อมฤตาลัย ตอนที่ 25

อมฤตาลัย ตอนที่ 25

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ภายในห้องใต้ดิน อันมีลักษณะคล้ายเทวาลัยของคฤหาสน์พินทุวดีนั้น ร่างงามสง่าในชุดสีดำสนิทเป็นมันเลื่อมแววระยับเหมือนเกล็ดงู หมุนไปหมุนมาอยู่หน้าที่บูชาอย่างขัดเคือง ในมือถือแผ่นศิลาสลักรูปดวงหน้าสตรีซึ่งมองดูละม้ายแม้นผู้ถือ นานๆ เจ้าตัวก็จะยกรูปสลักนั้นขึ้นมองดูด้วยสีหน้าเครียดดุดัน ณ บริเวณเบื้องหลังเทวรูปพระหริหระอันตระหง่านเงื้อม ซึ่งมีโลงศิลาใหญ่ตั้งเป็นประธานอยู่เหนือแท่นหินนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและควันไฟจากที่บูชา สตรีสาวผู้เลอเสน่ห์หยุดลงหน้าพานหินที่มีเศียรศิลาขนาดเขื่องตั้งอยู่ เสียงที่เปล่งออกมาเหมือนพูดกับโลงนั้นโดยตรง

“ข้าจะทำอย่างไรดี โอ…พระเจ้าแม่ย่าทวดผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทาสของข้าแต่ละคนที่ใช้ให้ไปทำการ ล้วนแต่ล้มเหลวกลับมาทั้งนั้น แม้กระทั่งเจ้าเกียรติมุขก็ไม่สามารถทำอันตรายศัตรูของข้าได้…ว่ายังไง เกียรติมุข”

กระแสเสียงคำสุดท้ายดังกึกก้อง เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความขุ่นเคือง ดวงตาใหญ่งามในเบ้าเรียวยาวเบิกขึ้นเพ่งมองหน้าหินนั้นราวกับสะกดจิต

“รายงานให้พระเจ้าแม่ย่าทวดฟังซิ ถึงความล้มเหลวของเจ้า”

ดวงหน้าหินยังคงเฉยชาตามปกติของมัน หากมุมปากอันแสยะกว้างนั้นขยับน้อยๆ จนมองแทบไม่เห็น พินทุวดีก้มลงเอียงหูเข้าไปใกล้เหมือนจะสดับฟังเสียง ซึ่งมิได้ลอดออกจากปากนั้นเลย

“เจ้าแตะต้องตัวมันไม่ได้งั้นหรือ หา มันมีของดีคุ้มตัว…ของอะไรนะ เจ้าไม่รู้ดอกหรือ บัดซบ! เจ้ารู้แต่ว่าเข้าใกล้ไม่ได้เหมือนมีผนังที่มองไม่เห็นมากั้นไว้ยังงั้นหรือ อา นี่ข้ามาพบศัตรูคู่แข่งเข้าโดยไม่นึกไม่ฝันเสียแล้วสินะ”

ร่างงามสง่ายืดตรงขึ้นเต็มส่วนสัด สีหน้าเต็มไปด้วยแววหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง เสียงที่เอ่ยออกมาแผ่วเบาคล้ายรำพึงกับตัวเอง

“แต่ก็ยังดี เจ้าก็ฉลาดพอที่นำรูปสลักนี้กลับมาด้วย ข้าไม่รู้ว่ารูปนั้นศัตรูมันไปค้นพบได้ยังไง ทั้งๆ ที่หาทางป้องกันไว้แล้ว เวทมนตร์ของข้ามันคงเสื่อมไปบ้างตามกาลเวลา…เจ้าไวฑูรย์คนนี้ขืนปล่อยไว้มันจะต้องรู้ความลับของข้าแน่ มิหนำซ้ำมันเป็นนักโบราณคดีมีฝีมือเสียด้วย ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันมีอะไรดีคุ้มกันตัวอยู่…”

