อมฤตาลัย ตอนที่ 19

อมฤตาลัย ตอนที่ 19

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ไวฑูรย์ อมรรัช ย่องหนับๆ เข้าไปในห้องทำงานของเขาเมื่อเวลาเกือบ ๑๐.๐๐ น. เสมียนสาวนั่งเคาะพิมพ์ดีดอยู่รีบบอกเสียงแจ๋ว

“อาจารย์อโณทัยให้หาค่ะ เช้านี้ถามถึงคุณสองหนแล้ว”

ไวฑูรย์เหลือบดูนาฬิกาแล้วยิ้มเจื่อนๆ “โอ้โฮ วันนี้สายตั้งชั่วโมงกว่า มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีค่ะ เพียงแต่ดอกเตอร์ชไนเดอร์มาถามหาคุณ และอาจารย์อโณทัยก็เรียกคุณพบด้วย แหม ลืมชมวันนี้ใส่เสื้อเก๋จังค่ะ”

ไวฑูรย์ก้มลงมองดูเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนมีริ้วสีน้ำตาลเล็กๆ ที่สวมอยู่แล้วยิ้มอายๆ

“เสื้อเพื่อนผมน่ะครับ เมื่อคืนไปนอนค้างบ้านมัน แล้วยืมเสื้อใส่มาทำงานเลย ถึงได้มาสายไปหน่อย”

ว่าพลางก็เดินเข้าไปในห้องด้านใน ซึ่งเป็นที่ทำงานของหัวหน้าแผนก ยกมือขึ้นเคาะบังตา เมื่อมีเสียง “เชิญ” ดังมาจากข้างในก็เปิดเข้าไปทันที

ผู้ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์อโณทัย ธรรมธัช คือศาสตราจารย์ ดร.อดอล์ฟ ชไนเดอร์ และวิสัน สุรภิญโญ นักโบราณคดีรุ่นพี่ของไวฑูรย์ เมื่อเขาผลักบังตาเข้าไป ทุกคนก็หันมามอง ดร.ชไนเดอร์ถึงกับลุกขึ้นเดินมาโอบไหล่อย่างดีใจ

“อะฮ้า มาพอดี เรามีของดีจะอวดคุณ” ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันพูดเสียงดังคับห้อง

ไวฑูรย์ยิ้มรับ มองไปทางอาจารย์อโณทัยเห็นถืออะไรอย่างหนึ่งอยู่ในมือพร้อมกับแว่นขยายก็เดินตรงเข้าไปหา

“อะไรครับ อาจารย์”

แทนคำตอบ อาจารย์อโณทัยส่งวัตถุที่อยู่ในมือมาให้พร้อมกับแว่นขยาย ไวฑูรย์รับมาดู ครั้นพอมองเห็นถนัดว่าเป็นอะไรก็ถึงกับสะดุ้ง ก้มลงพิจารณาสิ่งนั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยสีหน้าบอกความสนใจและพิศวงสุดซึ้ง

มันเป็นศิลาสลักชิ้นหนึ่งขนาดโตกว่าฝ่ามือเล็กน้อย ความหนาไม่เกิน ๑/๔ นิ้วของมัน แสดงว่าถูกกะเทาะหรือหลุดกร่อนออกจากแผ่นใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้ไวฑูรย์สนใจและพิศวงเป็นล้นพ้นนั้นมิใช่ขนาดของมัน หากเป็นภาพสลักนูนที่ปรากฏอยู่บนนั้นต่างหาก

เป็นภาพดวงหน้าสตรีขนาดใหญ่เกือบเต็มชิ้นส่วนนั้น ฝีมือที่สลักประณีตบรรจงด้วยอารมณ์และฝีมือศิลปินอันลึกซึ้งเป็นพิเศษจนภาพที่ปรากฏเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนไม่ใช่สลักบนหิน ทุกเส้นที่บรรจงสลักเป็นหน้าผากอันมนงามคิ้วโก่งเรียว ดวงตาใหญ่และเรียวประหลาด จมูกโด่งงามกับริมฝีปากหยักโค้งที่เหยียดยิ้มอย่างแฝงเลศนัยนั้น ดูเหมือนจะถอดแบบออกมาจากดวงหน้าของใครคนหนึ่งอย่างชัดเจน…ความละม้ายแม้นนั้นทำให้ไวฑูรย์หลุดปากอุทานออกมา
เบาๆ โดยไม่ตั้งใจ

“พินทุวดี!”

