อมฤตาลัย ตอนที่ 26

อมฤตาลัย ตอนที่ 26

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

บรรดาช่างเสื้อน้อยใหญ่ในร้านเบญญากำลังเร่งมือตัดเย็บชุดต่างๆ ที่จะโชว์ในงานแฟนซีลีลาศกันอย่างมือเป็นระวิง ตัวเบญญาเจ้าของร้านเองก็วุ่นวายสั่งงานปากเปียกปากแฉะ มือก็เร่งตัดชิ้นผ้าด้วยความชำนาญ

“วู้ย ผ้าอะไรคะ สวยจัง”

นางแบบสาวร่างโปร่งบางหน้าเฉี่ยวเดินกรายมายังโต๊ะตัดเย็บของเบญญา พลางหยิบเศษผ้าไหมเนื้อประหลาดสีแดงสดมีประกายสีทองสอดแทรกในตัวขึ้นพิจารณา

“ไหมพิเศษของคุณพินทุวดีไงล่ะ จุ่น ไม่รู้ว่าไปสรรหามาจากไหน ผ้าแต่ละชิ้นไม่เหมือนใครทั้งนั้น” เบญญาตอบอย่างอารมณ์ดี

จุลจิราทำปากยื่นอย่างที่ฝึกกับหน้ากระจกมาเป็นอันดีแล้วว่าน่าเอ็นดู

“แหม คุณเบญเรียกจุ่นอีกแล้ว เอาอย่างนังอลิศไปได้…นี่เขาจะตัดเสื้อแบบไหนคะ”

เจ้าของร้านสาวใหญ่บุ้ยปากไปที่แบบเสื้อซึ่งกลัดตรึงอยู่บนโต๊ะ จุลจิราชะโงกมองแล้วทำตาถลน ยกมือตบอกอุทานเสียงลั่น

“ท็อปเลสหรือคะ วุ้ย บัดสีบัดเถลิง!”

น้ำเสียงและกิริยาของหล่อน ทำให้เบญญาอดหัวเราะไม่ได้

“ดูทำเข้า อิจฉาละซี อย่างเธอน่ะประเภทไข่ดาวใช่ไหมล่ะ ส่วนคุณพินทุวดีเป็นพวกดอกจำปาทัด เธอแต่งอย่างเขาไม่ได้หรอก”

จุลจิราค้อนขวับ “คุณเบญละก้อ เห็นจุลช่างอิจฉาไปได้ ไม่ใช่นังอลิศนี่คะ เอ้อ พวกจำปาทัดของคุณน่ะเป็นยังไงคะ”

“แหม แย่จริงเธอนี่ ไม่รู้อะไรเสียเลย คนสมัยก่อนเขาชอบผู้หญิงประเภท ‘จำปาทัดถันได้ไม่ลอดทรวง’ ไงล่ะ หมายถึงอกใหญ่เบียดชิดกันจนเอาดอกจำปาเหน็บไว้ได้นั่นแหละจ้ะ ไม่เหมือนอย่างเธอหรอก”

“อุ๊ย เชยจะตาย คุณเบญก็ ไม่ทราบว่าไข่ดาวอย่างจุลกับพวกเนื้อนมไข่อย่างแม่พินทุวดีน่ะ พวกไหนเหมาะเป็นนางแบบของคุณมากกว่ากัน”

“อย่าไปเรียกเขาอย่างนั้นซิเธอ คุณพินทุวดีไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นเจ้าหญิงเขมรเชียวนะ”

จุลจิราทำจมูกย่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็ช่างปะไรคะ จุลยังยัวะไม่หายที่เขาทำกับนังอลิศวันนั้น”

คราวนี้สีหน้าของเจ้าของร้านสาวใหญ่ขรึมลงเล็กน้อย

“อย่าเพิ่งมีอคติซิเธอ ยังพิสูจน์ไม่ได้เลยว่าอลิศราเป็นอะไรไปแน่ อาจจะหูตาฝาดไปก็ได้ ฉันเองไม่อยากเชื่อนักหรอกว่า คุณพินทุวดีจะมีอำนาจประหลาดถึงขนาดนั้น ถ้าถึงกับสั่งให้งูหินเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแล้วละ เป็นแม่มดหรือผีมากกว่า”

“ก็ถ้าเขาเป็นล่ะคะ”

