อมฤตาลัย ตอนที่ 3

อมฤตาลัย ตอนที่ 3

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้สัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

เข็มนาฬิกาข้อมือของสถาพร ไพสิฐกุล บอกเวลาเกือบ ๐๒ นาฬิกาเมื่อเขาขับรถออกจากบริเวณงานเคียงข้างเขาคือ พินทุวดี วงศ์ยโสธร ผู้เลอโฉม ซึ่งนั่งเอนพิงพนักอย่างสบายอารมณ์ แม้ว่ารถคันนั้นจะค่อนข้างเล็กแคบผิดกันไกลกับพาหนะที่หล่อนใช้อยู่เป็นประจำ

“เห็นจะต้องขอบใจรถของคุณละครับ ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้รับใช้ในคืนนี้”

สถาพรพูดขึ้นขณะสตาร์ตรถออกจากที่นั่น

“ถ้าฟอร์ดนั่นไม่เสีย ผมคงไม่มีโชคอย่างนี้หรอกครับ นั่งรถผมอึดอัดหน่อยนะครับ คุณพินทุวดี แต่ก็รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจะขับพาคุณส่งถึงบ้านอย่างนิ่มที่สุดเลยเชียว”

พินทุวดียิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ ถ้าโชคของคุณดี โชคฉันก็ไม่ดีน่ะซีคะ รถคันนั้นไม่เคยรวนเลย เพิ่งจะครั้งนี้แหละ เห็นคนขับบอกว่ามอเตอร์สตาร์ตมันเสียหรือไงนี่แหละค่ะ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก”

“คงไม่เป็นอะไรมากมังครับ นายชินจัดการตามช่างแล้ว พรุ่งนี้ก็คงใช้การได้”

“ก็คงงั้นแหละค่ะ”

หญิงสาวตอบอย่างไม่สนใจนัก นัยน์ตาเหม่อมองไปในความมืดเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วหันมาทางชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างซ่อนความรู้สึกว่า

“คุณทัดเทพเพื่อนคุณน่ะ ทำไมรีบกลับนักล่ะคะ ยังไม่ถึงห้าทุ่มดีเลย หายไปทั้งคู่เสียแล้ว ทั้งไวฑูรย์ด้วย”

“เจ้าเทพกับฑูรย์มันไม่ค่อยชอบงานสังคมนักหรอกครับ แต่สำหรับไอ้เทพ ผมคิดว่ามันคงหนีรำคาญมากกว่าคุณอลิศราตามเกาะมันแจ ผมเห็นยังรำคาญแทนเลยครับ”

ดวงตาดำงามของพินทุวดีหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เอ่ยถามเรื่อยๆ เหมือนชวนสนทนาตามปกติ ซ่อนแววสนใจใคร่รู้เต็มเปี่ยมไว้ภายใต้แผงขนตาที่หลุบลงต่ำ

“เป็นคู่รักกันหรือคะ กับคุณอลิศรานางแบบนั่นน่ะ”

“โอ๊ย ไม่ใช่หรอกครับ เจ้าเทพมันมีแฟนเยอะแยะ ก็รูปหล่อพ่อรวยแถมโก้ด้วยนี่ครับ สาวๆ ตอมกันเกรียว มันก็เล่นตัวเลือกไปเรื่อยๆ ยังไม่จริงจังกับใคร”

“สาวๆ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าจะมีเสรีในเรื่องคู่รักมากนะคะ ชอบผู้ชายโก้เก๋ฐานะดี เป็นเพราะผู้ชายมีน้อยหรือไงก็ไม่ทราบ ผู้หญิงบางคนจึงเป็นฝ่ายออกเสนอเสียเอง”

“ผมก็ว่ายังงั้นแหละครับ…แหม ตอนคุณเต้นรำกับเจ้าเทพน่ะ คนทั้งฟลอร์แทบจะหยุดตะลึงดูกันหมด ใครๆ ก็ชมว่าสวยสง่าสมกันเหลือเกิน”

สถาพรพูดอย่างชื่นชมแต่ลึกลงไปมีแววริษยานิดๆ ปนอยู่ด้วย

พินทุวดีทอดสายตาไปเบื้องหน้า ในดวงตานั้นมีแววเลื่อนลอยเคลิ้มฝันเหมือนรำลึกถึงอดีตอันไกลแสนไกล…

“เขาสง่าอย่างนั้นเสมอแหละค่ะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว”

สถาพรเหลียวมามองอย่างฉงน “อ้าว ไหนคุณว่าเพิ่งรู้จักเจ้าเทพไงล่ะครับ”