“ว้าส? อะไรนะ” ดร.ชไนเดอร์ถามเสียงหลง จ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง

“ปละ…เปล่า ผมแปลกใจมากน่ะครับ โปรเฟสเซอร์ได้มาจากไหน”

“โอ…ไม่ใช่ผมหรอก คุณวิสันต่างหากได้มันมาจากป่าลึกแถบเทือกเขาดงรักโน่น”

ไวฑูรย์เปลี่ยนสายตาไปยังวิสัน สุรภิญโญ เพื่อนรุ่นพี่ฝ่ายนั้นอัดบุหรี่เข้าปอดก่อนอธิบายว่า

“หน่วยของเราที่นั่นได้มาจากชาวป่าอีกทีน่ะ ไวฑูรย์ คนของเราเล่าว่า พรานป่าคนนั้นเข้าไปล่าสัตว์ แล้วเจอหินชิ้นนี้จมดินอยู่ครึ่งหนึ่งก็เลยขุดขึ้นมาดู ครั้นถึงเวลาเอาของป่ามาขายในเมือง ก็เลยเอาหินสลักนี้ออกขายด้วย เคราะห์ดีเหลือเกินที่พวกเราไปพบเข้าจึงขอซื้อมาด้วย ราคาไม่แพงนัก”

“ตรงที่พบเป็นพื้นที่ยังไงครับ พี่สัน”

“เขาว่าเป็นดงทึบตันติดกับหน้าผาใหญ่ ไม่มีทางบุกเข้าไปไกลกว่านั้นได้อีก รอบๆ บริเวณนอกจากหินสลักชิ้นนี้แล้วก็ไม่พบอะไรอีกเลย”

ไวฑูรย์ก้มลงพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วเงยหน้าถามอาจารย์อโณทัย

“อาจารย์เข้าใจว่าอย่างไรครับ”

ผู้เชี่ยวชาญภาษาตะวันออกบุ้ยปากไปทาง ดร.ชไนเดอร์

“ผมไม่ว่ายังไงหรอก แต่โปรเฟสเซอร์สิ ท่านว่าเป็นหินสลักจากเมืองอมฤตาลัย”

“หยา ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมเชื่อว่าหินสลักนี้มีอายุเท่ากับศิลาจารึกที่ผมได้มา มันไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน แต่ผมก็เชื่อด้วยสัญชาตญาณครับ”

“โปรเฟสเซอร์คิดว่านี่เป็นรูปอะไรครับ หน้าพระอุมาหรือนางอัปสรประดับปราสาทหินหรือยังไง”

“โอ…ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก”

“โปรเฟสเซอร์เชื่อว่า นี่เป็นรูปของนางพญาพันธุมเทวี ราชินีแห่งอมฤตาลัยทีเดียวแหละ” วิสันบอกด้วยเสียงหัวเราะๆ

ไวฑูรย์พลิกศิลาสลักชิ้นนั้นไปมาอีกครั้ง แล้วจึงหันไปทางศาสตราจารย์ชาวเยอรมัน

“ขอถามเชยๆ ว่า ทำไมถึงได้เชื่ออย่างนั้นล่ะครับ”

ดร.ชไนเดอร์หันมามองเขา นัยน์ตาสีฟ้าลึกมีแววนิยมชมชื่นอย่างเห็นได้ชัด

“ผมได้เค้าเงื่อนมาจากรูปขยายศิลาทับหลังที่คุณถ่ายมานั่นน่ะซี นี่ไง”

ดร.ชไนเดอร์หยิบรูปถ่ายขนาด ๒๔ นิ้ว ที่วางคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะด้านหนึ่งขึ้นมาให้ดู

“เห็นไหม เครื่องอาภรณ์ของสตรีในรูปถ่ายนี่กับสตรีบนแผ่นศิลาจำหลักแบบเดียวกัน คือไม่เหมือนเครื่องอาภรณ์นางอัปสรหรือเทพธิดาสลักที่ไหนๆ เลย ศิราภรณ์ทรงสูงคล้ายอัปสรนครวัด แต่ก็ไม่ใช่ เพราะดูหรูหราบอกฐานะกษัตริย์เหมือนรูปถ่ายดิกเลย และเครื่องประดับรอบคอก็เหมือนกันทุกส่วน ผมจึงเดาว่ารูปนี้เป็นคนคนเดียวกัน และนั่นคือ รูปนี้เป็นรูปสลักของพันธุมเทวี!”

“ไม่อ่อนไปหน่อยหรือครับ โปรเฟสเซอร์”

วิสันค้านยิ้มๆ ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันก็ก้มศีรษะรับ

“หยา ผมรู้…รู้ดีว่าข้อสันนิษฐานนี้อ่อนมากจนดูไม่มีเหตุผล แต่คิดดูเถอะว่ารูปนี้แต่งกายแบบนางกษัตริย์ ก็ขอมโบราณมีกษัตริย์ที่เป็นผู้หญิงกี่คนกันล่ะ”

“ผมคนหนึ่งละครับที่เชื่อตามความคิดเห็นของโปรเฟสเซอร์ ผมเชื่อว่าสตรีในรูปทั้งสองนี้เป็นคนคนเดียวกัน แต่จะใช่พันธุมเทวี ราชินีแห่งอมฤตาลัยหรือไม่นั้น ต้องรอคำอ่านจารึกจากอาจารย์ก่อน”

