อมฤตาลัย ตอนที่ 2

อมฤตาลัย ตอนที่ 2

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้สัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ทุกคนนิ่งอึ้งไปเป็นคำรบสอง ร.ต.ท.ทัดเทพ จบประโยคนั้นลง สถาพรเม้มริมฝีปากในขณะที่เสาวภาพรรณหน้าเผือดลงอีก ไวฑูรย์เท่านั้นที่เป็นปกติเมื่อเอ่ยออกมา

“ผ่าวะ ผู้หญิงคนนี้ทำท่าจะเป็นยาดำแทรกอยู่ทุกเรื่องซีน่า อะไรๆ ก็พินทุวดี แม้แต่คนหายก็เกี่ยวข้องกับพินทุวดีอีก เอ็งรู้ไหมวะเทพ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแน่”

ทัดเทพยักไหล่อย่างไม่สนใจ

“เอ็งหรือไอ้พรน่าจะรู้ดีกว่าข้า ข้าไม่เคยรู้จักมักจี่เจ้าหล่อนเลย เห็นแต่รูปกับชื่อในหนังสือพิมพ์เท่านั้น”

“ข้ารู้แต่ว่าเจ้าหล่อนมีเชื้อสายเจ้าเขมร พวกเดียวกับเจ้าสีหนุละมั้ง เคยพบกันสองสามหน ไอ้พรมันแนะนำให้รู้จัก เป็นผู้หญิงที่สวยมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ”

ไวฑูรย์ชะงักคำพูดลงเมื่อข้อศอกของผู้หมวดหนุ่มกระทบสีข้าง เขาหุบปากแล้วชำเลืองมองเสาวภาพรรณอย่างเห็นใจ หล่อนรู้เต็มอกว่าสถาพรซึ่งเป็นชายคนรักได้ปันใจไปให้ผู้หญิงเชื้อสายเจ้าเขมรคนนั้นแล้วอย่างสิ้นเชิงดวงหน้าอันซีดเผือดนั้นจึงซีดลงอีก เหมือนได้รับความกระทบกระเทือนใจ ส่วนสถาพรนั่งพ่นควันบุหรี่อย่างเฉยเมย

ทั้งสี่คนรับประทานอาหารไปพลางคุยเรื่องสัพเพเหระ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไวฑูรย์จึงเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าว่าเรามาสับคู่กันดีกว่าว่ะ ไอ้พรไปส่งคุณภา ข้าไปกับไอ้เทพดีไหม ของเก่าที่เอ็งจะซื้อข้าจะดูให้วันหลังยังไม่รีบร้อนไม่ใช่หรือวะ”

“ก็ได้” สถาพรพูดสั้นๆ แล้วหันไปยิ้มให้หญิงสาว

“ภาไปกับผมดีกว่านะจ๊ะ อย่าไปกับไอ้เทพเลย มันรูปหล่อผมไม่ไว้ใจ กลัวมันหลอกภา”

“โช้ดโช้”

ไวฑูรย์ร้องลั่นพลางเอามือกดท้องหัวเราะ โดยไม่มีเสียงอย่างล้อเลียน

“ฟังมันไอ้เทพ ฟังไอ้มะกอกสามตะกร้ามันว่า ใครแน่วะที่จะหลอกคุณภา”

สถาพรหันมาถลึงตา พูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ใส่ไฟเข้าไปเถอะ ไอ้จางวางเพลิง คงไม่ได้แก่ตายกับเขาแน่ละคนอย่างเอ็งน่ะ…ไปก่อนนะโว้ย เทพ แล้วเจอกันใหม่ ไปกันเถอะจ้ะภา”

คนทั้งสองเดินเกี่ยวก้อยกันไปที่รถของสถาพร แล้ว ร.ต.ท.ทัดเทพก็หันมาทางเพื่อนเกลอผู้ยืนตาลอยอยู่

“เอ้า มองตามเขาตาละห้อยอยู่ได้ ท่าจะยังไงซะแล้วไอ้นี่ เอ็งจะไปไหนวะ”