คราวนี้หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เหมือนขับไล่อารมณ์เคลิ้มฝันให้หมดไป พลางหัวเราะเสียงใส

“ใครว่าคะ ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนี่ ยังไงๆ ก็ต้องแอบรู้จักผู้ชายโก้ๆ ไว้มั่งละ ถึงจะรู้จักข้างเดียวก็ตามทีเถอะ”

“แหม ผมชักอิจฉามันแล้วนะครับ” สถาพรร้องอย่างทีเล่นทีจริง

“ถ้าไอ้เทพรู้มันคงปลื้มตาย แต่บางทีมันก็ทึ่มอย่างไม่เข้าท่าเหมือนกันครับไอ้คนนี้ มันเอาแต่ทำงานท่าเดียวจะเป็นเซอร์ปิโกเสียให้ได้หรือไงก็ไม่รู้”

“คงจะจริงค่ะ ท่าทางคุณทัดเทพดูเอาการเอางานไม่ใช่เล่น เห็นบอกว่ากำลังจะสืบเรื่องคนหายที่เป็นข่าวอยู่ น่าขันจังค่ะ เขามาเลียบเคียงถามฉันว่ารู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน คงจะสงสัยฉันไว้ก่อนตามประสาตำรวจที่ดีละมังคะ”

สถาพรหัวเราะ

“คงไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ ใครจะสงสัยคุณพินทุวดีได้ คุณจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนหายได้ยังไงล่ะครับ ผมว่าถ้าเจ้าเทพมันสงสัยคุณก็คงจะบ้าเต็มที”

พินทุวดีเลิกคิ้ว รอยยิ้มผุดพรายที่ริมฝีปากมองดูเหมือนเยาะ

“ก็ไม่แน่นะคะ ฉันมีส่วนเกี่ยวด้วยเหมือนกันแหละ คือทุกคนที่หายไปนั่นล้วนแต่รู้จักฉันมาก่อนทั้งนั้นนี่คะ”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหนนี่ครับ ผมก็รู้จักคุณดี ทำไมถึงไม่หายไปไหนล่ะ”

สตรีสาวโฉมงามหัวเราะแผ่วเบา ด้วยกระแสเสียงเยียบเย็นอย่างประหลาดจนชายหนุ่มต้องชำเลืองมอง นัยน์ตาดำสนิทที่เหลือบแลมาทางเขานั้นดูเบิกโตขึ้น เต็มไปด้วยประกายประหลาด ทั้งหมายมั่นปั้นมือและทั้งมีเลศนัยลี้ลับ สถาพรรู้สึกเยือกเข้าไปในหัวอกด้วยความรู้สึกอันบอกไม่ถูก ก็พอดีกับหญิงสาวเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะแจ่มใสเหมือนเดิม

“เราอย่าคุยกันเรื่องนี้เลยค่ะ สถาพร ฉันไม่ค่อยสบายใจที่ได้ข่าวคนรู้จักคุ้นเคย ต้องหายไปอย่างลึกลับตั้งหลายคน…ว่าแต่คุณเถอะ วันก่อนที่ว่าไปหาซื้อของเก่าน่ะ ซื้อได้หรือเปล่าคะ”

“ยังไม่ได้ครับ เจ้าฑูรย์มันว่าให้รอไปอีกหน่อยก่อน ถ้ามันมีเวลาจะช่วยหาของดีๆ ให้”

พินทุวดีนิ่งไปอย่างตรึกตรอง แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ฉันพอมีของเก่าอยู่บ้างค่ะ คุณก็ทราบนี่ว่าฉันมีพื้นเพเป็นขอม เอ้อ ฉันหมายถึงเขมรอย่างที่เรียกกันน่ะค่ะ ฉันพอมีความรู้ในทางโบราณคดีนิดหน่อย โดยเฉพาะเกี่ยวกับโบราณวัตถุขอมที่บ้านมีอยู่หลายชิ้น ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันจะแบ่งมาให้เอาไหมคะ”

สถาพรหันมามองทำท่าเหมือนไม่เชื่อหูของตนเอง ถามเร็วปรื๋อ

“จริงๆ หรือครับ โอ้โฮ ถ้าได้อย่างนั้นก็วิเศษ คุณไม่ได้ล้อผมเล่นนะ แล้วจะกรุณาให้ผมไปดูของพวกนั้นได้ที่ไหนล่ะครับ”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊กอย่างขบขัน

“มันอยู่ที่ไหนก็ไปดูที่นั่นซีคะ ของอยู่ในบ้านฉัน ถ้าคุณไม่เข้าไปดูจะให้ฉันแบกเอาไปให้ที่อื่นเหรอคะ”