ไวฑูรย์บอกอย่างหนักแน่น ทุกคนจึงหันไปมองหน้าผู้เชี่ยวชาญอ่านจารึกพร้อมๆ กัน อาจารย์อโณทัยขยับตัวคลายอึดอัดในขณะที่ตอบอย่างไม่แน่ใจ

“ผมเองยังไม่มีเวลาศึกษารูปถ่ายจารึกนั้นอย่างถี่ถ้วนเลย เท่าที่มองๆ ดูเป็นภาษาขอมโบราณ กล่าวถึงเมืองเมืองหนึ่งที่มีสระน้ำอมฤตาลัยอยู่หน้าเมือง และมีราชินีเป็นผู้ครอง”

“แล้วไงครับ ในรูปถ่ายจารึกนั้นไม่ระบุชื่อเมืองและชื่อราชินีไว้เลยหรือ”

“ส่วนที่เป็นชื่อเมืองและชื่อราชินีผุกร่อนไป เข้าใจว่าตอนที่หลุดไปนั้นคือ ชิ้นส่วนที่โปรเฟสเซอร์ชไนเดอร์ได้มา แต่ผมยังไม่ยืนยันนะต้องขอศึกษาดูก่อน อาทิตย์หน้าอาจให้คำตอบที่แน่นอนได้”

“ครับ ผมคิดว่าถ้าเราอ่านจารึกออกหมดคงได้ความกระจ่างขึ้นแน่ ไวฑูรย์ถ่ายรูปตัวอักษรได้ชัดเจนพออ่านสะดวกหรือเปล่าครับ”

“ชัดเจนดีมาก แต่ผมอยากเห็นของจริงเหลือเกิน ทำไมเจ้าของถึงได้หวงนักนะ ไวฑูรย์”

นักโบราณคดีหนุ่มยิ้มเยียบเย็น “ไม่เพียงแต่หวงอย่างเดียวหรอกครับ อาจารย์ ถ้าเขารู้ว่าผมแอบถ่ายรูปนี้มา เขาคงแทบฆ่าผมเลยทีเดียว”

“เอ๊ะ แปลก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น”

“ก็น่านน่าซีครับ แต่ผมมีอะไรจะให้ทุกคนเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ยังไม่ขอเปิดเผยเวลานี้…ในงานแฟนซีลีลาศปลายเดือนนี้ ผมอยากเชิญทุกท่านที่ว่างไปในงาน บางทีอาจได้พบอะไรประหลาดอย่างไม่นึกฝันก็ได้ ส่วนจะเป็นอะไรนั้น อย่าถามเลยครับ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”

ดร.ชไนเดอร์มองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ ทำท่าจะซักไซ้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจยักไหล่พลางลุกขึ้นยืน

“ผมมีนัดเวลาสิบเอ็ดโมง ต้องขอตัวไปก่อนละครับ เชื่อว่าคงจะได้ข่าวคืบหน้าจากทุกท่านในเร็วๆ นี้”

“จะพยายามครับ โปรเฟสเซอร์ พวกผมอยากไปขุดแต่งเมืองอมฤตาลัยจนตัวสั่นกันแล้ว”

วิสันตอบยิ้มๆ ตามนิสัย ดร.ชไนเดอร์ยิ้มกว้างพร้อมกับก้มศีรษะให้ทุกคน แล้วเดินกึงๆ ออกไปจากห้อง

ไวฑูรย์หันมาทางนักโบราณคดีรุ่นพี่

“ขอผมยืมสักวันได้ไหมครับ พี่สัน ผมอยากเอาหินสลักชิ้นนี้ไปพิจารณานานๆ หน่อย จะเทียบกับรูปสลักทับหลังที่ได้มา”

“เอาไปซี ผมเองอยากให้ทุกคนเห็นทั่วๆ กันด้วยซ้ำ มันเป็นศิลาสลักงามที่สุดที่เราเคยพบทีเดียว”

 

“หมวดครับ มีโทรศัพท์”

ร.ต.ท.ทัดเทพเงยหน้าขึ้นมองพลตำรวจที่ยืนระวังตรงอยู่เบื้องหน้าอย่างงงๆ ครั้นได้รับคำบอกเล่าซ้ำข้อความเดิมก็พยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปยังเครื่องรับโทรศัพท์

“สวัสดีครับ ทัดเทพพูดครับ หา ว่าไงนะ เจ้าช่วงน่ะหรือ ตายเสียแล้ว บ๊ะ เป็นอะไรตาย อะไรนะ ฮ้า อย่าล้อเล่นนะโว้ย จริงๆ หรือวะ เออ เออ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