“ไปมันเรื่อยๆ ยังงั้นแหละ ขี้เกียจกลับไปทำงานอีก เอ็งล่ะ”

“ข้ามีงานโว้ย งานรับใช้ประชาชนไม่ได้สบายอย่างพวกเอ็งนี่ จะได้โดดร่มไปไหนมาไหนได้คล่องๆ”

“เออ เอ็งเก่ง…งั้นส่งข้าหน้าโรงหนังแถวใกล้ๆ โรงพักเอ็งก็ได้ จะเข้าไปนั่งหลับในโรงซักงีบ”

ผู้หมวดหนุ่มสตาร์ตรถออกไปจากที่นั้นอย่างไม่รีบร้อน ไวฑูรย์เอนหลังพิงเบาะหลับตาอย่างสบาย แต่แล้วก็ต้องลืมขึ้นเมื่อได้ยินคำถามของสหาย

“ออกป่าคราวนี้ ได้พบซากเมืองโบราณอีกหรือเปล่าวะ”

“ไม่พบอะไรเลย ได้แต่ขุดแต่ของเก่าเท่านั้น แต่ข้าได้ของดีมาอย่างหนึ่งว่ะ พรานป่าให้มา เป็นของหายากอย่างที่สุด”

“อะไร”

“ว่านเว้ย นี่ไง”

ว่าแล้วก็ควักวัตถุอย่างหนึ่ง เป็นชิ้นยาวประมาณคืบ สีกระดำกระด่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อชูอวดเพื่อนเกลอ ทัดเทพชำเลืองดูแวบหนึ่งแล้วก็หัวเราะอย่างขันๆ

“อะไรวะน่ะ ยังกับขี้แมวแห้งเหม็นตายห่า”

ไวฑูรย์เก็บว่านเข้ากระเป๋าทันที

“ไอ้บ้า ไม่รู้จักของดี นี่แหละว่านครุฑพลละโว้ย กำลังของพญาครุฑเชียวนะ มีอานุภาพป้องกันอันตรายได้ ทุกอย่างรวมทั้งพวกผีปีศาจด้วย ถ้ามีภัยมาใกล้ตัว มันจะเตือนให้รู้ล่วงหน้าด้วยก็ได้”

“แล้วเอ็งเชื่อด้วยหรือวะ”

“ของพรรค์นี้ไม่เชื่อเสียเลยก็ไม่เหมาะโว้ย ในโลกนี้ยังมีสิ่งเร้นลับอีกมากนักที่เรามองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ เอ็งอย่าหัวเราะดีไปเลย ไอ้เทพ”

ไวฑูรย์ว่าแล้วก็เอนหลังพิงพนักกอดอก หลับตาลงอีก แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อข้อศอกของนายร้อยตำรวจหนุ่มกระทบเข้ากับสีข้างไม่เบานัก พร้อมกับตั้งคำถามใหม่

“เอ็งรู้จักคุณพินทุวดีหรือวะฑูรย์”

“ก็เคยพบสองสามหน ไอ้พรมันแนะนำ”

“เป็นคนยังไง”

“สวยมาก มีเสน่ห์ลึกลับ เอ็งถามทำไมวะ ชักสนใจเรอะ”

“อือ ก็ชักสนเหมือนกันแหละ แต่ไม่ใช่อย่างที่เอ็งเข้าใจหรอกวะ ข้าสงสัยว่าผู้ชายที่หายไปทุกคน ล้วนแต่เป็นคนที่เคยติดพันผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะรายสุดท้ายที่คุณภามาแจ้งความ มีคนเห็นนั่งรถไปกับคุณพินทุวดีก่อนหายสาบสูญไป ข้าอยากลองไปสอบถามเธอดู”

ไวฑูรย์ทำคอหด “ถ้าเห็นท่าทางคุณเธอเข้าแล้ว เอ็งจะสอบไม่ออก ไอ้เทพ ท่าทางยังกับเจ้าหญิง เออ จริงซีวะ เหมือนเจ้าหญิงจริงๆ ด้วย ดูเธอไม่เหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเราๆ หรอก เป็นไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกว่ะ”

