อมฤตาลัย ตอนที่ 23

อมฤตาลัย ตอนที่ 23

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

สตรีสาวร่างแน่งน้อยที่เดินคล้อยหลังไปบนบาทวิถีแห่งนั้น สะดุดตา ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี อย่างจัง เขาเพ่งดูจนจำได้แน่แล้ว ดวงหน้าก็เรื่อขึ้นด้วยความปีติยินดี ชายหนุ่มชะลอความเร็วของรถลง ให้สัญญาณชิดซ้ายแล้วจอดลงทันที เคราะห์ดีที่ริมถนนส่วนนั้นยังมีที่ว่างอยู่บ้าง เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็รีบก้าวยาวๆ ตามร่างงามนั้นไปโดยเร็ว

“สวัสดีครับ คุณบัว”

เสียงทักที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้สตรีสาวผู้นั้นสะดุ้ง หันขวับมาทันที ครั้นเห็นว่าเป็นใคร ดวงตาคู่งามก็เบิกโตขึ้น ผิวหน้านวลละเอียดเปล่งปลั่งเหมือนกลีบดอกไม้แดงระเรื่อขึ้นทันทีด้วยความปีติ

“คุณทัดเทพ”

เสียงทักแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากบางงามทั้งคู่จนแทบไม่ได้ยิน กิริยาสะทกสะเทิ้นขวยอาย ทำให้นายตำรวจหนุ่มจ้องมองด้วยความเอ็นดูระคนพึงใจ

“วันนี้หนีเจ้านายออกมาเที่ยวหรือครับ ใจจืดเสียจริงที่ไม่บอกกล่าวผมบ้างเลย”

สโรชินีอยากจะย้อนถามว่า ก็ทำไมจะต้องบอกด้วย แต่ความที่ไม่คุ้นเคยกับการต่อปากต่อคำกับเพศตรงข้ามทำให้อ้ำอึ้ง แล้วตอบออกมาเบาๆ

“ไม่ได้หนีค่ะ คุณผู้หญิงให้บัวมาตัดเสื้อที่ร้านเบญญา เสร็จแล้วบัวก็ไถลมาแถวนี้”

ทัดเทพหัวเราะอย่างขบขัน “นั่นแหละ เรียกว่าหนีเที่ยวละครับ ดีละ ผมจะฟ้องคุณพินทุวดี”

ดวงหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อย หางเสียงก็สะบัดนิดๆ อย่างเริ่มมีแง่งอน

“เชิญตามสบายเถอะค่ะ คุณผู้หญิงเป็นคนสั่งให้บัวออกมาเอง”

“ตัดเสื้อที่ไหนนะครับ ร้านเบญญาอยู่ที่สุขุมวิทไม่ใช่หรือ”

“ที่นี่เป็นสาขาเพิ่งเปิดใหม่ค่ะ คุณเบญญามาคุมอยู่ทางนี้ คุณทัดเทพจะไปไหนคะ”

“คุณแม่ผมวานให้ออกมาซื้อของให้น่ะครับ เจอคุณบัวก็ดีแล้วจะได้ขอแรงช่วยผมเลือกหน่อย เรื่องของผู้หญิงผมไม่ค่อยรู้หรอกครับ คุณบัวนึกว่าช่วยสงเคราะห์ด้วยเถอะ เอาบุญ”

“พูดอะไรอย่างนั้นคะ” หญิงสาวหน้าแดงเป็นคำรบสอง ความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อเขาละลายหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อพบหน้านายตำรวจหนุ่ม

“บัวเป็นคนหูป่าตาเถื่อนอยู่แต่ในบ้าน จะเลือกอะไรเป็นคะ”

“โถ…พูดอะไรอย่างนั้น” ชายหนุ่มทำเสียงล้อ รู้สึกอารมณ์สดชื่นเป็นสุขขึ้นอย่างประหลาดเมื่อได้เดินเคียงมากับหญิงสาวสวยผู้นี้

“คุณบัวไม่ค่อยออกจากบ้านบ่อยก็จริง แต่ก็มีความคิดเป็นตัวของตัวเองนี่ครับ การเลือกของตามใจชอบของคุณคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร”

“ถ้าบัวชอบแล้วคุณแม่ของคุณท่านไม่ชอบล่ะคะ”

“ผมเชื่อรสนิยมคุณบัวครับ”

“ฮื้อ คุณทัดเทพรู้จักบัวไม่เท่าไร จะทราบได้ยังไงคะว่า รสนิยมของบัวเป็นยังไงบ้าง”

“เอาเถอะน่า ผมเชื่อว่าดีก็แล้วกัน…จะไปทางไหนกันดีครับ”