ร่างงามนั้นออกก้าวเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าที่บูชา แล้วราวกับตัดสินใจได้ สตรีสาวผู้ทรงอำนาจก้าวไปยังหน้าโลงหินใหญ่ น้อมกายลงแสดงความคารวะสูงสุด บรรจงดับไฟหน้าที่บูชาจนมอดหมด แล้วหมุนกายผละออกจากที่นั้น ก้าวยาวๆ ไปยังบันไดหินแคบๆ อันเป็นทางขึ้น ซอยเท้าขึ้นไปตามขั้นอันสูงชันนั้น กดปุ่มลับให้ช่องแคบที่ผนังเลื่อนออก แล้วผลุบออกไปพร้อมกับกดปุ่มปิดผนังนั้นไว้ตามเดิม

หล่อนก้าวมาตามระเบียงคดที่เรียงรายไปด้วยเทวรูปศิลาน้อยใหญ่ด้วยอาการของคนใช้ความคิด แต่แล้วจากหางตาอันคมฉับไว พินทุวดีสังเกตเห็นอะไรอย่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่เทวรูปหินทางขวามือ นัยน์ตาดำขลับจึงเบิกโตขึ้นอย่างระแวดระวังภัย มือทั้งสองกำแน่นในขณะหันขวับไปทันที

ร่างดำสนิทขนาดเกือบเท่าลูกสุนัขอัลเซเชียนยืดตัวขึ้นจากตักเทวรูปอุมามเหศวรที่มันขดตัวซุกอย่างสุขารมณ์ กระโดดลงมาสู่พื้นแล้ววิ่งเข้าเคล้าเคลียขาแข้งนายสาวของมันอย่างประจบประแจง

“กุเลน เอ๊ะ นี่เข้ามาได้ยังไง”

พินทุวดีอุทานอย่างฉงนฉงาย ก้มลงคว้าตัวแมวดำมหึมาขึ้นอุ้มไว้แนบอก นัยน์ตาอันมีแววสงสัยระคนขุ่นเคืองเหลือบปราดไปรอบห้อง

“เจ้าเข้ามาได้ยังไงฮึ กุเลน”

“ง้าว…”

เจ้ากุเลนตอบเป็นภาษาแมวเสียงเยือกเย็น พินทุวดีขมวดคิ้ว นัยน์ตาอันคมวาวมองไปด้านหน้าระเบียงคด แล้วรีบปราดไปที่นั่นทันที

ฝาผนังซึ่งปิดกั้นช่องระเบียงคดกับห้องเล็กหลังม่านซึ่งเคยเชื่อมปิดสนิทเหมือนผนังตันนั้น บัดนี้ มันเลื่อนห่างจากกันราวฟุตเศษๆ พอที่คนขนาดธรรมดาจะตะแคงลำตัวเดินผ่านออกไปได้

“ใครเปิดประตูไว้”

เสียงพินทุวดีเหี้ยมเกรียมด้วยความโกรธ หล่อนตะแคงตัวเดินผ่านช่องทางนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แหวกม่านผืนใหญ่ที่ปิดกั้นห้องเล็กออกไปโดยแรง นัยน์ตาอันว่องไวเหลือบเห็นประตูห้องท้องพระโรงรับแขกค่อยๆ ปิดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา หล่อนก็แผล็วไปที่นั่นทันที

“อุษาสวรรค์! นึกแล้วว่าต้องไม่ใช่ใคร เข้ามานี่ซิ”

เสียงเข้มงวดนั้นเหมือนขู่ฟ่อของนางพญางูไม่ผิด ร่างผอมหลังโค้งโกงที่เดินกลับเข้ามาในประตูอีกครั้ง จึงงกเงิ่นลนลานด้วยความเกรงกลัว

“เปิดช่องระเบียงคดไว้ทำไม หา” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดสนั่นอย่างไม่ยอมให้ตั้งตัวติด

“ปละ…เปล่า…ไม่ได้เปิด”

“โกหก! เราเองนั่นแหละจะมีใครที่ไหนอีก บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เปิดระเบียงคดไว้ทำไม จะแอบดูฉันงั้นรึ”

“เปล่า ไม่ได้แอบดู ไม่รู้ด้วยว่า เอ้อ คุณอยู่ในนั้น”

“อย่าโกหกฉันนะ”