“เอ็งแนะนำหน่อยซี มีทางไหมวะ”

ไวฑูรย์นิ่งคิดแล้วดีดนิ้วเปาะ

“คืนพรุ่งนี้ได้ยินไอ้พรมันนัดไว้ ว่าจะไปงานด้วยกัน ก็คงงานบอลล์การกุศลที่สวนลุมนั่นแหละ ตอนนี้มีอยู่งานเดียว เอ็งไปกะข้าไหมล่ะจะได้แนะนำให้รู้จัก”

“เออดี งั้นพรุ่งนี้ข้าไปรับเอ็งที่บ้านสองทุ่มนะ”

“โอเค แล้วยายอลิศราอะไรของเอ็งนั่นล่ะ ชวนไปด้วยหรือเปล่า”

ผู้หมวดหนุ่มเบ้ปากพร้อมกับโบกมือ

“ขอที เอ็งอย่าพูดให้แม่เจ้าประคุณรู้เป็นอันขาด แม่ตามติดแจแซะไม่ออกแน่ รำคาญตายโหง”

ไวฑูรย์อดหัวเราะไม่ได้

“คนรูปหล่อก็เป็นยังงี้แหละ ยิ่งวิ่งหนีสาวๆ ก็ยิ่งตาม ทั้งเอ็งทั้งไอ้พรมาตะเภาเดียวกันทั้งนั้นแหละวะ สู้ข้าไม่ได้ ไม่ต้องคอยตามใครและไม่มีใครคอยตาม สบายใจดีว่ะ”

“ก็เอ็งมัวตะบอยอยู่กับเศษอิฐเศษหินทั้งปีทั้งชาตินี่หว่า ใครเขาจะไปตามได้ อ้อ เอ็งชวนไอ้สิทธิ์ไปด้วยนะ”

“เออ ยอหอ อย่าห่วง ไอ้สิทธิ์มันไม่ใช่พวกฤๅษีอย่างเอ็ง รับรองว่ามันต้องไปแหงๆ”

 

งานราตรีสโมสรคืนนั้นค่อนข้างหรู เป็นงานการกุศลเก็บเงิน รายได้ช่วยเหลือคนพิการสารพัดอย่าง บุรุษสตรีชั้นนำของวงสังคมผู้ประสงค์จะแสดงเมตตาจิตไปร่วมงานอย่างคับคั่งหนาตา บุคคลติดโบกรรมการเดินขวักไขว่แทบชนกัน เสื้อผ้าและเครื่องเพชรนิลจินดาที่ขนมาแต่งเหมือนแฟชั่นกิตติมศักดิ์ บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮาและความสุขสำราญครบครัน

แสงสีไฟที่ตกแต่งไว้พร่างพราวรอบบริเวณงาน ทำให้ไวฑูรย์ถึงกับกะพริบตาถี่ๆ หลังจากยืนงงอยู่ชั่วครู่

“แม่โวย ออกมาจากป่าก็มางานบอลล์เลยยังงี้เชยพิลึกนิ เดี๋ยวเทพเอ็งมองหาไอ้สิทธิ์ไว้นะ ข้าตาลายหมดแล้ว นัดมันไว้สองทุ่มครึ่งมันว่าจะมาช้าหน่อย”

ร.ต.ท.ทัดเทพพยักหน้าอย่างไม่สู้ใส่ใจนัก พลางกวาดตาไปรอบๆ ร่างอันสูงเฉียดหกฟุตของเขาเด่นเป็นที่สังเกตของใครๆ ได้ถนัด ใบหน้าคร้ามคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันเกือบผิดลักษณะคนไทย ผมดกดำหยักศกน้อยๆ ช่วยเสริมดวงหน้านั้นให้น่าดูยิ่งขึ้น สตรีสาวกลุ่มใหญ่ในอาภรณ์หลากสีที่จับกลุ่มอยู่กลางห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียวแล้วหันกลับไปซุบซิบกันพลางหัวเราะคิกคัก