“บัวตั้งใจจะเดินดูของไปเรื่อยๆ ทางนี้”

“ครับ ผมจะเดินไปด้วย”

หญิงสาวหันมาทำตาโต “แล้วไม่ไปทำงานหรือคะ”

“วันนี้วันหยุดครับ”

“อ้อ…จริงสิ วันเสาร์ บัวไม่ใช่คนทำงานนอกบ้าน วันเดือนปีแทบไม่มีความหมายเลยค่ะ”

กระแสเสียงอ่อนใสนั้นมีแววค่อนข้างเศร้า ชายหนุ่มเหลือบมองอย่างเห็นใจ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อเห็นดวงหน้างามละมุนชักจะหมองลง

“คุณบัวตัดเสื้อใหม่ เตรียมไปงานที่ไหนหรือเปล่าครับ”

“คุณผู้หญิงจะให้บัวไปงานแฟนซีลีลาศด้วย แล้วให้มาตัดชุดแฟนซีน่ะค่ะ”

นัยน์ตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววยินดีปรีดาเมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น

“หรือครับ ผมดีใจจริงๆ ที่คุณบัวไปงานนี้ด้วย ผมก็ไปเหมือนกัน คุณบัวแต่งตัวเป็นอะไรบอกได้ไหมครับ หรือว่าเป็นความลับ”

“ชุดนางกำนัลขอมค่ะ เป็นคนแบกกลดให้คุณผู้หญิงที่จะแต่งเป็นนางพญา”

ทัดเทพขมวดคิ้วนิดหนึ่ง รู้สึกสะดุดใจในประโยคนั้นทันที

“นางพญาขอมน่ะหรือครับ เผอิญสมัยเรียนหนังสือผมก็ตกวิชาประวัติศาสตร์เสียด้วย เลยไม่รู้ว่าเขมรเคยมีนางกษัตริย์ครองเมือง”

“ไม่ใช่เขมรค่ะ แต่เป็นขอมโบราณ คุณผู้หญิงบอกว่า นางกษัตริย์องค์นี้ไม่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ เพราะไปทำผิดอะไรเข้าก็ไม่ทราบ จึงถูกลบชื่อหมดทั้งชื่อเมืองและชื่อนางพญาด้วย”

“นางพญาคนนี้ชื่ออะไร คุณบัวทราบไหมครับ” ทัดเทพถาม แล้วกลั้นใจรอฟังคำตอบ

“เห็นบอกว่าชื่อนางพญาพันธุมเทวีค่ะ แต่บัวไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่า คุณผู้หญิงบอกว่าที่เลือกแต่งแฟนซีชุดนี้ก็เพราะนางพญาชื่อคล้ายคุณผู้หญิง และตัวเธอเองก็เป็นชาวเขมรอยู่ด้วย”

“ก็ในเมื่อถูกลบชื่อจากประวัติศาสตร์ไปแล้ว ทำไมคุณพินทุวดีถึงทราบเรื่องราวของนางพญาองค์นี้ได้ล่ะครับ”

สโรชินีหัวเราะเบาๆ “คุณทัดเทพลืมไปเสียแล้วว่า คุณผู้หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์เขมรเก่าแก่ เธอมีความรอบรู้ในเรื่องราชวงศ์อย่างลึกซึ้งมาก ชอบพูดถึงเรื่องเก่าๆ ที่บัวฟังไม่เข้าใจอยู่เสมอแหละค่ะ พอซักถามเข้า ถ้าอารมณ์ไม่ดีเธอก็ดุเอา บัวเลยไม่ซักถามอีก เอ้อ…คุณทัดเทพล่ะคะ จะแต่งชุดอะไร”

“ยังไม่ทราบเลยครับ คุณบัวช่วยคิดบ้างซี”

“เป็นผู้กำกับเนสดีไหมคะ ที่ปราบแอลคาโปนนั่นไง”

ร.ต.ท.ทัดเทพหันมามองหน้าหญิงสาวอย่างทึ่งจัด

“คุณบัวรู้จักผู้กำกับแอลเลียตเนสด้วยหรือครับ ผมไม่คิดว่าผู้หญิงจะสนใจเรื่องสืบสวนสอบสวนอย่างนี้เสียอีก”

หญิงสาวหัวเราะอีกด้วยแววตารื่นรมย์ “บัวชอบอ่านหนังสือนี่คะ เรื่องนี้พ่อหามาให้อ่าน บอกว่าเป็นความรู้ดี ที่บ้านมีหนังสือเก่าๆ เยอะ คุณผู้หญิงเก็บไว้ บัวเอามาอ่านหมดเลยค่ะ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย นี่บัวตั้งใจว่าวันนี้ถ้ามีเวลาจะไปหาซื้อหนังสือแถวใกล้ๆ นี้ด้วยค่ะ”