นายตำรวจหนุ่มวางหูโทรศัพท์ดังโครม หันไปคว้าหมวกบนหลังตู้เอกสารขึ้นวางแปะบนหัว แล้วจ้ำอ้าวลงจากโรงพักโดยไม่พูดจา ครั้นถึงบันไดล่างก็พอดีกับรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาโดยเร็ว

“เฮ้ย ไอ้เทพ นั่นจะไปไหนวะ ข้ามารับแล้ว อย่าเบี้ยวนะโว้ย”

นายแพทย์ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา โวยวายลั่น เบรกรถพรืดลงข้างตัวเพื่อนเกลอชนิดเฉียดเพียงเส้นยาแดง

“เออ ข้าไม่ลืมนัดหรอกน่า แต่ตอนนี้มีเรื่องด่วน เอ็งมาก็ดีแล้ว ไปด้วยกันหน่อย”

“วะ ไปไหนอีกล่ะ ไหนว่าจะไปบ้านคุณพินทุวดี”

“เออ ไปด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปหาคุณพินทุวดีทีหลัง”

โดยไม่รอคำตอบ ร.ต.ท.ทัดเทพเปิดประตูขึ้นนั่งเคียงคู่เพื่อนเกลอทันที

“ไปไหนวะ”

“โน่น ปากคลองสาน”

หมอสโรชพันธุ์สะดุ้งเฮือก หันมามองทำตาเขียว “อย่าล้อเล่นนะโว้ย พ่อยิ่งรมณ์ไม่ดีอยู่”

“พูดจริงๆ ว่ะ ไม่ได้ล้อ ขับๆ ไปเหอะแล้วจะเล่าให้ฟัง”

ทัดเทพใช้เวลาที่นั่งรถไปนั้นเล่าเรื่องที่ได้รับฟังทางโทรศัพท์ให้เพื่อนเกลอฟัง พอจบ นายแพทย์เชื้อพระวงศ์ก็อุทานขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

“วะ ยังไงกัน เรื่องเจ้าช่วงก็เป็นนิทานพออยู่แล้ว เกิดมีคดีฆาตกรรมลึกลับแทรกเข้ามาอีกแน่ะ ถามจริงๆ เหอะ เทพ เอ็งกะไอ้ฑูรย์สมคบกันปั้นเรื่องหลอกข้าหรือเปล่าวะ”

“ไอ้…หลอกเอ็งแล้วได้หอกอะไรขึ้นมา ที่จริงเรื่องเจ้าช่วงก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้าหรอก คนละท้องที่กัน แต่ข้าสนใจเพราะมันเป็นคนที่ถูกไอ้สิทธิ์ขับรถชน แล้วก็อย่างที่เล่าให้ฟังน่ะแหละ มันละเมอเพ้อพกอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง ตรงกับที่ไอ้ฑูรย์เล่าเสียด้วย ข้าเลยสั่งเพื่อนที่โรงพยาบาลให้คอยบอกทันทีที่มันค่อยยังชั่วจะได้ซักถามอะไรง่ายหน่อยแต่มันก็มาตายเสียแล้วเมื่อคืนนี้เอง”

“หมอว่าเป็นอะไรตายนะ เอ็งว่าตะกี้ข้าฟังไม่ถนัด”

ผู้หมวดหนุ่มเหลือบมองหน้าเพื่อนเกลอแล้วหัวเราะหึๆ

“โธ่เอ๊ย เอ็งไม่เชื่อก็บอกมาตรงๆ เถอะวะ…หมอบอกว่ามันถูกฆ่าโดยอะไรบางอย่างที่มีฟันแหลมคมเล็กเหมือนปลายเข็ม”

“ในโรงพยาบาลน่ะเรอะ”

“ในบริเวณนั้นแหละ อย่าถามมากเลยวะ ข้ายังไม่รู้รายละเอียด เดี๋ยวไปถึงที่นั่นแล้วก็รู้”

รถของจิตแพทย์หนุ่มพุ่งปราดเข้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ที่มุมสนามด้านหนึ่งหน้าตึก มีตำรวจและแพทย์พยาบาลยืนมุงอยู่เป็นกลุ่ม ร.ต.ท.ทัดเทพกระโดดลงจากรถปราดเข้าไปทันที ชายหนุ่มในเสื้อคลุมขาวสวมแว่นตาหนาเตอะเห็นเข้าก็เดินออกมาหา

“มาเร็วจริงแฮะ ไอ้เสือ เจ้าช่วงนอนอยู่นั่นไง ยังไม่ทันเคลื่อนย้ายไปเลย”