“ดูเทพบุตรกรีกนั่นซิ ใครรู้จักมั่ง”

“อ๋อ เขาว่าเป็นนายตำรวจมือเยี่ยม สดๆ ร้อนๆ มาจากสกอตแลนด์ยาร์ดไม่ใช่เรอะ”

“วู้ ทัดเทพ”

เสียงแหลมปรี๊ดดังขึ้นกลบเสียงซุบซิบทั้งมวล แล้วเจ้าของเสียงก็ถลาออกมาจากกลุ่มโดยเร็ว ร่างผอมบางในชุดผ้าไหมมัดหมี่ตัดแบบกระโปรงราตรียาว ไม่มีคอไม่มีแขนสีแสดจ้าลายสีตองสดนั้นสะดุดตาทุกคน เมื่อเจ้าของร่างซอยเท้าอย่างรวดเร็วตรงไปยังชายหนุ่ม ดวงหน้าที่ตกแต่งไว้เต็มที่แสดงความดีใจจนเห็นได้ชัด

“ทัดเทพมากับใครคะนี่ ทำไมไม่บอกอลิศซักคำ แหม ไม่อยากเชียวจะมาก็ไม่ชวน อลิศโกรธแล้วนะ”

เสียงแหลมๆ ไม่เบานัก ทำให้คนข้างเคียงหันมามอง กล่าวจบหญิงสาวก็คว้าแขนเขาหมับ พลางหันไปยิ้มให้ไวฑูรย์อย่างคนเจนสมาคมเป็นอันดี ทัดเทพฝืนยิ้มเอ่ยแนะนำอย่างไม่เต็มใจนัก

“ไวฑูรย์ นี่คุณอลิศรา ไอ้ฑูรย์เป็นเพื่อนสนิทของผมครับ…เอ็งคงรู้จักชื่อคุณอลิศรานางแบบชื่อดังจนคุ้นหูแล้วนะ ฑูรย์”

อลิศราก้มศีรษะให้อย่างเก๋ แล้วก็ทำหน้าเจื่อนเมื่อสหายของทัดเทพยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว หญิงสาวรีบทำความเคารพแบบเดียวกันพร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อน

“คุณไวฑูรย์มาจากสกอตแลนด์ยาร์ดเหมือนทัดเทพด้วยหรือคะ”

ชายหนุ่มนักโบราณคดียิ้มอย่างกว้างขวาง

“ก็ใกล้เคียงกันแหละครับ คือผมมาจากทุ่งใหญ่ยาร์ด ไม่ใช่สกอตแลนด์ยาร์ดหรอกครับ”

“วู้ย คุณไวฑูรย์นี่แหละมีอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ เอ้อ ทัดเทพคะยังไม่บอกอลิศเลยนะว่า ทำไมแอบมางานนี้เงียบๆ ทำไมไม่บอกซักคำคะ  อลิศไม่ยอมนะ ต้องจองตัวเต้นรำตลอดคืนแล้วไปส่งอลิศด้วย ทำโทษให้เข็ดฐานไม่ชวน
มางาน”

“โธ่ ผมไม่ได้ตั้งใจมาหรอกครับ อลิศรา เพียงแต่…ง่า”

ผู้หมวดหนุ่มหันไปทางเพื่อนเกลอ นัยน์ตามีแววขอลุแก่โทษขณะที่ปากพูดต่อหน้าต่อตาเฉย

“เจ้าฑูรย์มันเพิ่งกลับจากอีสานน่ะครับ ไปหมกตัวอยู่นั่นตั้งสองเดือน มันอยากมาเที่ยวงานเต็มแก่ผมก็เลยมาด้วย”

ไวฑูรย์ทำหน้าปุเลี่ยนๆ เมื่อหญิงสาวหันมาถามเสียงแหลม

“ไปทำไมคะอีสาน นอกจากผ้ามัดหมี่แล้วไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย สู้ทางเหนือก็ไม่ได้ มีที่เที่ยวมากกว่า”

“ผมไปทำงานน่ะครับ ไม่ใช่ไปเที่ยว”