“เหลวไหล” เบญญาดุ

“เอ้า อย่าพูดแจ้วๆ อยู่เลยจ้ะ ไปลองเสื้อดูซิว่าพอดีหรือเปล่า ตัวที่เธอจะใส่โชว์น่ะ สดๆ ร้อนๆ ล่าสุดเชียวนะ”

“ฮื้อ ก็ล่าสุดทุกตัวแหละค่ะ แหม แต่คุณเบญน่ะไม่รักจุลเลย เครื่องเพชรที่โชว์ในงานมีตั้งเยอะแยะไม่เอาให้จุลใส่มั่ง ให้ใส่แต่ชุดเทอร์คอยส์สตึๆ อะไรก็ไม่รู้”

“อ้อ หาว่าฉันลำเอียงละซี ก็ชุดเทอร์คอยส์นั่นน่ะเข้าชุดกับเสื้อผ้าของเธอแต่งนี่จ๊ะ ฉันเลือกอย่างพิถีพิถันทุกแบบแหละน่า อย่าติอย่างโง้นอย่างงี้เลย”

“ร้านเพชรที่เอาของมาร่วมโชว์กับเรานี่ เขาคงหนักใจเหมือนกันนะคะ แต่ละชุดราคาเป็นแสนทั้งนั้น”

“อุ๊ย เขามีประกันซีจ๊ะ แล้วในงานก็ต้องมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเดินกันให้ควัก ไอ้ขโมยที่ไหนมันจะกล้าแหย็ม ถึงขโมยได้จริงก็ไปไม่รอด แต่ฉันว่าเครื่องเพชรที่เอาออกโชว์ทุกชุดจะสู้ของคุณพินทุวดีไม่ได้เลยสักชุดเดียวน่ะนา เชื่อไหม”

“แหม คุณเบญน่ะศรัทธาแม่คนนี้เสียงจริงจริ๊ง”

จุลจิราอุทานพร้อมกับค้อนควับ เบญญาก็หัวเราะเบาๆ อย่างขบขันในท่าทางปะหลับปะเหลือกของนางแบบในสังกัด

“ไม่ใช่ศรัทธาอะไรหรอกจุลจิรา เดี๋ยวจะหาว่าเพราะเขามีเงินถึงได้นับถือ แต่ความจริงมันเป็นยังงั้น เห็นเครื่องประดับที่เขาใส่ออกงานวันงานเมตตามหากุศลคราวก่อนไหมล่ะ ฝีมืออย่างนั้นแหละ แต่เพชรพลอยอย่างนั้นหาได้ง่ายที่ไหน”

“ฮึ จุลไม่เห็นสวยสักหน่อย”

“ก็เธออิจฉาเขานี่จ๊ะ ลำพังกะบังหน้าอย่างเดียวก็เป็นแสนเข้าไปแล้วมั้ง เพชรเม็ดออกเบ้อเริ่มเทิ่ม เฮ้อ ช่างรวยเสียจริงๆ”

“จุลไม่ชอบเลยที่เขาทำเด่นเสียทุกงาน ไปทางไหนคนสนใจเขาเป็นจุดเดียว วันที่เราโชว์แฟชั่นที่โรงแรมทศกัณฐ์น่ะค่ะ ใครๆ มองดูเขาเป็นตาเดียวจนแทบไม่สนใจแฟชั่นเลย”

เบญญายังคงยิ้มอย่างอารมณ์เย็น “เห็นจะไม่จริงหรอกจ้ะ เพราะวันนั้นฉันยังขายเสื้อได้ตั้งหลายชุดนี่นา”

จุลจิราขยับปากจะโต้ตอบ แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นร่างผอมบางในชุดกางเกงยีนส์เข้าสมัย เดินตรงเข้ามาอย่างเพลียๆ

“มาตะเช้าเทียวนะ นังจุ่น อ้อคุณเบญ จะให้อลิศสวมชุดไหนมั่งคะ จะขอลองเสียเลย”

“ชุดของเธอยังไม่เสร็จเลย รู้หรือเปล่าจ๊ะว่ามีการโชว์เครื่องเพชรไปพร้อมๆ กันด้วย”

“ทราบค่ะ”

“เวลาโชว์ต้องระวังๆ หน่อยนะ ราคาแต่ละชิ้นไม่ต่ำกว่าห้าหกหมื่นทั้งนั้น ของอลิศราแพงกว่าเพื่อน เหยียบห้าแสนเชียวนะ ต้องระวังให้มาก”

“งั้นก็อย่าให้อลิศสวมซีคะ ให้คนอื่นโชว์แทนดีกว่า”

