท้จริง

“เป็นเลขากึ่งคนใช้ส่วนตัวของพินทุวดีนั่นแหละ สวยสะเด็ดยาด แต่คนละแบบกับแฟนของเอ็ง จะบอกให้ก็ได้ว่าไอ้เทพมันติดใจคนนี้ตะหาก”

ศุภสิทธิ์มองหน้านายตำรวจหนุ่มอย่างประหลาดใจ

“จริงๆ หรือวะ อืม ข่าวใหม่ ไอ้เทพโดนต้อนเข้ามุมละซีทีนี้ ไหนว่าจะรักษาหัวใจให้ว่างเปล่าตลอดไปไงล่ะ”

ทัดเทพไม่ตอบ พยายามระงับอารมณ์ด้วยการรินเหล้าใส่แก้วแจกให้สหาย คนรับใช้สาวคนหนึ่งประคองถาดเงินเข้ามาคุกเข่าลงข้างๆ หยิบจานเปลบรรจุยำไข่ปลาดุกออกจากถาดวางบนโต๊ะ แล้วถอยออกไป

“เอ้า ชิมยำไข่ปลาดุกฝีมือแม่ข้าซีวะ ร้านอะไรๆ ที่ว่าเยี่ยมก็ต้องตายราบทั้งนั้น”

ศุภสิทธิ์รอจนเพื่อนทุกคนตักยำไข่ปลาดุกใส่ปากเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“เอ็งเจอเข้าได้ยังไงวะ เทพ คุณสโรชินีอะไรนั่นน่ะ”

“ก็เจอที่บ้านพินทุวดีน่ะซิ” ทัดเทพตอบเรื่อยๆ ไม่เอาใจใส่กับนัยน์ตาที่วาวโรจน์ขึ้นอีกของเพื่อนเกลอ

“ข้าไปถามพินทุวดีเรื่องสถาพรหายตัวไป เอ็งยังจำได้ใช่ไหม คนสุดท้ายที่อยู่กับไอ้พรก่อนมันหายตัวก็คือพินทุวดีนี่แหละ ข้าชวนไอ้ฑูรย์ไปสอบถามอะไรนิดหน่อยที่บ้านของเธอ ถึงได้พบสโรชินีที่นั่น”

“ก็เลยเกิด Love at first sight เข้า ว่างั้นเถอะ” ศุภสิทธิ์สรุปอย่างพยายามให้ตนเองโล่งใจ

“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก แต่ถ้าข้าจะรักละก็ สโรชินีเหมาะที่จะเป็นคนรักมากกว่าพินทุวดีของเอ็ง”

“ทำไม”

ศุภสิทธิ์เสียงเขียวขึ้นมาอีก ทัดเทพก็ยักไหล่ตอบอย่างไม่อินังขังขอบว่า

“ก็เพราะสโรชินีน่ารัก พินทุวดีน่ากลัวน่ะซิ”

“ไอ้บ้า” ศุภสิทธิ์ด่าอุบอิบในคอ

“คนสวยอย่างนั้นน่ะหรือ เอ็งว่าน่ากลัว”

ไวฑูรย์รำคาญใจเต็มทนก็ลุกขึ้นโบกมือห้ามเหมือนตำรวจจราจร

“พอเถอะวะ ขอที อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนี้อีกเลย เลี่ยนซะจนแทบกระอัก วันทั้งวันได้ยินแต่ชื่อนี้เรื่อยซีน่า ไอ้สิทธิ์ก็ได้รู้เรื่องที่เอ็งอยากรู้แล้วไงว่า เจ้าเทพมันไม่คิดจะแย่งแฟนเอ็ง มาคุยเรื่องอื่นมั่งเถอะวะ เรื่องที่มันสุนทรีแก่รูหูยิ่งกว่านี้น่ะ”

หมอสโรชพันธุ์ผสมโรงทำให้เป็นเรื่องขันเสียโดยหัวเราะนำขึ้น

“เรื่องอะไรวะที่สุนทรีรูหูเอ็ง เศษอิฐเมืองโบราณใช่ไหม”

ศุภสิทธิ์อดหัวเราะไม่ได้ สีหน้าของเขาดีขึ้นในทันใด ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบแล้วเอ่ยถามไวฑูรย์

“เอ็งยังไม่ไปขุดซากอิฐซากหินในป่าอีกหรือวะ เห็นคราวก่อนบอกว่าจะออกไปอีก”

“ยัง…ทำไม ถ้าข้าไปละก็เอ็งจะไปด้วยเรอะ”

ศุภสิทธิ์เบ้ปาก “เชิญพ่อคุณคนเดียวเถอะ ข้ายังไม่พิสมัยก้อนอิฐโบราณนักหรอกวะ แค่ก้อนอิฐสมัยใหม่ก็ต้องวิ่งหลบแทบแย่ไม่ให้มันโดนกบาล”