“งานอะไรคะ เซลส์แมนละมัง”

“ไม่ใช่หรอก อลิศรา” ผู้หมวดหนุ่มตัดบทอย่างรำคาญเต็มแก่

“เจ้าฑูรย์มันเป็นนักโบราณคดี ต้องไปคุมการขุดแต่งโบราณสถานบ้างตามเรื่องตามราว…อลิศมากับใครล่ะครับ ผมเห็นกลุ่มเบ้อเร่อเลย เขามองมาหาอลิศกันใหญ่แล้ว”

นางแบบสาวทำปากยื่นเล็กน้อยอย่างที่ตัวคิดว่างาม

“พวกนั้นไม่ได้มองหาอลิศหรอกค่ะ มองทัดเทพมากกว่า ตะกี้ยังถามเลยว่าเทพบุตรกรีกคนนี้เป็นใคร พอรู้ว่าอลิศรู้จักทัดเทพก็พากันทึ่งใหญ่ เดี๋ยวไปรู้จักพวกนั้นหน่อยนะคะ แก๊งอลิศทั้งนั้น”

ทัดเทพถอนใจยาวอย่างอดรนทนไม่ได้ ไวฑูรย์เองก็ทำหน้าหวาดเสียว เมื่อเห็นสตรีกลุ่มใหญ่กลางห้อง ซึ่งแต่งหน้าแต่งตาเต็มที่จนมองเห็นได้ถนัดแต่ไกล พากันพยักพเยิดมาทางเขาเป็นตาเดียวและทำท่าจะเดินเข้ามาหา

บุรุษร่างอ้วนใหญ่กับสตรีร่างท้วมที่เดินผ่านมานั้น ดูเหมือนจะช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้พอดี ทัดเทพปราดเข้าไปหายกมือไหว้อย่างนอบน้อมจนแทบหันหลังให้อลิศรา ไวฑูรย์ก็พลอยยกมือไหว้ด้วยทั้งๆ ที่ไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อนเลย พลางผสมโรงยืนคุยหันข้างให้อลิศราอีกคน หญิงสาวเจ้าของร่างเพรียวชะลูดอย่างที่เรียกกันว่า ‘หุ่นนางแบบ’ ผู้นั้นจึงทำท่ากระฟัดกระเฟียดพึมพำขอตัวเบาๆ แล้วผละออกเดินสะบัดไปยังกลุ่มของตนทันที

“เชิญผู้กำกับตามสบายเถอะครับ”

ทัดเทพเอ่ยอย่างโล่งใจ เมื่อเห็นอลิศรากลับไปยังกลุ่มของหล่อนแล้ว

“แต่ปกติผมไม่ค่อยเห็นท่านมางานอย่างนี้เท่าไหร่”

บุรุษร่างใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วบุ้ยปากไปทางภรรยา

“โน่น แม่อีหนูเขาชวน เขาเป็นกรรมการอะไรด้วยก็ไม่รู้ ไอ้เราเลยต้องเป็นกรรมกรไปด้วย คือกรรมกรขับรถรับส่ง
ไงล่ะ”

ว่าแล้วท่านผู้กำกับฯ ก็ขอตัวเดินไปทักทายคนอื่นๆ ต่อไป ไวฑูรย์หันมายักคิ้ว

“เสร็จแน่ ไอ้เทพลูกพ่อ คุณนางแบบคนนั้นแกไม่ยอมปล่อยเอ็งง่ายๆ หรอกน่า ข้าคงต้องหง่าวอยู่คนเดียวทั้งคืนละซี่”

“เฮ้ย เดี๋ยวพบคุณพินทุวดีแล้ว ข้าก็จะกลับ”

“มันจะไม่ยังงั้นนะซี แม่คุณเล่นร้องหนูไม่ย้อมหนูไม่ยอมออกยังงั้น เอ็งเห็นจะรอดชีวิตไปได้ยากละวะ ไอ้เทพลูกรัก”

ไวฑูรย์ชะงักคำพูดลงเพียงนั้นเองเมื่อสรรพเสียงต่างๆ ใกล้ตัวดูเหมือนจะเงียบลงในฉับพลัน สายตาของใครต่อใครที่อยู่รอบข้างพุ่งไปจับตรงประตูทางเข้าเป็นตาเดียว ไวฑูรย์จึงหันไปบ้าง แล้วก็มีอันตาค้างอยู่อย่างนั้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ร่างที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงทางเข้า ดูราวกับเดินออกมาจากรูปภาพเขียนของจิตรกรฝีมือเยี่ยมกระนั้น…

“พินทุวดี!”