เบญญาเงยขึ้นมองสีหน้าบึ้งตึงของนางแบบสาวอย่างแปลกใจ

“หมู่นี้ทำไมอารมณ์เสียบ่อยนักล่ะจ๊ะ พักผ่อนให้มากๆ หน่อยเถอะ บางทีอาจเป็นเพราะเธอยังไม่หายตื่นเต้นก็ได้”

อลิศราหัวเราะเสียงขุ่น “อลิศไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ สบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยด้วย เพียงแต่ตกใจนิดหน่อย ไม่มีใครเชื่ออลิศเลยแม้แต่หมอ ทุกคนหาว่าอลิศบ้ากันทั้งนั้น”

กระแสเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เบญญาลุกขึ้นเดินเข้าไปโอบไหล่ไว้อย่างนุ่มนวลปลอบโยน

“โถ ใครจะคิดอย่างนั้นจ๊ะ อลิศ ทุกคนเชื่ออลิศทั้งนั้น แต่ป่วยการพูดถึงมันนะจ๊ะ ไปนั่งลงตรงนั้นก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวช่างเนาเสื้อของเธอเสร็จแล้วจะได้ลองเสียเลย…อ้อ แล้วก็ระหว่างนี้หยุดพักเรื่องถ่ายรูปโฆษณาเสียทีนะ”

จุลจิราจูงเพื่อนไปนั่งยังมุมรับแขกของร้าน อลิศราดูซูบซีดและเหม่อลอยผิดปกติไปจากเดิม นับตั้งแต่หล่อนได้รับความตกใจจากบ้านพินทุวดีมาแล้ว อารมณ์ของหล่อนเสียมากขึ้น และมีอาการเซื่องซึมเข้ามาแทนความแจ่มใสปราดเปรียว ซึ่งหมอสโรชพันธุ์เองก็หนักใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนจึงพยายามเอาใจหล่อน โดยเฉพาะ ร.ต.ท.ทัดเทพซึ่งรู้เต็มอกว่า ตนเองเป็นที่พึ่งทางใจของสตรีผู้นี้ เขาจึงมักมาเยี่ยมเยือนเมื่อมีโอกาส หรือโทรศัพท์มาคุยปลอบโยนแทบทุกคืน ซึ่งช่วยให้อลิศรามีความหวังและอาการดีขึ้นเป็นอันมาก

 

ขณะที่หมอสโรชพันธุ์และไวฑูรย์กำลังร่ำลาเพื่อนเกลอของเขาอยู่นั้น โอลด์สโมบิลสีทองของ พล.ต.ต.ทัดพงศ์ พิษณุเศรณี ก็เคลื่อนเข้ามาในบ้าน ทัดเทพเหลียวไปมองพลางเอ่ยขึ้น

“พ่อกับแม่มาแล้ว”

“งั้นอยู่กราบท่านก่อนเถอะวะ”

ไวฑูรย์บอกกับจิตแพทย์ สองเกลอเดินลงไปรับท่านผู้ใหญ่ทั้งสองถึงรถ พนมมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“อ้อ สวัสดี มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

บิดาของทัดเทพทักทายอย่างอารมณ์ดี ส่วนคุณหญิงผู้มารดายิ้มอย่างพอใจที่เห็นลูกชายอยู่บ้าน

“พวกผมมานานแล้วครับ ตั้งแต่ก่อนเที่ยง…เรื่องพระของคุณลุงผมติดต่อไปแล้ว เจ้าของเผอิญออกป่าอีกสักอาทิตย์คงได้แน่ครับ”

“งั้นรึ ขอบใจมาก ลุงไม่รีบร้อนอะไรหรอก อ้อ เพิ่งได้พระใหม่มาอีกองค์ อยากขอให้ช่วยดูหน่อย ว่างไหมล่ะไวฑูรย์”

“ว่างครับ”

“หมอด้วยนะจ๊ะ อย่าเพิ่งกลับอยู่คุยกันก่อน”

คุณหญิงศจีพูดพลางดึงแขนเสื้อนายแพทย์หนุ่มขึ้นบันไดตึกอย่างสนิทสนม สองสหายจึงต้องเดินตามกลับขึ้นไปด้วย คุณหญิงศจีนั่งบนเก้าอี้หวายบนเทอเรซ ส่วนนายพลตำรวจตรีบิดาของทัดเทพพาไวฑูรย์เข้าไปข้างใน ทัดเทพเดินตามเข้าไปด้วย