ชายหนุ่มมองหน้างามนั้นอย่างนิยมชมชื่นลึกซึ้ง

“ผมดีใจจังที่ใจเราตรงกัน ผมก็ชอบอ่านหนังสือมากครับ สมัยเรียนหนังสืออยู่ผมอ่านจังเลย เดี๋ยวนี้พอออกทำงานชักไม่ค่อยมีเวลา”

“บัวซีคะ ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือตามโรงเรียนกับเขา พ่อกับแม่สอนให้ทั้งนั้น แล้วสอบเทียบเอา คุยกับใครก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง”

“แต่ผมรู้เรื่องดีทีเดียวครับ…คุณบัวอย่าคิดว่าการเรียนหนังสือจะช่วยให้คนปราดเปรื่องไปหมดทุกคนซีครับ คนหาบเต้าฮวยไม่รู้หนังสือสักตัวยังกลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตได้ ส่วนคนร่ำเรียนสูงๆ เอาตัวรอดไม่ได้ก็มีเยอะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวคนครับ ความรู้หนังสือบางทีก็สู้ความรอบรู้ไม่ได้ สำหรับคุณบัวอย่าถือเรื่องนี้เป็นปมด้อยเลยครับ คุณมีอีกหลายอย่างที่เป็นสิ่งชดเชย”

“ขอบคุณค่ะที่ให้กำลังใจ ถึงไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรชดเชยความโง่บ้าง ก็ยังขอขอบคุณอยู่ดีน่ะแหละ…ว่าแต่คุณทัดเทพอย่าเชื่อบัวเลยค่ะ เรื่องแต่งแฟนซีน่ะ บัวก็พูดไปยังงั้น ถ้าแต่งเป็นผู้กำกับเนสก็ใส่เพียงชุดสากลแบบเก่าธรรมดาๆ ไม่น่าดูอะไร บัวว่าแต่งชุดที่มันแปลกตากว่านั้นดีกว่าค่ะ”

“เช่นอะไรดีครับ เห้งเจีย หรือพระยาแกรกดีไหม”

สโรชินีหัวเราะคิก ทำท่าเหมือนจะค้อนแต่เมื่อรู้ตัวก็เสเมินไปทางอื่น

“อุ๊ย ไม่ถึงยังงั้นหรอกค่ะ รูปร่างคุณทัดเทพห่างไกลจากเห้งเจียมาก และก็ไม่ต้องถึงกับทำเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างพระยาแกรกด้วย เอาแค่พระราชวรินทร์ดีกว่า กรมพระตำรวจในสมัยก่อนน่ะค่ะ”

ผู้หมวดหนุ่มดีดนิ้วดังเปาะ นัยน์ตาแจ่มใสขึ้นทันที

“ดีครับ ความคิดนี้เข้าที ผมมีชุดนักรบสมัยก่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนอีก ขอบคุณจริงๆ สำหรับไอเดียของคุณบัว”

สองหนุ่มสาวเดินคุยกันไปพลางอย่างรื่นรมย์ สโรชินียอมรับกับตัวเองว่าวันนี้อะไรๆ ดูแจ่มใสไปหมด แสงแดดในยามสายดูเป็นสีทองสะพรั่ง ยวดยานพาหนะขวักไขว่ส่งเสียงดังสนั่นก็ไม่ระคายโสตประสาทหญิงสาวอย่างแต่ก่อน ส่วนทัดเทพนั้น บอกกับตัวเองว่าเขามีความสุขที่สุดเมื่อเดินเคียงข้างไปกับร่างระหงบอบบางในชุดเสื้อผ้าป่านแบบเรียบพื้นสีขาว มีลวดลายดอกไม้ประดับเป็นช่อๆ สีชมพู ฟ้า และม่วง ดูอ่อนหวานน่าพึงพิศ ในย่านนั้นได้ชื่อว่าเป็นถิ่นที่สาวโสภามาจับจ่ายเดินซื้อของอยู่มากมาย แต่ทัดเทพแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเลยสักคนที่จะทรงความงามอ่อนหวานน่ารักเท่าสตรีที่เคียงเขาอยู่ในขณะนี้