ร่างของหัวขโมยที่นอนหงายแผ่หลาอยู่บนสนามหญ้านั้น น่าสมเพชเวทนาและน่าสยดสยองเสียจนทัดเทพไม่อาจมองดูได้เต็มตา เนื้อตัวของมันถูกขบกัดฟัดย้ำอย่างทารุณโดยอะไรบางอย่างที่แหลมคมจนไม่มีชิ้นดี เนื้อกระจุยขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยอง ยิ่งนัยน์ตาอันเหลือกลานเบิกโพลงและสีหน้าแสดงความตกใจกลัวอย่างเหลือล้นของมัน บอกให้รู้ว่าก่อนตายคงได้รับความตกใจกลัวอย่างสุดขีด ร่างของศพซีดเซียวปราศจากเลือดแม้แต่หยดเดียว เหมือนกับถูกดูดกินโดยอะไรสักอย่างจนเกลี้ยงเกลาไม่มีเหลือหลอ และที่น่าหวาดเสียวที่สุดก็คือ ตรงทรวงอกเบื้องซ้ายของหัวขโมยถูกแหวะออกและหัวใจในนั้นหายไปจากขั้วของมัน!!

ร้อยตำรวจเอกผู้หนึ่งในกลุ่มผละเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ร.ต.ท.ทัดเทพรีบตะเบ๊ะ แล้วเอ่ยขึ้น

“ได้เค้าอะไรบ้างไหมครับ สารวัตร”

สารวัตรหนุ่มมีท่าทางหนักใจ “ฆาตกรรมแน่ๆ แต่โดยใครหรืออะไรนั่นซิที่ยังเดาไม่ออกกันเลย”

“ดูๆ ไปแล้วเหมือนศพที่เคยพบในซอยพหลโยธินเมื่อสามเดือนก่อนนะครับ สารวัตร ศพนั้นถูกกัดทิ้งและดูดเลือดจนหมดตัวอย่างนี้แหละ”

สีหน้าของสารวัตรมีแววครุ่นคิดตรึกตรองลึกซึ้ง

“จริงซี ผมนึกออกแล้ว ศพนั้นผมก็เคยเห็นลักษณะของมันเหมือนอย่างนี้แหละ แต่ศพทั้งสองพบห่างกันคนละทิศละทาง คนร้ายจะเป็นใครหนอและทำไมถึงมุ่งร้ายต่อเจ้าช่วงถึงขนาดนี้”

ร.ต.ท.ทัดเทพปล่อยให้สารวัตรครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง ตนเองเดินไปทางบุรุษในเสื้อคลุมขาวที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ซักถามอะไรจนพอใจจึงหันกลับมาชวนนายแพทย์เชื้อพระวงศ์ผู้กำลังเจรจากับหมอในเสื้อคลุมขาวอีกคนหนึ่งอยู่

“ไง หมอ กลับกันเสียทีดีไหม”

“เอ็งได้เค้าอะไรหรือยังวะ”

“ไม่เลย”

“งั้นมาฟังนี่ซี หมอเล่าว่ามีคนไข้ได้ยินเสียงเจ้าช่วงร้องลั่นก่อนถูกทำร้ายว่า ‘ช่วยด้วย ไอ้ค้างคาวมาแล้ว’ อะไรทำนองนั้นแหละ แล้วมีเสียงต่อสู้กัน กว่าคนไข้คนนั้นจะวิ่งมาดูก็เห็นเจ้าช่วงเป็นยังงี้แหละ”

“เรอะ แล้วพยานคนนั้นอยู่ไหน”

หมอสโรชพันธุ์หัวเราะ นายแพทย์ผู้เล่าเรื่องจึงตอบเสียเอง

“เสียใจครับ เรากับคนไข้ที่เห็นเหตุการณ์ให้เป็นพยานไม่ได้เสียแล้ว เพราะพอเล่าให้เราฟังจบ เขาก็ช็อกหมดสติไป พอฟื้นก็เลอะเทอะหนักเข้าไปอีกจนพูดไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย”

ทัดเทพมีสีหน้าผิดหวังจนเห็นได้ชัด “แล้วสารวัตรทราบหรือยังครับ”

“ทราบครับ แต่เขาไม่เชื่อ เขาว่าจะเอาอะไรกับคนบ้า นึกอะไรได้ก็พูดเรื่อยเจื้อยไปยังงั้นเอง”

“แล้วคุณหมอล่ะครับ คิดว่ายังไง”

นัยน์ตาของนายแพทย์ผู้นั้นปรากฏแววหวั่นขึ้นวูบหนึ่ง แล้วก็จางไปโดยเร็ว

“นายสมคิด คนไข้คนนั้นน่ะเกือบจะหายเป็นปกติแล้วละครับ ถ้าเขาเห็นเหตุการณ์ในตอนที่สติสัมปชัญญะยังดีอยู่ก็น่าเชื่อได้ แต่…ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแหละว่าที่เจ้าช่วงร้องออกมาก่อนตายว่ามนุษย์ค้างคาวหรืออะไรทำนองนั้น จะเป็นเพราะเขาเกิดเสียสติขึ้นมากะทันหันหรือเปล่า”

“สมมติว่า ถ้าเจ้าช่วงไม่เสียสติล่ะครับ”