“โถ พูดอะไรยังงั้น ผมตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ถูกต่างหากครับที่จะได้มีโอกาสเข้าไปถึงบ้านของคุณพินทุวดี วงศ์ยโสธร”

สตรีสาวผู้เลอเสน่ห์หัวเราะอีก คราวนี้อย่างขบขันเจือเวทนา

“ถึงงั้นเชียว เอ้า ถึงบ้านแล้วละค่ะ ไม่ต้องใช้แตรหรอก ขับตรงเข้าไปเลย ประตูจะเปิดเอง”

สถาพรมองดูกำแพงใหญ่ทะมึนตรงหน้าอย่างแหยงๆ กำแพงคอนกรีตสีเทาเข้มนั้นสูงใหญ่เหยียดยาว ราวกับเป็นกำแพงเรือนจำมากกว่าจะเป็นกำแพงบ้านคน หากประตูเหล็กสีเดียวกันนั้นกลับสูงกว่ากำแพงขึ้นไปอีก เป็นประตูที่ทำจากแผ่นเหล็กหนาเรียบๆ ส่วนบนมีเหล็กดัดเป็นรูปเทพนมประดับ…ทุกครั้งที่เขามารับส่งพินทุวดี สถาพรมีสิทธิ์เพียงรออยู่แค่หน้าประตูสีเทานี้เท่านั้น ไม่มีโอกาสแม้แต่จะย่างเหยียบผ่านมันเข้าไปภายใน ทว่าบัดนี้ เพียงแค่หยุดรอนิดเดียวเท่านั้นบานประตูเหล็กหนาหนักทั้งสองบานก็เผยอออกจากกันอย่างช้าๆ และเงียบกริบโดยปราศจากตัวผู้เปิด

“ขับตรงเข้าไป”

เจ้าของบ้านสาวบอกด้วยเสียงต่ำลึกเหมือนออกคำสั่งจนชายหนุ่มรู้สึกสะดุดหู แต่เขาก็ทำตามโดยไม่ปริปากจากกระจกมองหลังเขาเห็นบานประตูใหญ่หนาหนักทั้งสองบานปิดเข้าหากันอย่างแช่มช้า โดยปราศจากตัวผู้ปิดเช่นเดิม

ถนนคอนกรีตนั้นทอดจากประตูผ่านกลางสนามหญ้าใหญ่ไปตามพุ่มไม้ใบหญ้าที่ตัดแต่งไว้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ทั่วบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ทุกหนทุกแห่งมืดและเงียบสงัด ไม่มีแสงไฟจากที่ใดๆ ชายหนุ่มสังเกตเห็นแต่เพียงต้นไม้ใหญ่น้อยที่ปลูกอย่างเป็นระเบียบในเนื้อที่อันกว้างขวางนั้นทะมึนอยู่ในความมืด กลิ่นหอมของดอกไม้ไทยๆ ที่เขาพอรู้จักเช่นกระดังงาและการเวกฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ

อ้อมพ้นพุ่มไม้ใหญ่ที่ตัดแต่งเป็นรูปหมู่สัตว์ต่างๆ ซึ่งมืดตะคุ่มเข้าไป แสงไฟก็เรืองรองอยู่เบื้องหน้า และคฤหาสน์หลังหนึ่งก็ปรากฏแก่ตาราวภาพฝัน

ลักษณะของมันควรเป็นวังมากกว่าบ้านธรรมดา ปลูกสร้างแบบกึ่งตะวันตก เพราะมีหอคอยสูงลิ่วและจั่วแหลมๆ หลายแห่งเกินความจำเป็น มีเฉลียงและมุขยื่นออกไปทุกทิศ มองดูด้วยสายตาในเวลาค่ำคืนเช่นนั้น สถาพรคิดว่าวังนั้นน่าจะประกอบด้วยห้องเกินสิบห้องขึ้นไป

“จอดตรงบันไดนั่นแหละค่ะ เอาละ เชิญลงมาได้แล้ว บ้านพินทุวดียินดีต้อนรับ”

เจ้าของบ้านผู้เลอเสน่ห์พูดพลางเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็วกระฉับกระเฉง สถาพรทำตาม เขาก้าวลงไปพลางแหงนดูตัวบ้านอย่างตื่นๆ ระคนชื่นชม

“โอ้โฮ บ้านคุณยังกับวังแน่ะครับ”

“หรือคะ” หญิงสาวพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย

“ที่จริงฉันก็เคยอยู่ในวังมาก่อนแล้ว วังใหญ่โตมโหฬารกว่านี้มากมายนัก หลังคายอดคาดด้วยทองคำตลอดเลยทีเดียว เอ้อ ฉันหมายถึงวังในบ้านเมืองที่จากมาน่ะค่ะ”