เสียงเกรี้ยวกราดของพินทุวดีแหวขึ้นลั่นจนหญิงชราสะดุ้งโหยง อากัปกิริยาลนลานยิ่งขึ้นจนน่าสงสาร

“คุณผู้หญิงคะ”

เสียงอ่อนๆ ใสพลิ้วดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงแง้มประตูห้องก้าวผ่านเข้ามา

เจ้าของบ้านสาวหันขวับไปทางร่างระหงแบบบางที่ก้าวเข้ามาช้าๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววขุ่นเขียวค่อยคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างในชุดผ้าซิ่นฝ้ายมัดหมี่สีน้ำเงินลายขาวและเสื้อสีส้มกำลังประคองถาดบรรจุชามแก้วมีฝาปิดเข้ามา ดวงหน้าอ่อนแอร่มนวลละไมด้วยรอยยิ้ม

“บัวซื้อกระท้อนมาค่ะ เลยเอามาทำลอยแก้วให้คุณทาน แม่บอกว่าคุณอยู่ในนี้บัวก็เลยเอาเข้ามา ไม่ทราบว่าเจ้าอุษาสวรรค์ก็อยู่ด้วยเลยไม่ได้เอามาให้ แต่ทำเผื่อไว้แล้วค่ะ อยู่ในห้องอาหาร”

“ขอบใจบัว เอาวางไว้ที่โต๊ะนั่นแหละ…”

พินทุวดีตอบเรียบๆ สีหน้าและน้ำเสียงถูกสะกดให้เป็นปกติลงได้อย่างรวดเร็ว

“ตัดเสื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”

“ค่ะ คุณเบญญานัดให้ไปลองเสื้อวันมะรืนนี้”

“ดีแล้ว อ้อ บัวรู้ไหมว่า ใครเข้าไปทำอะไรหลังม่านนี้บ้าง”

หญิงสาวมองไปยังม่านมุมห้องแล้ว สีหน้าก็สลดลง

“บัวเองค่ะ บัวว่าจะเรียนคุณอยู่พอดี เมื่อตะกี้บัวตามกุเลนเข้าไปหลังม่าน กลัวมันจะแอบไปทำสกปรกไว้ เผอิญมือไปกระทบส่วนไหนของผนังก็ไม่ทราบ มันเลื่อนออกเองค่ะ บัวตกใจหมด ไม่ทราบจะปิดยังไง เลยคิดว่ารอไว้ถามคุณก่อนดีกว่า”

สีหน้าของพินทุวดีเคร่งขรึมลงอีก นัยน์ตาที่มองตรงมามีแววตำหนิระคนเกรี้ยวกราดจนหญิงสาวใจหายวูบ

“เลวมาก บัว ถึงทำไปโดยไม่ตั้งใจก็เถอะ คราวหลังอย่าไปป้วนเปี้ยนแถวหลังม่านนี่นะ ฉันขอห้ามอย่างเด็ดขาด หลังประตูกลที่ผนังนั้นฉันซ่อนเทวรูปของโบราณมีค่ามากเอาไว้ เผื่อขโมยมันรู้เบาะแสหาทางดอดเข้ามาขนไปหมดจะว่าไง แม่ด้วยก็เหมือนกัน…”

พินทุวดีหันไปทางเจ้าอุษาสวรรค์ นัยน์ตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยแววคุกคาม

“ขอห้าม อย่าเข้าไปยุ่งในห้องหลังม่านอีกเป็นอันขาด แม่แอบเข้าไปที่นั่นหลายหนแล้ว ฉันรู้นะ ต่อไปนี้ขอห้ามอย่างเด็ดขาด อะไรที่ฉันไม่ต้องการให้ใครรู้ ก็หมายความว่าฉันปกปิดเป็นความลับเฉพาะตัว ใครที่ละเมิดจะต้องโดนดีทุกคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม เข้าใจไหม”

เจ้าอุษาสวรรค์รีบพยักหน้ารับคำ แล้วหันหลังกลับเดินงกเงิ่นออกประตูไปอย่างลนลาน ทิ้งให้สโรชินียืนเผชิญหน้ากับนายสาวแต่ลำพัง

