อมฤตาลัย ตอนที่ 5

อมฤตาลัย ตอนที่ 5

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ภายในห้องแต่งตัวนั้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเสื้อผ้าชุดต่างๆ ทั้งชั้นนอกชั้นใน บ้างก็แขวนไว้ตามฝาผนังพะรุงพะรัง บ้างก็พาดไว้ตามพนักเก้าอี้หรือสุมอยู่บนโต๊ะ หญิงสาวกลุ่มใหญ่กำลังสาละวนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกเงาอย่างเอาเป็นเอาตาย ในบรรดาสตรีเหล่านั้นพอจะแยกประเภทต่างๆ ออกได้ตามลักษณะเครื่องมือที่ถือว่ามีทั้งช่างเสริมสวย ช่างเสื้อ ช่างแต่งผม กึ่งกลางของกลุ่มสตรีนั้นคือ นางแบบ ๕-๖ คน ซึ่งสังเกตได้ง่ายจากเสื้อผ้าอาภรณ์ และการแต่งหน้าแต่งผมที่ผิดแผกไปจากผู้หญิงธรรมดาทั่วไป นางแบบแต่ละคนจะมีทั้งช่างเสื้อและช่างทำผมมะรุมมะตุ้มอย่างน้อยก็สองคน

“นี่นังอลิศยังไม่มาอีกเรอะ” เสียงแหลมๆ ของนางแบบคนหนึ่งในชุดเสื้อตัวสั้น ไม่มีคอ ไม่มีแขน และไม่มีเอว เป็นเพียงผืนผ้าเดินยางอีลาสติกรัดรอบทรวง และกางเกงขาบานกว้างพลิ้วสีแดงฉานผู้กำลังนั่งให้ช่างยีผมอยู่บนเก้าอี้รองถามขึ้นลอยๆ

ยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็เปิดออกโดยแรง สตรีร่างผอมบางจนเห็นกระดูกแขนขาโปนได้ถนัดเดินกระแทกเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ และโดยไม่สนใจกับช่างเสื้อและช่างทำผมซึ่งเงยหน้าขึ้นยิ้มรับ หญิงสาวก้าวปังๆ ไปหน้ากระจกเงา โยนกระเป๋าถือไปข้างหนึ่งแล้วลงมือแกะกิ๊บหนีบผมออกเป็นพัลวัน

“อ้าว นั่นนังอลิศไปกินรังแตนที่ไหนมา นังจุ่นเพิ่งถามถึงยังไม่ทันขาดปากเลย อายุยืนจังว่ะ”

หญิงสาวหุ่นผอมชะลูด ในชุดกางเกงขาบานกรุยกรายและเสื้อแบบตะแบงมาน เปิดหน้าท้องน่าหวาดเสียวชะโงกเข้ามาบีบเสียงถามช่างที่กำลังบรรจงแต่งผมให้ต้องเอี้ยวตัวตาม พลางลอบถอนใจอย่างเบื่อหน่าย

อลิศราไม่ตอบ แกะกิ๊บติดผมออกจนหมดแล้ว กระชากวิกทรงผมสั้นทันสมัยออกจากศีรษะอย่างแรง โปะลงบนหัวหุ่นที่อยู่ข้างๆ อย่างกระแทกกระทั้น

“เอ้า น่ากลัวจะเฉิ่มกะแฟนมา” เสียง ‘นังจุ่น’ หรือ จุลจิรา เอ่ยลอยๆ ขึ้นมาอีก เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากผู้ที่อยู่รอบๆ

“อย่าเสือก!” อลิศราหันไปตวาดเสียงเขียว แต่แทนที่เพื่อนสาวจะโกรธ กลับหัวเราะชอบใจส่งเสียงแหลมๆ ยั่วมาอีก

“ก็หรือไม่จริงล่ะ เค้ารู้หรอกน่า เธอ!  เมื่อคืนก่อนในงานที่สวนลุมน่ะ แม่อลิศถูกลบรัศมีซะราบคาบไปเลย รู้มั้ย”

“เรอะ”