ร.ต.ท.ทัดเทพพาหญิงสาวเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ดูสินค้าสำหรับสตรีไปเรื่อยๆ อย่างมิรู้เบื่อหน่าย สโรชินีซื้อของใช้กระจุกกระจิกสำหรับสตรี ๒-๓ อย่าง ซึ่งไม่มีราคาค่างวดนัก กับผลไม้เล็กน้อยที่วางหาบขายบนทางเท้า ทัดเทพสังเกตดูก็รู้ว่าหล่อนไม่ค่อยมีเงินติดตัวมาด้วยมากนัก เขาบังเกิดความสงสารและเห็นใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งเมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่อยู่นั้นค่อนข้างเก่า ชายหนุ่มก็ตัดสินใจชวนหญิงสาวเข้าไปในร้านจำหน่ายเสื้อผ้าสตรีสำเร็จรูปร้านใหญ่ในละแวกนั้นทันที

“คุณแม่ของคุณ ท่านให้ซื้ออะไรนะคะ”

สโรชินีถามโดยซื่อ ทัดเทพซ่อนยิ้มไว้ในหน้าอย่างแนบเนียนขณะที่ตอบ

“ท่านให้ผมซื้อผ้าพันคอน่ะครับ คุณบัวช่วยเลือกหน่อยว่าผืนไหนดี”

หญิงสาวมองดูผ้าพันคอสีสวยราคาแพงจากต่างประเทศที่แขวนเรียงรายอยู่ตรงหน้า แล้วดึงออกมาผืนหนึ่ง

“บัวไม่ทราบว่าคุณแม่คุณท่านอายุเท่าไร คิดว่าสีนี้คงไปกันได้กับผู้ใหญ่ทุกวัยนะคะ”

แพรพันคอชิ้นยาวในมือหญิงสาวเป็นแพรฝรั่งเศสสีช็อกโกแลตมีจุดกลมสีเขียวยอดตองตรงชายทั้งสองข้าง ทัดเทพดีดนิ้วดังเปาะ

“สวยมากครับ คุณแม่ผมมีเสื้อสีนี้เยอะแยะ ตกลงผมเอาผืนนี้ละครับ ช่วยห่อให้ด้วย”

แล้วเขาหันมาทางหญิงสาว ชี้ไปทางเสื้อสำเร็จรูปที่แขวนเรียงรายอยู่ตามที่แขวนเสื้อ

“คุณบัวไม่สนใจดูผ้าพวกนั้นหรือครับ สวยๆ ทั้งนั้น”

ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เมื่อเลือกหยิบดูเสื้อสำเร็จรูปเหล่านั้น หล่อนคลี่เสื้อตัวหนึ่งออกมาดูอีกอย่างพอใจ ทัดเทพจึงเอ่ยขึ้น

“ชุดนี้สวยนะครับ เหมาะกับคุณบัวมาก เอาไปลองสวมดูก่อนซีครับ ห้องลองอยู่ทางโน้น”

สีหน้าของหญิงสาวสลดลง แต่ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนเสีย “อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวเสียเวลาคุณทัดเทพ”

“โธ่ วันนี้ผมว่างไม่มีอะไรทำเลย มาซื้อของให้คุณแม่เท่านั้นแล้วก็ซื้อได้แล้วด้วย เวลาต่อไปนี้เป็นของคุณบัวละครับ”

“บัวก็ต้องรีบกลับเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวคุณผู้หญิงว่าเอา”

“ไม่ว่าหรอกครับ เราเดินกันยังไม่นานเท่าไรเลย ลองทาบกับตัวดูก่อนซีครับว่าจะใส่ได้หรือไม่”

สโรชินีทาบเสื้อชุดนั้นกับตัวของหล่อน พลางหันไปมองกระจกเงาบานใหญ่เต็มตัวที่ติดอยู่ข้างฝา คนขายในร้านตรงเข้ามาช่วยแนะนำและวัดตัวให้หล่อน พร้อมกับเจรจาเชิญชวนอย่างน้ำไหลไฟดับ

“สวยนะคะชุดนี้ พอดี๊พอดีกับตัวคุณเปี๊ยบเชียว เพราะเสื้อก็สวย คนสวมก็ยิ่งสวยไม่มีที่ติ รับไปสักชุดซิคะ”

สโรชินีมองเงาตนเองที่ปราฏในกระจก เสื้อชุดที่ทาบตัวหล่อนอยู่นั้นเป็นแพรเนื้อนุ่มสีฟ้าใส ปักฉลุลายดอกไม้เล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มที่แขนเสื้อ ซึ่งยาวจรดข้อมือ มีสีเพนต์ประกอบพองาม ตัวกระโปรงอัดพลีตจีบพลิ้วเหมือนดอกไม้บาน

“เท่าไหร่ครับ”

ทัดเทพถาม สตรีผู้ขายบอกราคาด้วยจำนวนเงินที่สโรชินีเกือบสะดุ้ง แต่ร้อยตำรวจโทหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

“ตกลงครับ ช่วยห่อให้ด้วย”