“กลับมานานแล้วหรือบัว” ขณะที่ถาม พินทุวดีมองปราดดูหญิงสาวอย่างสำรวจตรวจตราทั่วตัว

“สักชั่วโมงมานี่เองค่ะ บัวเข้ามามองหาคุณในนี้ไม่พบ พบแต่กุเลนแล้วก็ เอ้อ…บัวเลยออกไปทำลอยแก้วไว้ให้คุณ พอดีแม่บอกว่าคุณอยู่ในนี้ก็เข้ามาอีกค่ะ”

“เราเข้าไปในระเบียงคดหรือเปล่า”

“อะไรนะคะ อ๋อ…ช่องนั้นน่ะหรือคะ อื๋อ…บัวไม่กล้าเข้าไปหรอกค่ะ มืดออก”

“ไม่กล้าน่ะดีแล้ว ถ้าวันไหนเรากล้าขึ้นมาละก็จะลำบาก รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในบ้านนี้ ดูอย่างรายอลิศราเป็นตัวอย่างไว้เถอะ”

สโรชินีหน้าเผือดลงด้วยความสยองกลัว “ค่ะ คราวหลังบัวจะไม่เข้าไปหลังม่านอีก”

“ไม่ใช่หลังม่านอย่างเดียว ถึงที่อื่นซึ่งฉันไม่ได้อนุญาตก็เป็นสถานที่ต้องห้ามทั้งนั้น เข้าใจไหม”

หญิงสาวตอบรับคำแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน พินทุวดีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วสั่งห้วนๆ

“ไปบอกพ่อของเราให้เตรียมรถไว้เดี๋ยวนี้ ฉันจะออกไปข้างนอกอีกหน”

“ค่ะ”

หล่อนรับคำแล้วรีบผละออกมาโดยเร็ว หลังจากแวะบอกนายชินตามคำสั่งแล้ว สโรชินีก็เดินเลาะลัดไปตามสุมทุมพุ่มไม้ที่ตัดแต่งไว้เป็นระเบียบงามตาอย่างใจลอย หูได้ยินเสียงนายชินสตาร์ตรถออกไปจากบ้านแว่วๆ แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบเหมือนป่าช้า…แต่แล้วหญิงสาวก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมือมือหนึ่งยื่นออกจากหลังพุ่มแก้วใหญ่มาจับแขนหล่อนไว้แน่น

“อุ๊ย เจ้าอุษาสวรรค์นี่เอง แหม บัวตกใจหมด”

ร่างคุ้มงอของหญิงชราโผล่ออกมาเหลียวมองรอบข้างอย่างระมัดระวังระไวจนน่าขัน สโรชินีจึงบอกเบาๆ

“มองหาใครคะ ถ้ากลัวคุณผู้หญิงละก็ เธอไม่อยู่หรอกค่ะ ออกไปข้างนอกอีกแล้ว เจ้ามาทำอะไรเงียบๆ อยู่หลังพุ่มไม้นี่ล่ะคะ”

หญิงชรายังไม่หยุดสอดส่ายสายตา ครั้นแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอื่นก็หันมาจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง ตั้งกระทู้ถามด้วยเสียงแหบๆ

“ตะกี้นี้ทำไมยอมรับเสียเองล่ะว่า แม่หนูเป็นคนเปิดช่องที่ผนังนั่น”

สโรชินีหัวเราะกร่อยๆ “ก็บัวสงสารเจ้านี่คะ รู้แล้วละว่าเจ้าเข้าไปแอบดูคุณผู้หญิง ถ้าเธอรู้คงเอ็ดตาย บัวเลยออกรับเสียเอง”

“โถแม่คุณ อุตส่าห์ออกรับแทนคนแก่…ไม่รู้อีโหน่อีเหน่สักหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ บัวถูกเอ็ดยังดีกว่าเจ้าถูกดุนะคะ”

“หนูไม่รู้อะไร” เจ้าอุษาสวรรค์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบด้วยท่าทางวิตกเป็นทุกข์

“เขาทำอะไรอยู่ในห้องใต้ดินนั่นยายรู้นะ…ยายแอบเห็น โอ๊ยน่ากลัว…น่ากลัวจริงๆ”

“เจ้าเห็นอะไร”