“จริงซีครับ ผมลืมไปว่าคุณเป็นเจ้าหญิงเขมร”

“เคยเป็นต่างหากค่ะ เดี๋ยวนี้ฉันเป็นราษฎรไทยเต็มขั้นเท่านั้น”

พินทุวดีพูดปนหัวเราะ พลางหันหลังเดินนำขึ้นบันไดหินอ่อนอันกว้างใหญ่นั้น โคมไฟที่หัวบันไดส่องให้เห็นความวิจิตรของลวดลายที่สลักไว้ตามราวบันไดหินอ่อนอันงามภูมิฐานอย่างสลัวราง

ชั้นบนสุดของบันไดหินอ่อนเป็นเฉลียงกว้างตั้งกระถางลายครามปลูกต้นไม้ดังแบบเก่าและต้นไม้ไทยเล็กๆ ที่ออกดอกหอมเย็น สถาพรนึกไปถึงบทกวีนิพนธ์เรื่องขุนช้างขุนแผนตอนขุนแผนบุกขึ้นเรือนขุนช้างเห็นดอกไม้ไทยๆ อย่างนี้ …รวยรสเกสรเมื่อค่อนคืน ชื่นชื่นลมชายสบายใจ บรรยากาศคงเป็นเช่นเวลานี้ไม่มีผิด นอกจากกระถางลายครามใบใหญ่แล้ว ยังมีตุ๊กตาหินอ่อนแบบตะวันตก และตุ๊กตาจีนซึ่งเป็นอับเฉาเรือเรียงรายสลับกับกระถางอย่างน่าชมยิ่ง

ถัดเฉลียงเข้าไปเป็นประตูโค้ง ๓ บานปิดสนิท หญิงสาวเจ้าของบ้านหยุดลงหน้าประตูขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง หันมายิ้มให้ชายหนุ่มก่อนที่จะผลักบานประตูเข้าไป

“บ้านฉันค่อนข้างเงียบหน่อยนะคะ สถาพร บนตึกนี้อยู่กันไม่กี่คน ดึกๆ อย่างนี้ฉันไม่อยากรบกวนคนใช้ให้ลุกขึ้นมารับใช้หรอกค่ะ”

หล่อนเดินเข้าไปในห้อง สถาพรก้าวตามไปติดๆ พินทุวดีปิดประตูตามหลังเขา พลางผายมือไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“เชิญนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวจะให้ดูของเก่า เชื่อว่าคงถูกใจคุณแน่ๆ ฉันเป็นนักสะสมของเก่าเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะศิลปะขอมสมัยพระเจ้ายโสวรมัน รับรองว่าไม่มีพิพิธภัณฑ์ไหนมีมากเท่าฉัน”

สถาพร ไพสิฐกุล เหลียวมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจในความงามโอ่อ่าที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า ห้องนั้นกว้างใหญ่และยาวจนน่าจะเรียกว่า ท้องพระโรงของวังเจ้านาย พื้นปูพรมนุ่มหนาสีแดงฉานเต็มตลอดทั้งห้อง ตามฝามีภาพเขียนแบบจิตรกรรมฝาผนังเต็มทุกด้าน ด้วยสีสันสดใสงดงามนัก บนเพดานเขียนรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์เหนือนาคราชกลางเกษียรสมุทร กึ่งกลางเพดานแขวนโคมไฟแก้วระย้างามวิจิตรขนาดมหึมาเปล่งแสงสว่างไสวไปทั่ว ชุดรับแขกไม้มะเกลือแบบเก่าฝังมุกแพรวพราย รับแสงไฟดูงามจับตา เสากลมที่ใช้ค้ำยันอยู่รอบห้องนั้นสลักลวดลายเครือเถาดอกไม้ใบไม้ด้วยฝีมืออันละเอียดประณีตจนดูอ่อนช้อยบอบบางน่าพิศวง ตามมุมห้องและข้างเสามีรูปศิลาสลักขนาดต่างๆ ตั้งประดับอยู่อย่างเหมาะสมกลมกลืน มุมในสุดมีม่านผืนใหญ่ขึงเต็มตลอดด้าน ปักลวดลายด้วยมือละเอียดยิบเป็นรูปป่าหิมพานต์เต็มทั่วทั้งผืน

“สถาพรรอหน่อยนะคะ ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวเดียว เชิญดูอะไรไปพลางๆ ก่อนก็ได้ คุณเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนเหลือเกินที่ฉันอนุญาตให้เข้ามาดูพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวที่นี่ได้”