“เป็นเสียยังงี้แหละ ของเก่ามีค่าก็ดูถูก ถ้าไม่มีพวกนี้เอ็งจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติได้หรือวะ”

“ก็มันไม่สนประวัติศาสตร์นี่หว่า สนแต่นรีศาสตร์กับนาฏศาสตร์ คือวิชาการเต้นรำเท่านั้นแหละ” หมอสโรชพันธุ์ค่อน

ชายหนุ่มทั้งสี่เฮฮาอยู่ด้วยกันจนดึก แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ศุภสิทธิ์รับอาสาไปส่งไวฑูรย์จนถึงบ้าน หลังจากนั้นก็ขับรถกลับบ้านตนเองด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะได้รับคำยืนยันอย่างแน่นแฟ้นจากไวฑูรย์ว่า ร.ต.ท.ทัดเทพไม่ได้ทำตนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเขาแน่ในสังเวียนรักเพื่อช่วงชิงโฉมงามนามเพราะ พินทุวดี วงศ์ยโสธร ผู้นั้นเลย

“เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะวะ สิทธิ์ ไอ้เทพมันไม่ได้ชอบคุณพินทุวดีแน่ มันชอบสโรชินี แต่ทำปากแข็งไปยังงั้นเอง ดูตา
ก็รู้ มันพยายามชวนข้าไปบ้านพินทุวดีบ่อยๆ ก็เพื่อพบสโรชินีนั่นแหละ ผ่าวะ ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักเหลือเกิน ถ้าข้าพร้อมที่จะรักใครได้อย่างไอ้เทพ ข้าจะรักสโรชินีเป็นคนแรกและคนสุดท้ายจริงๆ ให้ดิ้นตาย!”

 

แสงไฟในห้องหอคอยสูงของคฤหาสน์พินทุวดีสาดสลัวราง ส่องให้เห็นเจ้าของบ้านสาวยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง แส้หนังสีดำขลับถือกระชับอยู่ในมือขวา หากแต่ดวงหน้าอันงามนั้นมีรอยยิ้มนิดๆ อย่างพึงใจ

ตรงหน้าของหล่อน ร่างวิกลของสัตว์ประหลาดกึ่งคนกึ่งค้างคาวยืนสงบนิ่งอยู่ด้วยท่าทางคารวะและกลัวเกรง นัยน์ตาแดงก่ำโปนถลนของมันที่ลอบชำเลืองดูหล่อนเป็นระยะๆ มีแววเหมือนตาสุนัขที่มองดูนายผู้โหดร้ายของมัน

“ดีมาก เวตาล”

เสียงกังวานไพเราะดังมาจากริมฝีปากรูปงามปานกลีบกุหลาบคู่นั้น สีหน้าของเจ้ามนุษย์ค้างคาวดีขึ้นในทันใด หลังที่ค้อมต่ำของมันยืดขึ้นนิดหนึ่งอย่างทระนงในคำชมนั้น

“คราวนี้เจ้าทำได้สำเร็จ ศัตรูของข้าหมดไปหนึ่งละ ถึงมันจะเป็นแค่คนที่น่าสงสัย แต่กำจัดเสียได้แหละดี ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าช่วงมันจะมาเห็นอะไรในบ้านหรือเปล่า คิดว่าคงเห็นบ้างน่ะ ม่ายงั้นมันคงไม่ตกใจจนเสียสติไปหรอก จริงไหม เวตาล เจ้ากำจัดมันได้ก็ดีแล้ว คืนนี้จะให้รางวัล”

นัยน์ตาเหลือกโปนแดงก่ำของสัตว์กึ่งคนกึ่งค้างคาวเป็นประกายวูบขึ้นด้วยความยินดี ลิ้นแหลมยาวสีแดงฉาน แลบออกมาเลียริมฝีปากแบะกว้างอย่างกระหาย หญิงสาวเห็นเข้าก็ยิ้มน้อยๆ

“ข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระสักคืน แต่ต้องแน่ใจนะว่าเจ้าจะต้องหลบซ่อนอย่างมิดชิด อย่าให้ใครรู้เห็น และเจ้าจะล่าเหยื่อได้เพียงรายเดียว เข้าใจไหม ใกล้รุ่งเจ้าจะต้องกลับถึงบ้านทันที อย่าไถลไปที่อื่น หากไม่เชื่อเจ้าก็รู้อยู่แล้วว่า โทษทัณฑ์ของเจ้าเป็นอย่างไร เข้าใจไหม”