“เห็น…เห็นสารพัดอย่างที่มนุษย์มนาเขาไม่ทำกันน่ะแหละ…ยายขอเตือนแม่หนูนะ อย่าพยายามเข้าไปดู เดี๋ยวจะกลัวจนขนหัวลุกอย่างยายอีกคน”

“กลัวอะไรคะ”

“ทั้งนั้นแหละ ผีดิบ ผีตายซาก และ…เขา…เขานั่นแหละตัวดี…เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก แต่…น่ากลัวเหลือเกิน”

“ผีดิบหรือคะ เอ๊ะ บัวว่าบัวก็เคยเห็นนะ เพียงแต่เห็นในฝันเท่านั้น”

หญิงชราส่ายหน้าช้าๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววตื่นกลัว

“ไม่ใช่ฝัน แต่มันเป็นความจริง จริงแท้ๆ เลยทีเดียว บางทีแม่หนูก็อยู่ที่นั่นด้วยกระมัง แต่ไม่รู้สึกตัว ก็ดีเหมือนกันที่ไม่รู้สึกรู้สม จะได้ไม่สะดุ้งกลัวขนหัวลุกอย่างยาย”

“ที่ไหนได้คะ ถึงเป็นความฝันบัวก็กลัวเกือบตาย”

“แต่ความจริงน่ากลัวกว่านั้นมากนัก บัวเอ๊ย…ยายอยากตายให้พ้นๆ ไปเสียเหลือเกิน อยู่อย่างนี้มันทรมานใจสิ้นดี”

“บัว อยู่ไหนลูก”

เสียงนางปทุมร้องเรียกดังมาขัดจังหวะ สโรชินีหันมามองหญิงชราอย่างอ่อนโยนและเห็นใจ

“เจ้าสงบใจไว้ก่อนเถอะค่ะ อย่าคิดมาก บัวเข้าใจว่าเจ้าคงถูกสะกดจิตให้เห็นอะไรแปลกๆ อย่างคุณอลิศรานั่นแหละ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ คุณผู้หญิงเธอทดลองวิชาสะกดจิตเท่านั้น เอ้อ แม่เรียกอีกแล้ว บัวไปก่อนนะคะ เจ้าไปนอนเสียเถอะค่ะ เดี๋ยวบัวจะแช่กระท้อนเก็บไว้ให้”

สโรชินีผละออกจากที่นั่นไปแล้วอย่างว่องไว แต่เจ้าอุษาสวรรค์ยังยืนอยู่ที่เดิม นัยน์ตาฝ้าฟางเหมือนน้ำข้าวของแกเต็มไปด้วยแววครุ่นคิดระคนสยองกลัว พลางสั่นศีรษะช้าๆ พูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“ไม่ใช่สะกดจิตหรอก เด็กเอ๋ย เป็นของจริงทีเดียวละ แม่หนูยังเด็กนักแถมซื่อและหัวอ่อนด้วย จะไปรู้ทันเขาได้ยังไง โธ่ พินทุวดี กรรมเวรอะไรหนอ ทำให้เป็นคนอย่างนี้…”

 

นายแพทย์ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา มาถึงบ้านพิษณุเศรณีรวดเร็วทันใจ ทัดเทพกวักมือให้มาร่วมวงรับประทานอาหารกลางวันด้วย วันนี้บิดามารดาของเขาไม่อยู่ หนุ่มทั้งสามจึงเอะอะกันได้ตามใจชอบ

“ใครถูกผีเข้าอีกล่ะ ถึงได้ตามข้ามา”

คุณหมอหนุ่มเอ่ยถาม ดวงตาในแว่นสีขาวอันส่ออารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์นั้น มองดูสีหน้ายุ่งยากของไวฑูรย์อย่างขันๆ

“ไอ้ฑูรย์น่ะซี เอาเข้าอีกแล้ว”

ทัดเทพตอบ นายแพทย์เชื้อพระวงศ์ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ

“เอ็งหรือวะ ไอ้ฑูรย์ คราวนี้โดนอะไรล่ะ เสน่ห์ยาแฝด หรือใครเสกหนังควายเข้าท้อง”