คราวนี้เพื่อนๆ นางแบบชักสนใจจึงเขยิบเข้ามาใกล้ จุลจิราทำท่าวางเขื่องเล่าฉอดๆ โดยไม่ยอมมองหน้าอันบูดบึ้งของเพื่อนสาว

“คืนนั้นแม่พินทุวดีที่ผู้ชายตอมกันเกรียวน่ะ เค้าเป็นดาวเด่นในงานเชียวละ คุณทัดเทพชิ้นของนางอลิศ เขาไปด้วย พอเจอพินทุวดีเข้าเท่านั้นแหละ พ่อเจ้าประคุณลืมนังอลิศทันทีเลยเชียว เขาเต้นรำกับแม่ดาราคนนั้นท่าทางโรแมนติกเป็นบ้า นังอลิศเต้นผางๆ อยู่กลางกลุ่มเป็นเจ้าเข้า ฉันต้องฉุดไว้แทบแย่ ขำจะตาย…แหม แต่เขาสวยสมกันจังเลยว่ะ คุณทัดเทพกับพินทุวดีน่ะ ยังกะมาร์ก แอนโทนีกับคลีโอพัตรายังไงยังงั้นเชียว”

“ฝอย” อีกคนหนึ่งลากเสียงขัดขึ้นมาดังลั่น

“คลีโอพัตรา โจนส์ละซี่ ตัวเกิดทันเห็นแอนโทนี คลีโอพัตราตัวจริงหรือวะ นังจุ่น”

จุลจิราค้อนขวับ “ทำไมจะไม่เห็น ก็ที่ลิซ เทย์เลอร์ เล่นกับเบอร์ตันนั่นไง”

“ไม่เห็นเข้าท่าเลย” อีกคนร้องมาจากมุมห้อง

“อีตาเบอร์ตันแก่หงำไม่ได้สติ เค้าว่าคุณทัดเทพหล่อเหมือนริชาร์ด แชมเบอร์เลนมากกว่า…ผู้ชายอะไร้ตาซึ้งเป็นบ้า”

“เค้าว่าเหมือนจอห์น กาวิน ผสมโรเจอร์ มัวร์ คั่วกับอแลง เดอลอง ตะหาก”

“นี่ พอที!”

เสียงอลิศราแหวขึ้นอย่างเหลืออด โยนแปรงผมลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น บรรดาช่างที่อยู่ใกล้เคียงเหลือบมองเป็นตาเดียว

“เลิกวิพากษ์วิจารณ์เสียทีได้ไหม ฉันไม่อยากฟัง นังจุ่นนะดีแค่ไหนวะ นึกว่าใครเค้าไม่รู้เรื่องของแกมั่งหรือ เธ่อ อย่าให้เซดเลยว้ายังกะแกดีซะเต็มประดานี่”

“ทำม้าย เค้าเป็นยังไง” จุลจิราลอยหน้าลอยตาร้องยั่ว

“เอ๊ะ นังนี่! เดี๋ยวเถอะ”

อลิศราคว้าแปรงผมบนโต๊ะขึ้นมาเงือดเงื้อทำท่าจะขว้าง อีกฝ่ายจึงหลบและส่งเสียงกรีดกราดอย่างยั่วเย้ามากกว่ากลัวถูกเจ็บ

“ต๊าย ตาย นี่อะไรกัน”

ประตูห้องเปิดออกโดยแรง แล้วสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา หล่อนมีอายุร่วมสี่สิบแล้ว แต่ยังสวยพลิ้วไม่แพ้สาวๆ เสื้อชุดไหมไทยสีดำสนิท แบบเก๋ ติดดอกคาร์เนชันสีแดงสดเพียงดอกเดียวที่ปกเสื้อทำให้หล่อนดูสะดุดตาไม่ซ้ำแบบใคร เสียงเหล่านางแบบเงียบลงทันที

“จุ๊ จุ๊ คุณเบญญามาแล้ว เงียบที”

“อะไรกันจ๊ะ จุลจิรา อ้าว นั่นอลิศยังไม่แต่งตัวอีกหรือ แย่จริงเดี๋ยวก็ไม่ทันเท่านั้น รู้ไหมแขกมาเกือบเต็มแล้ว แม่พวกนี้ยังไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายเลย แหม ฉันละกลุ้มจริง”