นายแพทย์ยักไหล่ “ก็อาจเห็นเงากิ่งไม้ต้นไม้อะไรสักอย่างเป็นตุเป็นตะไปน่ะซีครับ คุณสังเกตไหม ใกล้ที่เจ้าช่วงนอนตายมีต้นปาล์มเตี้ยและต้นมะขามใหญ่อยู่ด้วย เงากิ่งปาล์มอาจทำให้มันเห็นเป็นรูปค้างคาวยักษ์ไปก็ได้”

“งั้นอะไรล่ะครับที่ฆ่าเจ้าช่วง”

หมอสโรชพันธุ์รุก นายแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยายักไหล่อีกครั้งพร้อมกับแบมือ

“นั่นน่ะซีครับ ใครรู้ช่วยบอกผมด้วยเถอะ”

ทัดเทพชวนเพื่อนเกลอออกจากโรงพยาบาลด้วยความสลดหดหู่ เขานั่งเงียบตลอดทางที่ไปยังบ้านของพินทุวดี และแม้เมื่อรถของหมอสโรชพันธุ์แล่นผ่านประตูใหญ่สีเทาเข้าไปแล้ว เขาก็ยังเงียบอยู่นั่นเอง

แต่แล้วร่างโปร่งบางอรชรที่ปรากฏขึ้นเหนือบันไดหินอ่อนก็ทำให้สีหน้าเคร่งเครียดของนายตำรวจหนุ่มเปลี่ยนไป ทัดเทพยิ้มออกมาในทันทีนั้นพร้อมกับรีบเดินขึ้นบันไดไปหาอย่างเร่งร้อนลืมตัว เสียงที่เอ่ยทุ้มนุ่มสนิทด้วยความรู้สึกในใจ

“สโรชินี สบายดีหรือครับ ผมพาหมอเพื่อนผมมาแล้ว…หมอเว้ยนี่คุณสโรชินี เลขานุการส่วนตัวของเจ้าของบ้านนี้”

หญิงสาวทำความเคารพอย่างอ่อนโยน นายแพทย์สโรชพันธุ์รับไหว้พลางมองดูเต็มตา นึกในใจว่าเพื่อนเกลอของเขาตาแหลมไม่ใช่เล่น สตรีสาวที่อยู่เบื้องหน้าบัดนี้ งามบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนดอกบัวแรกแย้มจริงๆ จิตแพทย์หนุ่มรู้สึกคุ้นหน้าหล่อนอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่เชื่อแน่ว่าไม่เคยพบเห็นกันมาก่อนเลย

“สวัสดีครับ นี่หรือคนไข้ เป็นไปไม่ได้หรอก เทพ ดูแจ่มใสออกอย่างนี้”

นายแพทย์หนุ่มเริ่มต้นใช้จิตวิทยา สโรชินียิ้มเศร้า นัยน์ตาที่เหลือบไปทางร้อยตำรวจโทหนุ่มมีแววตัดพ้อระคนหมางเมิน

“บัวไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณทัดเทพคิดไปเอง…เชิญข้างบนเถอะค่ะ บัวจะไปเรียนคุณผู้หญิงก่อน”

แล้วโดยไม่ฟังคำตอบ ร่างบอบอรชรนั้นหันกลับเดินดุ่มนำขึ้นไปยังห้องรับแขกใหญ่ เปิดประตูให้แล้ว ตนเองแยกไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“อื้อฮือ นี่บ้านคนธรรมดาหรือวะนี่” จิตแพทย์หนุ่มอุทานเบาๆ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องใหญ่โตนั้น

“วังท่านพ่อว่าใหญ่แล้วยังเทียบไม่ติดเลย”

ทัดเทพจุปากห้าม “เบาๆ หน่อยหมอ เอ็งนี่เป็นประเภทเจ๊กตื่นไฟอย่างไอ้ฑูรย์อีกคนแล้ว ไอ้นั่นเห็นของโบราณในห้องนี้เข้าก็โวยวายลั่นจนเจ้าของเขาโมโหเอา”

“ก็จริงๆ นี่หว่า นี่มันท้องพระโรงโว้ย ไม่ใช่ห้องรับแขกธรรมดา คุณพินทุวดีของเอ็งท่าจะรวยหลาย”

“ก็มีเชื้อสายเจ้านี่หว่า คงขนเอาเงินจากเขมรมาด้วยอย่างมหาศาลเลยเชียวแหละ”

“กำลังพูดถึงเชื้อสายของฉันหรือคะ ทัดเทพ”

เสียงหวานกังวานดังขึ้นทางเบื้องหลัง ชายหนุ่มทั้งสองหันขวับทันทีแล้วลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมๆ กัน เจ้าของบ้านยืนยิ้มอยู่ใกล้บานประตูที่ปิดสนิท สดสวยแจ่มใสในชุดกางเกงขาบานกรุยกรายสีรุ้งหลากสี นายแพทย์สโรชพันธุ์จ้องมองความงามพิลาสที่ปรากฏอยู่ต่อหน้านั้นอย่างตะลึงงันจนแทบลืมตัว