ไวฑูรย์จุปากอย่างรำคาญใจ “อย่ามัวพูดเล่นเลยโว้ย ไอ้หมอ ข้ากำลังแย่จริงๆ ช่วยกันคิดหน่อยซี กลุ้มจะตายห่ะอยู่แล้ว”

“ก็มันเรื่องอะไรกันเล่า”

หมอสโรชพันธุ์ถามเสียงสูง ทัดเทพจึงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเสียเอง นายแพทย์หนุ่มนิ่งฟังอย่างสนใจ
จนจบ แล้วจึงเอ่ยขึ้นกับหนุ่มโบราณคดี

“เป็นอันว่า ของของคนอื่นที่เอ็งรักษาไว้เกิดหายไปทั้งสองอย่าง…แล้วเอ็งจะให้ข้าทำไงวะ สืบหาตัวผู้ร้ายมาให้เอ็งเตะ หรือว่าให้หล่อของใหม่ขึ้นแทน”

“ไอ้…ช่วยกันคิดหน่อยซีโว้ย ว่าจะทำยังไงดี”

“ไม่เห็นจะต้องทำยังไง บอกเจ้าของเขาไปตรงๆ ซีวะ ว่าโดนมือดีฉกไปแล้ว เอ็งยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ซักสี่ซ้าห้าบาท ถ้าต้องการมากกว่านี้ให้ไปฟ้องร้องเอาเอง”

“อย่าพูดเล่นโว้ย หมอ” ทัดเทพขัดขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“ข้าอยากจะถามเอ็งสักสองข้อ ตามหลักวิชาที่เอ็งเรียนมาน่ะ คนที่มีอำนาจจิตกล้าแข็งจริงๆ สามารถสะกดบังคับสิ่งของที่ไม่มีชีวิตให้เคลื่อนไหวได้บ้างไหมวะ”

นายแพทย์หนุ่มทำหน้าชอบกล

“เท่าที่รู้ ไม่เคยพิสูจน์ได้ว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้จริงๆ มีแต่คนสะกดจิตคนด้วยกัน เช่นรัสปูติน เชื่อกันว่ามีอำนาจจิตกล้าแข็งมาก สะกดใครๆ ให้ตกอยู่ในอำนาจได้ทั้งนั้น เอ็งถามทำไมวะ”

“เอ็งไม่เชื่อหรือว่าสิ่งของบางอย่างเช่นรูปเคารพ เมื่อคนเซ่นไหว้เคารพบูชามากๆ เข้า อำนาจจิตของคนไปรวมอยู่ที่จุดนั้นเป็นจุดเดียว เกิดเป็นพลังงานที่ทำให้รูปเคารพนั้นๆ ‘ขลัง’ ขึ้นได้”

ไวฑูรย์ถามอย่างเอาจริงเอาจัง หมอสโรชพันธุ์ส่ายหน้า

“เอ็งกำลังพูดถึงเจ้าพ่อหรืออะไรสักอย่างที่มีอำนาจลึกลับใช่ไหม งั้นเราก็พูดกันคนละเรื่อง ข้าพูดตามหลักวิชาโว้ย หลักวิชาที่เป็นจริงและพิสูจน์ได้แน่นอน ส่วนแบล็กเมจิกอย่างที่เอ็งว่า ข้าไม่มีความรู้และไม่สนใจด้วย ข้ารู้แต่ว่าพวกโยคีที่แสดงกลให้นักท่องเที่ยวดูชมเป็นตุเป็นตะว่าเป่าปี่ร่ายมนตร์ให้เส้นเชือกตั้งได้ แล้วไต่เชือกให้ดูด้วยนั้น มองดูก็เหมือนกับว่าพวกนั้นมีอำนาจจิตบังคับเส้นเชือกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้ แต่ความจริงเปิดเผยออกมาแล้วเว้ย มีนักทัศนาจรแอบถ่ายรูปโยคีกำลังปืนเชือกเหยงๆ พอล้างฟิล์มออกมาดู ปรากฏว่าเป็นรูปโยคียืนอยู่ข้างๆ กองเชือกธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโยคีสะกดจิตคนดูให้เห็นไปได้ต่างๆ ตามที่เขาต้องการ…อย่างกรณีคุณอลิศราที่พบอะไรเข้าในบ้านเจ้าหญิงเขมรคนนั้น ข้าถึงได้คิดว่าเป็นการสะกดจิตแบบนี้นี่เอง”