บ่นพลางก็ลงมือกุลีกุจอหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมาคลี่ทาบตัวอลิศรา ส่วนช่างทำผมและช่างเสริมสวยต่างก็ทยอยเข้ามาล้อมหญิงสาวเหมือนดาวล้อมเดือน

วงสังคมชั้นสูงรู้จักห้องเสื้อเบญญาเป็นอย่างดี เพราะในยุคนี้ช่างตัดเสื้อที่ ‘ดัง’ ที่สุดของกรุงเทพฯ คือ สตรีม่ายวัยสี่สิบผู้สวยพริ้งผู้นี้เอง เสื้อทุกชุดของเบญญาได้รับคำชมว่าสวยเก๋และฝีมือดีไม่แพ้นีน่า ริชชี่ นั่นเทียว และเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างนี้แหละ ทำให้บรรดาสตรีผู้มีชื่อเสียงพากันหลั่งไหลเข้ามาเป็นลูกค้าของร้าน ‘เบญญา’ จนต้อนรับแทบไม่หวาดไม่ไหว ทุกครั้งที่จัดแฟชั่นโชว์ เบญญาจะต้องได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากสตรีที่วิ่งตามแฟชั่นอยู่เสมอครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นการแสดงแบบเสื้อครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของหล่อนซึ่งขายบัตรเข้าชมในราคาแพงลิ่วได้หมดก่อนวันแสดงหลายวัน

จุลจิราแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว นวยนาดออกไปเดินเฉิดฉายบนเวทีต่อหน้าผู้ชมเป็นคนแรก เสียงปรบมือกราวใหญ่ทำให้เบญญาหน้าบาน นางแบบคนต่อไปกำลังรอคิวของตน ส่วนอลิศรานั้น โดยที่ถือว่าเป็นดาวเด่นของห้องเสื้อ จึงมักออกปรากฏตัวตอนท้ายๆ ของโชว์แต่ละชุดเสมอ ขณะนี้เจ้าหล่อนกำลังยืนเท้าเอวอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ โดยมีช่างทำผมยืนเขย่งอยู่เบื้องหลัง และช่างเสื้อคุกเข่าสอยตะเข็บเสื้อให้แนบตัวอยู่อีกด้านหนึ่ง

มีเสียงปรบมืออีกกราวใหญ่ดังขึ้นข้างนอก แล้วจุลจิราก็กลับเข้ามาในห้องด้วยอาการที่เรียกว่า ‘ถลา’ เกือบจะชนกับนางแบบคนที่เดินสวนออกไป แต่หล่อนไม่สนใจ ผวาเข้ามาที่อลิศราราวถูกช้างไล่

“นี่ อลิศ แม่คู่ปรับของแกก็มาด้วยละ วุ้ย ควงผู้ชายหน้าใหม่มาอีก แหม แม่คุณแต่งตัวเช้งเชียวว่ะ เปิ๊ดสะก๊าดยิ่งกว่านางแบบซะอีกแหนะ”

“อะไรของแกวะ” อลิศราขมวดคิ้วที่กันไว้เรียวเล็กจนมองแทบไม่เห็น มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

“แหม โง่ ก็แม่พินทุวดีน่ะซี้ ควงแฟนใหม่มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่แถวหน้าเลย แต่งชุดสีลูกหว้าคอลึกจนถึงสะดือ แกออกไปดูซี สวยพิลึกละ”

“มากะใคร คุณสถาพรหรือ”

“ไม่ใช่ สถาพรนั่นเรารู้จัก ที่มานี่คนใหม่ อ้อ นึกออกแล้ว ผู้ชายคนนี้เราก็เจอที่งานคืนก่อนนั้นไง นั่งโต๊ะเดียวกับสถาพรและคุณทัดเทพนั่นแหละ ท่าจะเป็นเพื่อนกันด้วย”

“อ๋อ คงจะศุภสิทธิ์”

“แกรีบไปดูซีวะ คราวนี้ยิ้มออกเสียทีซี่ นังอลิศโล่งใจได้แล้ว ที่เขาไม่ได้ควงคุณทัดเทพแฟนแกมาหักหน้า”