“ครับ ผมผ่านมาทางนี้ก็เลยชวนเพื่อนแวะเข้ามาขอน้ำส้มกินซักแก้ว หมอ นี่ไงคุณพินทุวดี วงศ์ยโสธร ที่เอ็งอยากรู้จัก เพื่อนผมคนนี้เป็นจิตแพทย์ครับ รักษาโรคสารพัดได้ด้วย ชื่อหมอ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา…แต่ผมคิดว่าหมออย่างนี้ คุณพินทุวดีคงไม่ต้องการพบนักหรอก”

“อ้าว แล้วกัน”

นายแพทย์เชื้อพระวงศ์อุทาน พินทุวดีหัวเราะแจ่มใส เดินกรายไปนั่งบนเก้าอี้พนักสูงใหญ่กลางห้อง ชายหนุ่มทั้งสองก็นั่งลงตามเดิม

“สุขภาพจิตของฉันดีเยี่ยมค่ะคุณหมอ อย่างทัดเทพว่านั่นถูกต้องแล้ว จิตแพทย์กับฉันอยู่คนละมุมโลกกันเลยทีเดียว”

“โธ่ คุณพินทุวดีพูดอย่างนี้ จิตแพทย์ก็เสียกำลังใจแย่ แต่ที่ผมมาวันนี้ไม่ใช่ในฐานะจิตแพทย์นี่ครับ เป็นเพียงผู้ติดตามผู้หมวดท่านเท่านั้น”

พินทุวดีหันมาทางทัดเทพ “มีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”

“ต้องมีอะไรด้วยหรือครับถึงจะมาได้” ทัดเทพย้อนหัวเราะๆ แล้วพูดต่อไปเรื่อยๆ

“จะมาส่งข่าวเรื่องเจ้าช่วงน่ะครับ คุณพูดถึงมันหยกๆ เมื่อวานนี้ วันนี้มีข่าวไม่ดีเสียแล้วครับ”

“อะไรคะ เจ้าช่วงย่องขึ้นบ้านใครอีกหรือ”

“ตรงกันข้ามครับ เจ้าช่วงหมดโอกาสขึ้นบ้านใครอีกแล้วในชาตินี้…เพราะมันตายเสียแล้วเมื่อคืนนี้เอง”

สีหน้าของผู้รับฟังเรียบเฉยเป็นปกติ แต่แววตาเท่านั้นเปลี่ยนไปนิดหนึ่งจนแทบสังเกตไม่เห็น

“ตายจริง เป็นอะไรตายคะ”

“นี่แหละครับที่พวกตำรวจและหมอยังมืดแปดด้านอยู่ เมื่อเช้านี้ผมได้รับโทรศัพท์จากนายแพทย์ที่อยู่โรงพยาบาลบอกว่า เจ้าช่วงถูกฆ่าตายแล้ว ผมกับหมอสโรชพันธุ์ก็ไปดู ปรากฏว่าศพเจ้าช่วงถูกกัดทึ้งด้วยเขี้ยวสัตว์ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ลักษณะของศพคล้ายศพแรกที่พบในซอยพหลโยธินนั่นแหละครับ คุณพินทุวดีคงพอนึกออก”

“นึกไม่ออกหรอกค่ะ ฉันไม่สนใจติดตามข่าวนั้นเลย จำไม่ได้แล้วว่าชายคนแรกตายยังไง”

“อ้าว ผมคิดว่าคุณสนใจติดตามเสียอีก เพราะคนตายและที่คนหายไปทุกคนเป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกับคุณทั้งนั้น”

“คุณทัดเทพน่าจะทราบว่า ข่าวอย่างนี้น่าสยองและสะเทือนใจเกินกว่าจะจดจำไว้…ตำรวจก็คอยมากวนซักไซ้ฉันจนโมโหเดือด ฉันจึงพยายามลืมมันเสีย ขืนจำไว้รังแต่ขุ่นเคืองใจเปล่าๆ และก็ทำได้สำเร็จเสียด้วยซีคะ ฉันลืมเรื่องพวกนี้ได้หมดแล้วจริงๆ”

“อืม นับว่าคุณพินทุวดีเก่งมาก คนเราส่วนมากถ้าพยายามลืมอะไรมักไม่สำเร็จ นอกจากจะใช้เวลาเข้าช่วย” หมอสโรชพันธุ์ว่า

“ตามหลักจิตแพทย์สมัยใหม่เป็นอย่างนั้นหรือคะ เสียใจจริงที่ฉันเป็นข้อยกเว้น ฉันคิดว่าคนเราถ้าพยายามที่จะลืมอะไรแล้วก็ลืมได้เสมอด้วยอำนาจจิต…คือการบังคับจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งวงการจิตแพทย์สมัยใหม่ของคุณไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะเป็นไปได้”