“อืม” สองสหายครางออกมาพร้อมๆ กัน แล้วไวฑูรย์จึงเอ่ยต่อไป

“เป็นอันว่า เอ็งไม่เชื่อว่าของที่หายถูกอำนาจมืดทำให้มันล่องหนไป”

นายแพทย์สโรชพันธุ์ส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน

“เอ็งก็เป็นคนสมัยใหม่ ฑูรย์ คิดดูด้วยเหตุผลง่ายๆ ซีวะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เอ็งว่าเห็นลูกกะตายักษ์นั้นกลอกได้ ก็เพราะเอ็งครุ่นคิดถึงมันมากจนประสาทเครียด จึงเห็นเป็นตุเป็นตะไป ก็เท่านั้นแหละ”

“เอ้า ทีนี้คำถามข้อที่สอง” ทัดเทพเอ่ยขึ้นพร้อมกับรวบช้อนส้อมอิ่มอาหาร

“ขากลับจากเยอรมนี เอ็งแวะอินเดียด้วยใช่ไหม”

นายแพทย์หนุ่มรวบช้อนส้อมอิ่มบ้าง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วจึงตอบ “ใช่ ทำไมหรือ”

“เอ็งพอจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรเมืองร้อนด้วยไหมวะ”

“มีน้อยมากจนแทบไม่มีเลย ทำไมล่ะ”

ร.ต.ท.ทัดเทพถอนใจอย่างหนักหน่วง “เอ็งพอจะรู้เรื่องว่านบางอย่างที่มีสรรพคุณพิเศษ ชุบคนแก่ให้เป็นสาวบ้างไหมวะ หมอ”

นายแพทย์เชื้อพระวงศ์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หรี่ตามองดูสหายอย่างไม่แน่ใจ

“เอ็งเป็นตำรวจหรือเป็นพวกปาหี่ขายยากันแน่วะ เทพ”

“นี่พูดจริงๆ นะโว้ย ซีเครียดหน่อย ถามจริงๆ วะหมอ เอ็งพอรู้เรื่องพรรค์นี้มั่งไหม”

คุณหมอหนุ่มนิ่งอึ้งไป ยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด

“เคยเหมือนกันแหละวะ แต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ ได้ยินว่ามีว่านบางอย่างกินแล้วมีสรรพคุณกระตุ้นฮอร์โมนให้คึกคักขึ้น ทำให้คนกินมีอาการกระชุ่มกระชวยแข็งแรงขึ้นได้บ้าง แต่จะเปลี่ยนสภาพจากคนอายุเก้าสิบเป็นสิบเก้าน่ะ เห็นจะยากส์ส์ส์”

“ถ้ามีตัวตนให้เห็นเป็นพยานล่ะ เอ็งจะว่ายังไง”

หมอสโรชพันธุ์ชะโงกมาข้างหน้า จ้องมองนายตำรวจหนุ่มอย่างสนใจ

“เอ็งหมายความว่า มีคนแก่กินยาว่าน แล้วกลับเป็นหนุ่มได้ยังงั้นหรือ”

“เออ”

“อิมพอสสิเบิ้ล!”

“ไม่เบิ้ลหรอกโว้ย มีแล้วจริงๆ”

“ใครวะ”

ทัดเทพอึ้งไปชั่วอึดใจ ทั้งหมอสโรชพันธุ์และไวฑูรย์รอฟังคำตอบอย่างชนิดกลั้นใจเป็นนาน นายตำรวจหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“พินทุวดีไงล่ะ คุณบัวเล่าให้ฟังว่า ตอนเธอเด็กก็เห็นพินทุวดีเป็นสาวอย่างเดี๋ยวนี้แหละ เวลาผ่านมาได้ยี่สิบปีแล้ว ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเพราะกินว่านอย่างหนึ่งเข้าไปนั่นแหละ เอ็งว่าไงล่ะวะ ท่านดอกเตอร์”

 

 



Don`t copy text!