พนักงานขายรีบรับคำ แล้วหอบเสื้อเดินไปทางหลังร้านอย่างยิ้มกริ่ม สโรชินีหันไปมองชายหนุ่มอย่างงงๆ ในใจนึกไปถึงนางแบบสาวชื่อดังที่เคยบุกไปหาพินทุวดีถึงในบ้าน แล้วสีหน้าอิ่มเอิบด้วยความสุขก็พลันสลดลง

“ซื้อให้คุณอลิศราหรือคะ บัวเกรงว่าเธอจะใส่ไม่ได้ ก็เธอค่อนข้างผอมและสูงกว่าบัวนี่คะ”

ทัดเทพอมยิ้ม “เปล่าครับ ไม่ได้ให้ใคร”

“งั้นจะสวมเองหรือคะ หวังว่าคงไม่แต่งแฟนซีด้วยชุดนี้นะคะ”

สโรชินีพยายามพูดให้ขัน ทั้งๆ ที่ใจคอแห้งผาก ทัดเทพยิ้มมากขึ้น

“ใครสวมได้ก็เป็นของคนนั้นแหละครับ คุณบัวอย่าเดาเลย ชุดนี้ของคุณบัวต่างหากครับ”

“ของบัวหรือคะ ก็บัวยังไม่ได้ซื้อ…เอ๊ะ…คุณทัดเทพให้บัวหรือคะ”

ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งของหญิงสาวแดงระเรื่อขึ้น พร้อมกับดวงตางามเป็นประกายวับ หากไม่ได้เป็นไปด้วยความดีใจ มันมีแววหยิ่งและปึ่งชาแฝงอยู่เต็มเปี่ยม เสียงที่พูดพยายามให้เรียบ แต่ก็ยังไม่วายสั่นน้อยๆ

“ขอบพระคุณที่กรุณา แต่บัวรับไม่ได้หรอกค่ะ บัวไม่เคยรับของใคร ถ้าราคามันสักสองสามบาทก็คงพอไหว นี่ตั้งครึ่งค่อนพัน คุณทัดเทพไม่ต้องหว่านเงินบัวก็ทราบแล้วค่ะว่าร่ำรวย แต่ขอโทษเถิดอย่าแสดงความรวยของคุณให้บัวเห็นด้วยวิธีนี้เลย”

สีหน้าของนายตำรวจแดงขึ้นบ้าง รีบละล่ำละลักอย่างร้อนรน

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณบัว โธ่ ทำไมถึงเข้าใจไปใหญ่อย่างนั้น ผมคิดว่าผมเป็นเพื่อนคุณบัวแท้ๆ เพื่อนจะให้อะไรแก่เพื่อนบ้างไม่ได้เชียวหรือครับ หรือคุณบัวไม่ยอมรับผมเป็นเพื่อน”

ประโยคท้ายของเขาเต็มไปด้วยแววน้อยใจ น้ำเสียงของหญิงสาวจึงอ่อนลงเล็กน้อย

“บัวไม่อาจเอื้อมเป็นเพื่อนกับคุณหรอกค่ะ คุณทัดเทพ คุณเป็นเพื่อนของนาย แตกต่างกับบัวมากนัก อย่าพูดอย่างนี้อีกเลยค่ะ”

“คุณบัวไม่เคยได้ยินโคลงที่ว่า ‘ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน’ บ้างหรือครับ…ทำไมถึงต้องรังเกียจคนอย่างผมด้วย ไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยที่เกิดมาเป็นตัวผมอย่างนี้”

“แล้วคุณทัดเทพก็ไม่เคยได้ยินกลอนนี้หรือคะ ‘เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง มิใช่ยูงจะมาย้อมไม่เห็นขัน’ น่ะ”

“คุณบัวไม่ใช่เต่าแล้วก็ไม่ใช่นกยูง แต่เป็นคนที่มีสิทธิเท่ากับผมทุกประการ ทำไมจะต้องถ่อมตัวถึงอย่างนั้นครับ …แต่ผมว่าเราอย่ามาเถียงกันเลย คนขายมองมาแล้ว อายเขาเปล่าๆ ถ้าคุณบัวไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร ผมจะเอาไปเก็บไว้เอง”

“โธ่ คุณทัดเทพ อย่าเสียเงินเปล่าๆ เลยค่ะ คืนเขาไปก็ได้”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างแข็งขัน “ไม่ครับ ผมจะเอาไปไว้ดูเป็นที่ระลึก เพื่อเตือนให้เจียมตัวว่าผมเป็นที่รังเกียจของคุณบัว จะได้ไม่เสนอหน้าให้เห็นอีก”

สโรชินีอยากจะโกรธเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่อะไรบางอย่างในใจทำให้หล่อนโกรธไม่ลง อ้ำอึ้งอยู่เป็นครู่ แล้วจึงพูดอ่อยๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แหม คุณไม่ยอมเข้าใจเลย บัวไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย แต่บัวรับไม่ได้จริงๆ นะคะ พ่อเคยสอนไว้ ไม่ให้รับของผู้ชายคนไหนที่ไม่ใช่ญาติ บัวขัดพ่อไม่ได้หรอกค่ะ”

สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มแจ่มใสขึ้น เขามองไปที่มือของหล่อนแล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจัง

“งั้นถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะครับ คุณบัวพอจะแลกได้ไหม”

สโรชินีทำหน้าตื่น “แลกกับอะไรคะ บัวไม่มีอะไรมีค่าติดตัวมาเลย”

“มีซีครับ แหวนนั่นไง ถ้าคุณไม่รักมันมากละก็ ผมอยากจะขอแลกมาสวมมั่ง”

หญิงสาวก้มลงมองมือของตนเอง ที่นิ้วกลางมือซ้ายของหล่อนสวมแหวนปลอกมีดทองสีดอกบวบ ประดับเพชรซีกแบบโบราณวงหนึ่งซึ่งไม่มีราคาค่างวดเท่าใดนัก

“คุณจะเอาไปทำไมคะ ราคาไม่กี่บาท เทียบไม่ได้กับราคาเสื้อเลยค่ะ”

“เอาเถอะครับ ผมชอบก็แล้วกัน ถ้าคุณบัวไม่รังเกียจ ผมถือเป็นเกียรติที่คุณยินดีแลก”

หญิงสาวมีสีหน้าว้าวุ่นใจ “แหม…จะดีหรือคะ บัวว่ามันไม่สู้จะเหมาะ”

สีหน้าของทัดเทพเคร่งขรึมลงอีก “งั้นก็ตามใจคุณบัวเถอะครับ”

สโรชินีมองหน้าเขาด้วยท่าทางวิตกเป็นทุกข์ “คุณทัดเทพอย่าทำหน้ายังงั้นซีคะ บัวไม่สบายใจเลย”

ผู้หมวดฝืนยิ้ม “ผมก็ไม่สบายใจ เพราะเพิ่งรู้ตัววันนี้เองว่า เป็นที่รังเกียจของคนที่ผมอยากเป็นเพื่อนด้วยอย่างจริงใจ”

“แหม” หญิงสาวร้องออกมาอย่างอัดอั้น หันไปมองเจ้าของร้าน ซึ่งพับเสื้อใส่ถุงเสร็จแล้วกำลังเดินตรงเข้ามา

“บัวไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย เอ้า ตกลงค่ะ แลกก็แลก แหวนวงนี้ไม่มีราคาอะไร แลกแล้วบัวก็ได้เปรียบคุณหลายเท่า”

สโรชินีรูดแหวนออกจากมืออย่างรวดเร็ว ส่งให้ชายหนุ่มอย่างตัดสินใจเด็ดขาด ทัดเทพยิ้มน้อยๆ รับมันมากำไว้อย่างทะนุถนอม

“ว่าแต่คุณบัวไม่ได้รักมันมากนะครับ”

“ก็ยังงั้นแหละค่ะ บัวไม่ค่อยชอบสวมเครื่องประดับเท่าไรหรอก แม่บอกว่าเป็นผู้หญิงควรมีดำๆ แดงๆ ติดตัวไว้มั่ง บัวก็สวมเล่นไปยังงั้นเอง ไม่มีความหมายกับบัวหรอกค่ะ”

“ตรงข้ามกับผม แหวนวงนี้มีความหมายมากเหลือเกิน ขอบคุณมากครับคุณบัว ที่แสดงให้เห็นว่าไม่รังเกียจผม”

ชายหนุ่มสวมแหวนนั้นในนิ้วก้อยของเขาได้อย่างพอดิบพอดี นัยน์ตาที่มองดูแหวนมีแววซาบซึ้งอ่อนโยน และมีความหมายอย่างประหลาดที่ทำให้หญิงสาวร้อนวูบไปทั้งตัว หล่อนหลบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกสะทกสะเทิ้นอย่างน่าพิศวง ประกายตาของผู้หมวดหนุ่มมีอำนาจเขย่าหัวใจสาวของสโรชินีให้สั่นไหวเต้นระทึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

ทัดเทพรับถุงเสื้อและผ้าพันคอมาจากผู้ขาย พลางควักกระเป๋าเงินเกล็ดใบละร้อยเจ็ดใบให้อย่างไม่สะดุ้งสะเทือน สโรชินีมองอย่างเสียดาย ค่าเสื้อหนึ่งชุดและผ้าพันคอผืนเดียว มีราคามากกว่าเงินเดือนของหล่อนตลอดทั้งเดือนเสียอีก