“ก็ลองควงมาซี้” คนพูดทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ

“แม่ไม่อาละวาดให้เสียโฉม ก็อย่านับถือ”

“หน็อย อย่าพูดเลยว้า” จุลจิราเบ้ปากอย่างดูแคลน

“เอาจริงเข้าก็เห็นเต้นอยู่กลางกลุ่ม ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาเต้นรำด้วยกัน สวยสง่ายังกะเจ้าหญิงกับเจ้าชาย แกมันจะไปมีน้ำยาอะไร้”

“เอ๊ะ อีนี่เดี๋ยวเหอะ”

อลิศราเงื้อไม้เงื้อมือโกรธจนหน้าเขียว เบญญารีบเข้ามากั้นกลาง

“อะไรกันจ๊ะ แม่คุ้ณ แหม อ่อนใจเสียจริง อลิศ อย่าทำท่าเป็นงิ้วหน่อยเลย ใส่วิกเสียเร็วๆ จะถึงคิวอยู่แล้ว”

อลิศราสะพัดหน้าพรืดอย่างไม่สบอารมณ์ ช่างทำผมหยิบวิกพองฟูเหมือนทรงผมชาวแอฟริกันขึ้นจากหุ่นบรรจงสวมให้อย่างระมัดระวัง พลางหนีบกิ๊บให้ติดกับผมจริงแน่นหนา

“วุ้ย สวยตายละ หน้าเหมือนอีเห็นตายทั้งกลม”

จุลจิราส่งเสียงยั่วมาอีก เบญญาหันไปทำตาเขียว แล้วจับตัวอลิศราหมุนไปรอบๆ ตรวจตราอย่างพินิจพิเคราะห์

“ดีแล้วจ้ะ ทามารา ด็อบสันทำอะไรไม่ได้เลย”

“คุณเบญญาละก้อ” จุลจิราชะโงกออกมาค่อนจากหลังฉากที่กั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อ

“ทามารา ด็อบสัน นางเอกผิวหมึกน่ะ หุ่นเขา ๓๘-๒๖-๓๘ ค่ะ แต่แม่อลิศของคุณเบญน่ะ ๓๐-๒๐-๓๐ ตะหากคะ”

“ฟังมันซิคะ คุณเบญ”

อลิศราอุทธรณ์เสียงสั่นด้วยความโกรธ เบญญาจุปากห้ามแล้วรุนหลังหญิงสาวให้ออกไปตรงประตู

“จวนถึงคิวแล้วจ้ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย อลิศ อย่ายิ้มมากนะ เราน่ะสวยตอนทำหน้าบึ้ง รู้ไหม”

นางแบบคนที่กรีดกรายอยู่ข้างนอกเดินกลับมาแล้ว อลิศรารีบเดินออกไปโดยเร็ว หล่อนหมุนตัวด้วยท่วงทีงดงามอย่างชำนิชำนาญบ่งถึงการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม นัยน์ตากราดไปรอบๆ ขณะที่เท้าซึ่งสวมรองเท้าพื้นสูงเกือบ ๖ นิ้ว เดินฉับๆ อย่างว่องไวไปบนพื้นเวทียาวเหยียดนั้น

นั่นไง นั่งอยู่แถวหน้าสุดนั่นเอง ไม่ว่าจะอยู่ห่างเพียงใด ร่างนั้นก็เด่นเป็นเป้าสะดุดตาอยู่เสมอ อลิศราขบฟันคิดในใจอย่างเคียดแค้น เขม้นมองเจ้าของร่างที่กำลังตัวเป็นคู่แข่งอย่างชิงชัง พินทุวดี รูปก็งาม นามก็เพราะหนักหนา รูปร่างหน้าตาอย่างนี้เองนี่เล่า ผู้ชายเคร่งขรึมอย่างทัดเทพจึงอดตบะแตกไม่ได้ และทำท่าจะลืมอลิศราเสียสิ้นเมื่อเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้