เวตาลค้อมหัวลงต่ำเป็นอาการรับคำอย่างแข็งขัน กิริยาท่าทางร่าเริงคึกคักขึ้นทันใด

“เอาละ ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปได้”

ร่างกำยำนั้นค้อมตัวลงต่ำอีกครั้งหนึ่งเป็นการแสดงคารวะอย่างสูงแล้วจึงหันกลับ ก้าวย่างด้วยอาการเดินของนกตรงไปยังหน้าต่างที่เปิดออกสู่ระเบียงรอบหอคอยนั้น กระโดดออกไปสู่ระเบียงภายนอก เหลียวมองไปมารอบด้านอย่างระวังภัย แล้วกระโดดอีกครั้งขึ้นสู่ลูกกรงระเบียง ขยับปีกอันใหญ่โตอยู่ไปมา เหมือนรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่ง

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!

ร่างคนครึ่งนกครึ่งของเวตาล ซึ่งมีรูปร่างขนาดผู้ชายที่ล่ำสันแข็งแรงคนหนึ่งนั้น ค่อยๆ หดเล็กลง…เล็กลงตามลำดับ ปีกหนังทั้งคู่ยิ่งกระพือเร็วเท่าไร ร่างของมันก็ยิ่งเล็กลงเร็วปานนั้น จนในที่สุดร่างที่เกาะอยู่บนพรึงระเบียงก็มีขนาดและลักษณะไม่ต่างไปกว่าค้างคาวแม่ไก่ขนาดธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น

ค้างคาวมหัศจรรย์เหลียวไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วหันไปทางเบื้องหน้าซึ่งที่หน้าต่างตรงกับระเบียงนั้น มีร่างโสภาของพินทุวดีโผล่ดูอยู่อย่างระแวดระวัง ปีกทั้งคู่ของมันจึงกระพืออีกครั้งเหมือนโบกลา แล้วโผผินขึ้นสู่อากาศบินหายไปในความมืดของราตรี…

พินทุวดีหันหลังกลับ เดินเข้าห้องไปปิดสวิตช์ไฟที่ข้างฝา แล้วจึงออกจากห้องนั้นลงบันไดลับสู่ชั้นสอง ซึ่งห้องมุขยื่นอันใหญ่โตรโหฐานที่สุดของชั้นนี้คือห้องนอนของหล่อน

เจ้าของบ้านผู้เลอโฉมเปิดประตูเข้าไป หล่อนพบสโรชินีกำลังแขวนเสื้อซึ่งรีดมาใหม่ๆ เรียงเก็บเข้าตู้ไว้อย่างเป็นระเบียบ

พินทุวดีเดินไปนั่งที่ของเตียงนอนไม้สักอันโอ่อ่าของหล่อน บนหัวเตียงนั้นแกะเป็นรูปนาคราช ๗ เศียรแผ่พังพานปกอยู่อย่างน่าชม ที่นอนหนาร่วมศอกคลุมผ้าสีทองยกดอกในตัวอร่าม ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยความโอฬารสะอาดเอี่ยม เครื่องประดับทุกชิ้นเป็นไม้แกะสลัก ลวดลายเข้าชุดกันทั้งสิ้นนับตั้งแต่ชุดคันฉ่องขนาดใหญ่หรูหรา ตั่งนั่งริมฝาห้องซึ่งทำเลียนแบบฝาปะกน โต๊ะเท้านาคตัวเล็กที่หัวเตียง ฯลฯ สิ่งที่ทันสมัยในห้องมีแต่เพียงพรมนุ่มหนาสีทองไหม้ซึ่งปูเต็มตลอดห้อง กับตู้เสื้อผ้าแบบ built in ซึ่งซ่อนฝังเข้าไปในผนังอย่างแนบเนียน แต่ไม่วายมีลวดลายตรงประตูเข้าชุดกับเตียงนอน กลิ่นหอมอ่อนเบาหวิวอบร่ำทั่วทั้งห้อง ทำให้บรรยากาศสดชื่นน่าเป็นสุขยิ่งนัก

“ยังไม่นอนอีกหรือบัว ดึกมากแล้ว”

พินทุวดีถามเสียงเรียบ หญิงสาวผู้กำลังสาละวนอยู่กับเสื้อผ้าในตู้ชะงัก หันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวค่ะ บัวเก็บเสื้อผ้าให้คุณก่อน”

“ดึกแล้ว เดี๋ยวรีบไปนอนเสียนะ กินยาแล้วหรือยัง”

“ยังค่ะ จะทานตอนก่อนนอน”

นายจ้างสาวมองสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเพิ่งพิศชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นช้าๆ

“บัว อายุเท่าไหร่แล้วนะปีนี้”

หญิงสาวหันมามองอย่างแปลกใจ “ยี่สิบค่ะ คุณถามทำไมคะ”