“เช่นอะไรครับ” จิตแพทย์หนุ่มถามทันที ดวงตาจุดประกายสนใจอย่างเปิดเผย

เจ้าของบ้านผู้เลอโฉมหัวเราะเบาๆ อย่างมีเลศนัย

“อุ๊ย อย่าให้ยกตัวอย่างเลยค่ะ เราอยู่คนละฟากโลกอย่างที่บอกตะกี้ ถึงอธิบายอย่างไรคุณหมอก็ไม่เข้าใจหรอก ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ อย่างนี้ กรรมวิธีและวิชาการของเราก็แตกต่างกัน ราวหน้ามือกับหลังมือเชียวค่ะ”

นายแพทย์สโรชพันธุ์ทำท่าจะซัก แต่ทัดเทพชิงพูดขึ้นเสียก่อนเป็นการตัดบท

“หมอ คุณพินทุวดีเธอบอกว่า เธอมีความคิดอ่านเป็นคนโบราณ เอ็งจะพยายามให้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้น่ะ เธอคงไม่ยอมหรอก จริงไหมครับคุณพินทุวดี อ้อ เมื่อคืนนี้ไอ้ฑูรย์มันสั่งผมให้บอกคุณว่า มันคงใช้เวลาตรวจสอบรูปสลักเกียรติมุขอยู่นานหน่อย เพราะตอนนี้มีงานล้นมือเลยครับ”

“เมื่อคืน?” พินทุวดีทวนคำ คิ้วโก่งเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ มองหน้าผู้หมวดหนุ่มอย่างคาดคั้น

“คุณพบไวฑูรย์เมื่อคืนนี้หรือคะ”

“ครับ ตลอดทั้งคืนเลย เพราะไอ้ฑูรย์มันเมาแประไปนอนค้างบ้านผมด้วย”

แววอย่างหนึ่งซึ่งทัดเทพอ่านออกว่าเป็นริ้วรอยกึ่งผิดหวังกึ่งกังวลใจผ่านแวบเข้าไปในดวงตาคู่งามของสตรีเจ้าของบ้าน แล้วจางหายไปโดยเร็ว

“ช่วยบอกคุณฑูรย์ด้วยค่ะว่าไม่เป็นไรหรอก เก็บไว้นานๆ ก็ได้ ฉันยังสั่งทำแท่นวางเกียรติมุขไม่เสร็จเลยค่ะ”

“คุณพินทุวดีคงเป็นนักสะสมวัตถุโบราณชั้นเยี่ยม”

นายแพทย์หนุ่มเอ่ยหลังจากมองกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง

“เพียงบางอย่างเท่านั้นค่ะ ฉันสะสมไว้แต่ของบรรพบุรุษ นอกนั้นไม่มีความรู้เลย”

“คุณพินทุวดีมีเชื้อสายเจ้าทางเขมรเว้ย หมอ เธอเพิ่งลี้ภัยการเมืองมาอยู่กรุงเทพไม่นานมานี้เอง”

ทัดเทพหันมาอธิบาย นายแพทย์เชื้อพระวงศ์มีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนึกขึ้นมาได้

“งั้นคุณคงเป็นเจ้าหญิงในพระราชวงศ์เขมรน่ะซีครับ ตอนที่อยู่เยอรมัน ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเจ้าเขมรเหมือนกัน ชื่อเจ้าเป็งวงศ์ เขาเล่าให้ฟังถึงพี่น้องของเขาเสมอว่า มีอยู่คนหนึ่งสวยมากเป็นพิเศษ สงสัยว่าจะเป็นคุณนี่เอง ใช่ไหมครับ”

พินทุวดียิ้ม นัยน์ตาที่ทอดมาจับจิตแพทย์หนุ่มมีแววเยือกเย็นระคนหยามหยันอยู่ในที

“ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ คุณหมอ เจ้าเขมรของคุณหมอน่ะคงเป็นราชวงศ์เขมรใหม่ ผิดกับฉันซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สืบทอดโดยตรงมาจากพระเจ้ายโสวรมันแห่งพระนครหลวง คนละสายกันค่ะ มีคนชอบถามฉันว่ารู้จักเจ้าคนนั้นคนนี้ไหม คำถามนี้ทำให้ฉันรำคาญใจไม่รู้จักจบ ที่จริงฉันไม่รู้จักใครในเขมรใหม่นี้เลย และไม่มีใครรู้จักฉันด้วย เพราะ…ได้บอกแล้วว่าฉันเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์ยโสธร คนสุดท้ายจริงๆ ค่ะ ไม่มีใครอื่นอีกแล้วตลอดเวลาพันกว่าปีที่ล่วงมา!”

 



Don`t copy text!