เสื้อกลางวันผ้าไหมสีลูกหว้าอันเข้มขำชุดนั้น ช่างขับผิวของผู้สวมให้ผ่องนวลลออสีชมพูอย่างน่าพึงพิศเสียจริงๆ แบบเสื้อเรียบมากจนอลิศราอยากยิ้มเยาะ หากแต่คอเสื้อรูปตัววีเว้าลึกมาก จนเห็นฐานทรวงอิ่มสะพรั่งงามไม่มีที่ติแถมตรงปลายสุดยังมีเข็มกลัดเพชรรูปผีเสื้อตัวใหญ่ทอแสงแพรวพราว เรียกความสนใจไปยังจุดนั้นเสียอีกด้วย อลิศราอยากจะคลั่งนัก เมื่อเห็นสายตาคนที่นั่งใกล้เคียงหลายคนพากันชำเลืองดูร่างนั้น จนไม่เป็นอันสนใจนางแบบและแบบเสื้อที่โชว์อยู่เลย

นางแบบสาวชื่อดังเดินไปหมุนตัวอยู่ตรงหน้าร่างงามในชุดสีเข้มอย่างจงใจ ดวงตาขุ่นเขียวจ้องประสานกับดวงตางามของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องล่าง ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากขณะที่ดวงตาอันเคยนิ่งแน่วราวห้วงน้ำลึกทอประกายพราวระยับเหมือนขบขันในใจ ชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบอะไรสักอย่าง เจ้าหล่อนก็หัวเราะอย่างสำเริงสำราญ ดวงตาที่เหลือบขึ้นมาประสานกับอลิศราก็แพรวพราวมากขึ้น เหมือนล้อเลียนระคนหยามหยัน

ถ้าอลิศราได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่ชะโงกเข้าไปกระซิบกันสาวสวยผู้นั้นแล้ว เจ้าหล่อนคงแทบร้องกรี๊ดออกมาด้วยความเดือดดาล

“คุณพินจำนางแบบคนนี้ได้ไหมฮะ ชื่ออลิศราไง เมื่อคืนก่อนนั้นตามตื๊อเจ้าเทพเสียจนน่าเกลียด”

“ค่ะ จำได้” พินทุวดียิ้มอย่างขบขันมากขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในงานราตรีสโมสรคืนก่อนโน้น

“คุณทัดเทพจงใจหนีเท่าไหร่แกก็ตามเท่านั้น ที่คุณเทพรีบกลับก่อนก็เพราะยังงี้ใช่ไหมคะ ศุภสิทธิ์”

“ฮะ แต่ก็นับว่าดีกับผมทางอ้อม คือเท่ากับอลิศช่วยไล่เจ้าเทพไม่ให้มาอยู่ขวางหน้าผมกับคุณไงล่ะครับ”

พินทุวดีหัวเราะเบาๆ แล้วนิ่งเฉยแทนคำตอบ ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ จึงต้องหยุดพูดเพียงนั้น แล้วหันมาสนใจกับนางแบบโดยไม่รับรู้เลยว่า เจ้าหล่อนเหล่านั้นโชว์เสื้อผ้าชุดอะไรบ้าง

การแสดงแบบเสื้อวันนั้นได้รับความสำเร็จด้วยดีดังเคย เบญญาขายเสื้อสำเร็จรูปราคาแพงหรูได้อีกหลายชุด เพราะคุณหญิงคุณนายต่างชอบใจสั่งตัดให้ตนเอง หน้าตาเจ้าของงานจึงเบิกบานอยู่ตลอดเวลา นางแบบอื่นก็พลอยระริกระรี้ไปด้วยเพราะถูกถ่ายรูปมากพอแรง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หงุดหงิดรำคาญตาและไม่สบายใจ อลิศราเต็มไปด้วยความขุ่นขวางสิ่งที่อยู่รอบตัวไปหมด หล่อนบอกตัวเองว่าสาเหตุของมันมาจากผู้หญิงผมดำผิวผ่อง ผู้งดงามอย่างประหลาดเจ้าของนามพินทุวดี วงศ์ยโสธร คนนั้นนั่นเอง

“แล้วเราจะได้เห็นกัน”

นางแบบสาวขบฟันบอกตัวเองอย่างหมายมั่น ในขณะที่ควบรถส่วนตัวคันเล็กตะบึงออกจากบริเวณแสดงแบบเสื้ออย่างรวดเร็วตามแรงอารมณ์

 



Don`t copy text!