“ว่าไงหมอ เห็นว่าจะเปิดคลินิกใช่ไหมจ๊ะ ไปถึงไหนแล้วล่ะ”

คุณหญิงเอ่ยถาม จิตแพทย์หนุ่มยิ้มกร่อยๆ

“ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นครับ ไปดูๆ ตึกไว้บ้างแล้ว ยังไม่ถูกใจก็เลยระงับไว้ก่อน ทุนก็ยังมีไม่ค่อยพอด้วย”

“อะไร้ ทุนไม่พอ มรดกท่านพ่อกับท่านอาตั้งมหาศาล”

คุณหญิงหมายถึง ม.จ.ปัทมบัลลังก์ สโรชา บิดาของนายแพทย์หนุ่มผู้สิ้นชีพิตักษัยไปนานแล้ว

“โธ่ คุณแม่ครับ ท่านพ่อของผมมีหม่อมตั้งพะเรอ ส่วนท่านอาน่ะพอท่านสิ้น ถูกทึ้งกันคนละทีก็หมดไม่มีอะไรเหลือ”

“อ้าว เห็นว่าทำพินัยกรรมไว้เรียบร้อยไงล่ะจ๊ะ”

“นั่นแหละครับ พี่น้องผมเขาไม่พอใจเกิดฟ้องร้องกันขึ้นเป็นความยืดเยื้อ จนมรดกกลายเป็นค่าทนายหมดผลที่สุด คนฟ้องก็ไม่ได้อะไรมากกว่าเดิมเลย”

คุณหญิงศจีนิ่งฟังอย่างสนใจ ท่านมีความรักใคร่เอ็นดูนายแพทย์เชื้อพระวงศ์ผู้นี้มาก อาจเป็นเพราะท่านเป็นเพื่อนสนิทกับหม่อมมารดาของเขาก็เป็นได้ หม่อมสิรีมารดาของหมอสโรชพันธุ์สิ้นชีวิตตั้งแต่บุตรชายอายุได้เพียง
๑๐ ขวบ หลังจากนั้นท่านอาของ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ ซึ่งเป็นอนุชาแท้ๆ ของ ม.จ.ปัทมบัลลังก์ได้ขอตัวเขาไปอยู่ด้วยในต่างประเทศ หลังจากเขาไปแล้วไม่ถึงปี ม.จ.ปัทมบัลลังก์ก็สิ้นชีพิตักษัย ม.ร.ว.สโรชพันธุ์จึงยึดท่านอาเป็นที่พึ่งเรียนหนังสือจนจบไฮสกูลแล้วจึงติดตามท่านกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง และได้เข้าเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้สนิทสนมกับทัดเทพและเพื่อนเกลออีกสามคน ถึงแม้จะไม่ได้เรียนร่วมกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยม แต่ทั้งสี่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ต่อมา หม่อมเจ้าผู้เป็นอาของเขาก็สิ้นลงอีกองค์หนึ่ง เกิดการแก่งแย่งมรดกและอิจฉาริษยากันในหมู่ญาติจนสโรชพันธุ์รำคาญ จึงหนีไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนีถึง ๖ ปี แล้วจึงกลับมาอีกครั้งในคราวนี้

“แต่หมอก็มีที่ดินอยู่บ้างไม่ใช่หรือจ๊ะ”

คุณหญิงถามอย่างอ่อนโยนด้วยความมุ่งหมายถามทุกข์สุขอย่างจริงใจ ซึ่ง ม.ร.ว.หนุ่มก็เข้าใจดี

“ก็ที่ที่ว่านี่แหละครับ ผมคิดจะเอาไปจำนองเพื่อตั้งคลินิก แต่ยังไม่ทำเวลานี้หรอกครับ รอให้หายยุ่งๆ กันเสียก่อน ที่สำคัญก็คือที่ตรงนั้นไม่ใช่ของผมคนเดียว ในพินัยกรรมบ่งว่า ให้แบ่งครึ่งกับน้องผมอีกคน ซึ่งเป็นลูกสาวของหม่อมคนเล็กของท่าน จนป่านนี้ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ผมก็ยังรออยู่นี่แหละครับ”

“ทำไมไม่ประกาศหาตัวทางหนังสือพิมพ์ล่ะจ๊ะ”

“โอ๊ย หลวงเจริญ ทนายของท่านพ่อทำทุกอย่างแล้วล่ะครับ เขาไม่ติดต่อมาเอง เราก็ไม่รู้จะทำยังไง”