“อือ ยังเด็กมากๆ เด็กจริงๆ วัยนี้เป็นวัยสวยที่สุดของชีวิต น่าเสียดายเหลือเกินที่ธรรมชาติให้ช่วงเวลานี้แก่คนสั้นเหลือเกิน อย่างฉันนี่ ไม่มีวันจะหวนกลับไปสู่วัยนี้ได้อีกแล้ว”

สโรชินีหันมามองนายสาวอีกครั้งอย่างแปลกใจในคำพูดแกมรำพึงนั้น

“แต่คุณก็ยังสาวนี่คะ ใครๆ คิดว่าคุณอายุไม่ถึงยี่สิบห้ากันทั้งนั้น”

รอยยิ้มอย่างเร้นลับปรากฏขึ้นที่มุมปากของพินทุวดี

“แล้วเราล่ะ คิดว่าฉันอายุเท่าไร”

คราวนี้สโรชินีหันกลับไปหางานที่ทำ เสียงตอบอุบอิบเหมือนไม่แน่ใจ

“บัวไม่ทราบหรอกคะ ตั้งแต่บัวจำความได้ก็เห็นคุณสาวอย่างนี้อยู่แล้ว ตั้งเกือบยี่สิบปีมาแล้ว คุณก็ยังคงสาวเท่าเดิม”

“เราคิดว่ายังไงล่ะ” น้ำเสียงที่ถามมีแววหยั่งลองเชิงกลายๆ

“คุณบอกบัวเองนี่คะว่า ว่านที่ทานเป็นประจำทำให้ไม่แก่”

“บัวไม่อยากลองกินบ้างหรือ”

คราวนี้หญิงสาวส่ายหน้าจนผมกระจาย เสียงที่ตอบหนักแน่นอย่างมั่นใจ

“ไม่อยากค่ะ ยาที่คุณให้บัวกินเป็นประจำ มันทั้งขมทั้งขื่นจนบัวแทบทนไม่ได้ทุกขนานเลย”

พินทุวดีหัวเราะเบาๆ “เขาว่าหวานเป็นลมขมเป็นยาไงล่ะ ยาที่ฉันให้กินเป็นประจำน่ะมันมีประโยชน์กับตัวบัวทั้งนั้น รู้ไหม ยิ่งยาที่กินก่อนนอนยิ่งขาดไม่ได้ อย่าทำดื้อเอาไปทิ้งเสียล่ะ”

“บัวอยากเรียนถามคุณตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าสักทีค่ะ บัวป่วยเป็นโรคอะไรหรือคะคุณ ถึงต้องทานยาเป็นประจำทุกคืนอย่างนี้”

สีหน้าของนายสาวตึงขึ้นทันที “อย่าเพิ่งรู้เลย จำไว้ก็แล้วกันว่า ยานั้นมีประโยชน์สำหรับเรามาก ถ้าไม่กินจะเป็นอันตราย อ้อ เตรียมเสื้อแสงที่จะไปงานแฟนซีลีลาศไว้แล้วหรือยัง”

“เตรียมไว้แล้วค่ะ ชุดเก่าที่คุณให้นั่นแหละ”

“ยี้ ชุดนั้นเก่าแล้ว ไม่สวยหรอก ไปตัดใหม่สักชุดก็แล้วกัน ไปที่ร้านเบญญานะ ฉันจะเขียนบันทึกแนะนำให้ไป”

“จะทันหรือคะ”

“ต้องทันสิ ฉันจะให้ผ้าไปตัด เครื่องประดับล่ะ มีแล้วใช่ไหม”

“มีค่ะ ก็บัวไม่ต้องใช้อะไรมากนี่คะ ส่วนของคุณ บัวขัดไว้แล้วดูใหม่เอี่ยมเชียวค่ะ”

พินทุวดีพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปที่หีบไม้สักแบบเก่าสลักลวดลายละเอียดงดงามที่มุมห้อง เปิดออกหยิบผ้า ๒ ชิ้น ออกมาส่งให้สโรชินี

“เอ้า เอานี่ไปตัดเสีย แบบเดิมนั่นแหละ ฉันใส่สีแดง เราใส่สีเขียวก็แล้วกันจะได้ดูตัดกันดี พรุ่งนี้นั่งรถออกไปพร้อมฉันนะ จะเอาไปส่งที่หน้าร้าน แล้วนั่งรถรับจ้างกลับเองก็แล้วกัน ฉันต้องไปธุระหลายแห่ง…เสร็จหรือยังล่ะนั่น ไปได้แล้ว ฉันจะนอนละ อ้อ อย่าลืมกินยาเสียก่อนล่ะ”

 



Don`t copy text!