“คุณบัวเดินนานแล้ว ไปนั่งพักกันหน่อยดีไหมครับ ข้ามไปฟากโน้นเถอะ หาอะไรเย็นๆ ดื่มกันหน่อย”

หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวตามเขาไป “จะดีหรือคะ”

ร.ต.ท.ทัดเทพหัวเราะ “คุณถามผมด้วยประโยคนี้หลายครั้งแล้วนะครับ ถ้าจะให้ตอบก็ต้องว่าดีแน่ เพราะผมชักคอแห้งแล้วละ”

เขาพาหล่อนเข้าไปในคอฟฟีช็อปอันสว่างสลัวและฉ่ำเย็น เลือกที่นั่งได้มุมแล้วก็สั่งเครื่องดื่มให้หล่อน

“น้ำส้มคั้นไหมครับ”

เขาถามอย่างล้อๆ สโรชินีหน้าเบ้

“เบื่อแล้วค่ะ บัวคั้นทุกวัน คุณผู้หญิงชอบทาน ขอกาแฟดำเย็นให้บัวดีกว่า”

“เราเหมือนกันอีกแล้วนะครับ ผมก็ชอบกาแฟ ทั้งร้อนและเย็นเลย…ว่าแต่คุณพินทุวดีน่ะ เธอทานอะไรเหมือนคนธรรมดาด้วยหรือครับ”

สโรชินีมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะคะ เธอก็เป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเราๆ”

ทัดเทพกัดริมฝีปาก นึกฉิวตัวเองที่เผลอถามโง่ๆ ออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว เขานึกไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้ถามไปเช่นนั้น

“ผมคิดว่าเธอเป็นเจ้านายชั้นสูงของเขมร น่าจะทานอาหารไทยๆ อย่างคนธรรมดาไม่ได้น่ะครับ”

“อ๋อ ทานได้ค่ะ แม่ของบัวทำให้ทานทุกมื้อ แต่เธอทานน้อย เห็นบอกว่าฤทธิ์ว่านทำให้อิ่มอยู่เสมอ”

“คุณบัวอยู่กับเธอมาหลายปีแล้วกระมังครับ”

“ตั้งแต่เกิดนั่นแหละค่ะ”

“ตอนนั้นเธอคงอายุไม่ถึงสิบขวบ”

“ไม่ค่ะ คุณผู้หญิงก็เป็นสาวสวยอย่างเดี๋ยวนี้แหละ”

ทัดเทพเบิกตาโตจ้องมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น สโรชินีรู้สึกตัว สีหน้าก็เผือดลงทันทีอย่างตกใจ

“ตายจริง นี่บัวเผลอพูดความลับของเจ้านายให้คุณฟังเสียแล้ว เธอยิ่งปิดเป็นความลับอยู่ด้วย กรุณาอย่าถามอีกเลยค่ะ บัวพูดไม่ได้หรอก”

“งั้นคุณพินทุวดีก็มีอายุมากกว่าคุณราวๆ ยี่สิบปีขึ้นไปน่ะซีครับ ไม่น่าเชื่อเลย เธอยังสาวและสวยออกยังงั้น ดูราวกับอายุมากกว่าคุณไม่ถึงห้าปีเสียด้วยซ้ำ”

ร.ต.ท.ทัดเทพพูดอย่างตื่นเต้นเต็มที่จนลืมคำพูดของหญิงสาว ต่อเมื่อเห็นสีหน้าอันแสดงความเดือดเนื้อร้อนใจของหล่อนนั้นแหละเขาจึงรู้สึกตัว หัวเราะกลบเกลื่อน

“อย่าห่วงเลยครับ ผมจะรักษาความลับของคุณพินทุวดีไว้เท่ากับความลับสุดยอดของตัวเองทีเดียว ขอถามอีกคำเดียวเท่านั้นแหละครับคุณบัว ที่เจ้านายของคุณเป็นสาวสวยอยู่อย่างนี้ก็คงเพราะกินว่านอะไรอย่างที่คุณเคยเล่าให้ฟังนั่นละมังครับ”

“บัวก็ไม่แน่ใจค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาอย่างลังเล

“เพียงแต่เธอเปรยให้ฟังบ่อยๆ ว่ามีว่านวิเศษนั้นอยู่ เอ้อ บัวว่าเราอย่าคุยถึงคุณผู้หญิงเลยนะคะ บัวไม่อยากได้ชื่อว่าช่างนินทาคน”

“โธ่ ไม่ใช่นินทาหรอกครับ…คุณบัวไม่แปลกใจบ้างหรือที่นายของคุณเป็นสาวแส้ตลอดกาลอย่างนี้?”