“เป็นลูกเต้าใครนะจ๊ะ น้องสาวหมอคนนั้นน่ะ”

“เห็นทนายบอกว่าเป็นลูกของหม่อมคนเล็กของท่านครับ ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้ เดิมเป็นเด็กอยู่ในวัง พอได้เป็นหม่อมก็ถูกเหยียดหยามดูถูกมาก ครั้นคลอดบุตรแล้วและท่านพ่อสิ้นชีพิตักษัย หม่อมคนนั้นก็หายสาบสูญออกจากวังไปเลย”

“ป่านนี้คงอายุได้ยี่สิบปีแล้วมังจ๊ะ เด็กคนนั้นน่ะอ่อนกว่าหมอสิบปีพอดี ชื่อเรียงเสียงไรก็ไม่รู้”

“นั่นซีครับ ผมก็ไม่ทราบเลย คุณหลวงทนายท่านทราบ แต่ก็ทำอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่บอกอะไรผม บอกแต่ว่าจะจัดการตามหาตัวทายาทคนนี้ให้ ผมก็รอๆ อยู่นี่แหละครับ”

“หมอ” คุณหญิงเรียกนายแพทย์หนุ่มผู้ที่ท่านรักเหมือนลูกอย่างอ่อนโยน

“แม่รักหมอเหมือนลูกแท้ๆ นะจ๊ะ มีอะไรขาดเหลือต้องการให้ช่วย ไม่ว่าในเรื่องเงินทอง หรือเรื่องอะไรก็ขอให้บอกเถอะ แม่ยินดีและเต็มใจช่วยเสมอ สิรีกับแม่ก็เป็นเพื่อนรักกัน อย่าเกรงใจแม่นะจ๊ะ ถ้าต้องการเงินลงทุนตั้งร้านเมื่อไรขอให้บอก”

นายแพทย์ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา ลุกจากเก้าอี้คุกเข่าลงแทบเท้าคุณหญิง แล้วกราบลงบนตักอย่างเคารพ
ตื้นตัน

“ขอบพระคุณคุณแม่เป็นที่สุดครับ ถึงผมจะกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่ก็ยังอบอุ่นใจที่มีคุณแม่อยู่ด้วยอีกคน ผมจะบอกทันทีครับถ้าต้องการความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรจริงๆ ผมขอดูลาดเลาและดูทำเลที่ตั้งคลินิกสักพักก่อน”

“มีวังก็ไม่ได้อยู่นะ กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปเสียแล้ว” คุณหญิงหมายถึงวังของ ม.จ.ปัทมบัลลังก์ สโรชา

“ครับ แต่ผมไม่เสียดายหรอก สมบัติอย่างนั้นให้เป็นของหลวงเสียแหละดี มันใหญ่โตเกินกำลังพวกเราคนใดคนหนึ่งจะรักษาไว้ได้ ถ้าให้อยู่ร่วมกันเป็นโขยงในนั้นมีหวังได้ตีกันตาย ท่านพ่อมีหม่อมเป็นสิบ และมีลูกร่วมครึ่งร้อย ผมเห็นจะต้องถอยละครับ”

ทัดเทพกับไวฑูรย์เดินยิ้มกริ่มออกมาจากในห้อง คุณหญิงจึงเอ่ยถามนักโบราณคดีขึ้น

“ไงจ๊ะ พ่อนักโบราณคดี ของที่คุณพงศ์ได้มา เป็นพระบวชใหม่หรือเปล่า”

ไวฑูรย์หัวเราะ “ไม่ใช่หรอกครับ ของจริง คุณลุงท่านดูพระเก่งมากนี่ครับ แม่นหมดทุกสมัย องค์ที่ได้มานี้เป็นเชียงแสนแท้ งามมากและหายากมากครับ”

“งั้นหรือจ๊ะ โล่งอกไปหน่อย นี่คงนั่งเห่ออยู่แต่ในห้องพระ ไม่ยอมออกไปไหนละซี คราวก่อนที่พ่อฑูรย์เอาพระปูนปั้นสมัยทวารวดีมาให้น่ะ รู้ไหมว่าคุณพงศ์ไม่หลับไม่นอนเลย นั่งชื่นชมพระอยู่ได้ทั้งคืน”

ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่อจากนั้น สองหนุ่มก็เอ่ยปากลาคุณหญิงมารดาของเพื่อน แล้วต่างคนต่างก็ขับรถของตนออกจากบ้านไป

 



Don`t copy text!