เจ้าของบ้านบอกอย่างอ่อนหวาน พลางขยับตัวจะออกเดินไปจากห้อง…แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเหลือบเห็นม่านผืนใหญ่มุมห้องนั้นสั่นไหวเล็กน้อยและเผยออกจากกัน พร้อมกับร่างหนึ่งก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า

บุคคลผู้นั้นเป็นหญิงชรามากจนหลังคุ้มงอ ผมทรงดอกกระทุ่มขาวโพลนหมดทั้งศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยซับซ้อนจนหาเค้าเดิมไม่พบ อิริยาบถอันงกเงิ่นงุ่มง่ามบอกถึงวัยไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว เสื้อผ้าที่แต่งกายเก่าปอนยับยู่ยี่เหมือนผู้สวมไม่อินังขังขอบกับความเรียบร้อยใดๆ

พินทุวดีจ้องมองร่างนั้นเขม็งอย่างไม่พอใจ ตัวหญิงชราก็คงตะหนักดีถึงความรู้สึกนั้น กิริยาอันงกเงิ่นจึงเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นลนลานรีบเดินตรงไปยังประตูห้องด้วยท่าทางกลัวเกรงจนหงอ

“เข้ามาทำไมในนี้จ๊ะ แม่ ดึกดื่นค่อนคืนจนป่านนี้แล้ว”

หญิงสาวเจ้าของบ้านเอ่ยถามเรียบๆ แต่นัยน์ตาที่จ้องมองนั้นลุกวาวอย่างน่ากลัว หญิงชราหันมาตะแคงหน้ามองแต่ไม่ปริปาก รีบเดินออกประตูไปอย่างลนลาน

“เจ้าอุษาสวรรค์ แม่ของฉันเองแหละค่ะ สถาพร แก่มากแล้วแต่ยังชอบทำนั่นทำนี่อยู่เรื่อย ฉันอยากให้พักผ่อนอยู่เฉยๆ ก็ไม่ยอม”

“หรือครับ ตายละ ผมไม่ทราบว่าท่านเป็นคุณแม่ของคุณ ยังไม่ได้ทำความเคารพเลย”

“อุ๊ย แม่ฉันแก่จนหลงแล้วค่ะ พูดกับใครไม่รู้เรื่อง ท่านไม่สนใจใครหรอก…สถาพรรอเดี๋ยวนะคะ”

พินทุวดียิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานอีกครั้ง แล้วจึงเดินออกประตูไปอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มเหลียวไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง เขารู้มาก่อนแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ร่ำรวยมหาศาล แต่ก็เพียงรู้จากข่าวลือไม่มีใครรู้ความจริงแน่นอนสักคน ครั้นได้มาเห็นประจักษ์เข้าด้วยตาตนเองในคืนนี้ เขาจึงอดตื่นเต้นเสียมิได้ ลำพังห้องนี้เพียงห้องเดียวก็มีราคาเกินล้านเสียแล้ว ไหนจะตัวบ้านและที่ดินร่วม ๓๐ ไร่ อันเป็นอาณาบริเวณอีกเล่า มิหนำซ้ำเครื่องเพชรนิลจินดาที่หญิงสาวสวมประดับออกงานไม่เคยซ้ำชุดกันก็บ่งบอกถึงฐานะได้เป็นอย่างดี…สถาพรนึกพลางก็เกิดความท้อระทดขึ้นในใจอย่างประหลาดว่าตัวเขาคงกำลังจะตะเกียกตะกาย หมายเอื้อมเด็ดดอกฟ้าเสียเป็นแน่แท้แล้ว หากคำพูดเมื่อครู่ของหญิงสาวก็พอชโลมใจให้แช่มชื่นขึ้นได้บ้าง ในเมื่อได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งในจำนวนน้อยคนเหลือเกิน ที่พินทุวดีสนิทสนมด้วยจนถึงกับพามายังบ้านอันรโหฐานของหล่อน

สถาพร ไพสิฐกุล หันไปทางฝาผนัง และเริ่มพิจารณาดูภาพจิตรกรรมที่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น มันเป็นภาพตามลัทธิความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เป็นเรื่องรามายณะบ้าง รูปเทพเจ้าทั้งสามของพราหมณ์และการกวนน้ำอมฤตบ้าง แต่ละภาพวิจิตรบรรจงด้วยฝีมือจิตรกรชั้นเยี่ยมสีสันอันสดใสแสดงว่าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังพิจารณาแต่ละภาพอย่างสนใจ

จนกระทั่งมีเสียงกระแอมแหบๆ ดังขึ้นทางเบื้องหลังจึงหันขวับกลับมา!

 



Don`t copy text!