“ค่ะ ก็มีบ้าง บัวเชื่อว่าเป็นเพราะอำนาจว่านนั่นแหละ เคยถามใครๆ ในบ้านก็ไม่มีใครบอกได้สักคน พอคุณผู้หญิงรู้เข้า เธอเอ็ดใหญ่ บัวเลยต้องเงียบ”

ทัดเทพยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนแววสนใจใคร่รู้ในดวงตา แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

“ว่าแต่คุณบัวเองเถอะ ยังทานยาลูกกลอนแก้พิษอยู่อีกหรือเปล่าครับ”

ดวงหน้านวลแอร่มของหญิงสาวหมองลงเมื่อได้ฟังคำถามนั้น

“ทุกคืนแหละค่ะ ทั้งแม่ ทั้งคุณผู้หญิงคอยกำชับเข้มงวดให้ทานตลอดเวลา ไม่มีเว้นเลย”

“แล้วตัดสินใจหรือยังครับที่จะให้หมอตรวจสักที”

หญิงสาวถอนใจยาว “ยังค่ะ บัวยังไม่ได้บอกแม่เลย”

“คุณบัว”

ทัดเทพเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ดวงตาที่มองดูหญิงสาวเต็มไปด้วยแววอาทรห่วงใยลึกซึ้งจนสโรชินีรู้สึก ผิวหน้าหล่อนจึงแดงเรื่อขึ้นทันที

“ผมต้องขอเตือนด้วยความหวังดีอย่างจริงใจนะครับ ลองให้หมอแผนปัจจุบันตรวจสักหน่อยเถอะ ผมไม่อยากเห็นคุณซูบซีดเลย”

สโรชินีหลบตาลงมองแขนของตัวเอง ผิวพรรณละเอียดอ่อนละมุนตาเหมือนกลีบดอกไม้นั้นค่อนข้างซีดและเมื่อแบมือออก ฝ่ามือนั้นก็ไม่มีสีเลือดสีฝาดสดใสอย่างสตรีวัยรุ่นที่มีพลานามัยสมบูรณ์ทั่วๆ ไป

“บัวยังตอบไม่ได้ดอกค่ะ ต้องปรึกษาแม่ก่อน”

“ผมก็ไม่ได้เร่งรัดคุณบัวหรอก หากตัดสินใจยังไงก็บอกผมบ้าง ผมมีเพื่อนที่ชำนาญทางนี้ คงช่วยคุณบัวได้ดี”

หนุ่มสาวทั้งสองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังประตู หากสตรีผู้ที่เดินสวนเข้ามานั้นชะงักทันทีที่เห็นทัดเทพเต็มตา

“อุ๊ย คุณทัดเทพ”

“อ้าว คุณภาน่ะเอง มาซื้อของหรือครับ”

“ค่ะ มาเดินดูของเรื่อยเปื่อยไปงั้นเอง”

เสาวภาพรรณตอบ นัยน์ตามองเลยไปยังร่างโปร่งบางอรชรที่ยืนเยื้องอยู่ทางหลังชายหนุ่ม ทัดเทพจึงแนะนำสั้นๆ

“คุณภาครับ นี่คุณสโรชินี”

สองหญิงทำความเคารพพร้อมๆ กัน เสาวภาพรรณมองหน้าอ่อนนวลละไมนัยน์ตาแป๋วนั้นด้วยความรู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ

“ได้ข่าวสถาพรมั่งหรือยังคะ คุณทัดเทพ”

เสาวภาพรรณถามเสียงแผ่ว ทำให้ใบหน้าของผู้หมวดหนุ่มขรึมลงทันที

“ยังไม่มีวี่แววเลยครับ คุณภา ผมพยายามสืบอยู่ตลอดเวลายังไม่ได้เบาะแสเลย”

เสาวภาพรรณหน้าสลด หล่อนคุยกับเขาอีก ๒-๓ คำ แล้วขอตัวผละไปกับเพื่อนหญิงที่มาด้วย ส่วนทัดเทพพา
สโรชินีไปยังรถของเขา

“ให้ผมไปส่งนะครับ คุณบัวอย่าไปรถรับจ้างเลย มันขับสะวี้ดสะว้าดกันนัก คุณบัวจะใจหายใจคว่ำเสียเปล่าๆ”

หญิงสาวขยับจะปฏิเสธ แต่แววตาและสีหน้าของชายหนุ่มที่มองมามีอำนาจพอที่จะปิดปากหล่อนให้เงียบ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถโดยดี

 



Don`t copy text!