เสียงผู้ชายคนหนึ่งข้างๆ ทัดเทพพึมพำออกมาอย่างเผลอไผล ในขณะที่นัยน์ตาจับอยู่ที่ร่างแทบไม่กะพริบ

สูงโปร่งระหงและอรชรอ้อนแอ้น ราวกับนางในฝันของจินตกวีคือรูปลักษณะของสตรีนางนั้น เรือนร่างอันเต็มไปด้วยสง่าราศี งามราวรูปปั้นหากที่งามยิ่งไปกว่าเรือนร่างก็คือดวงหน้าอันเฉิดฉันอย่างประหลาด!…ดวงหน้าลักษณะค่อนข้างสี่เหลี่ยมแปลกตาที่ผุดผ่อง ประกอบด้วยคิ้วเรียวโค้ง ขนตาดกยาวงอนช้อยเป็นแผงล้อมรอบดวงตาใหญ่ดำสนิทและมีแววลึกล้ำเหมือนห้วงน้ำที่ไม่มีใครหยั่งถึง จมูกโด่งเป็นสันเชิดปลายเล็กน้อยรับกับริมฝีปากหยักโค้งรูปกระจับ ที่เต็มอิ่มเหมือนกลีบสวยที่สุดของดอกกุหลาบ คางมนงามและแก้มอิ่มเอิบ…ที่สะดุดตาที่สุดก็คือ ทรงผมดำสนิทเป็นมันขลับซึ่งตลบมุ่นเกล้าเป็นกระโจมอยู่กลางศีรษะ แล้วแบ่งออกเป็นปอยเล็กปอยน้อย ขมวดแต่งเป็นช่อชั้นอย่างวิจิตรแปลกตา ประดับด้วยศิราภรณ์เล็กน้อยๆ คล้ายเกี้ยวทองฝังอัญมณีหลากสีแพรวพราว…รองลงมาก็คืออาภรณ์ชุดราตรีสีเขียวปีกแมลงทับเป็นมันเลื่อม ยกดอกสีทับทิมสลับทองชุดนั้น ซึ่งดูนุ่มแนบเนื้อจนมองเห็นรูปทรงงามสล้างได้ถนัด เสื้อชุดนั้นตัดแบบไม่มีคอไม่มีแขนตามสมัยนิยม เผยให้เห็นช่วงไหล่ละมุนกลมกลึงขาวผ่อง หากตั้งแต่ช่วงลำคอระหงลงไปถึงยอดทรวงอวบสะพรั่ง ปกปิดประดับด้วยสร้อยคอระย้าขนาดใหญ่แบบแปลก ประดับมรกตและทับทิมเม็ดเขื่องทอประกายวูบวับจับตา ที่ต้นแขนและข้อมือประดับอัญมณีสูงค่าแบบเดียวกัน…แต่แสงวูบวับทั้งหมดของเพชรพลอยที่ประดับก็ยังดูหม่นมัวลงเมื่อเทียบกับประกายพราวระยับในดวงตาทั้งคู่ที่เหลือบแลไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว และสังเกตเห็นอาการทึ่งจัดชนิดอ้าปากค้างของบุรุษแทบทุกคน ที่อยู่ในแวดวงสายตา

เคียงข้างร่างอันงามพิลาสนั้น คือชายหนุ่มหน้าคมสัน ซึ่งความปลาบปลื้มภูมิใจและลำพองที่ได้เคียงคู่มากับคนงามชนิดเป็นเป้าสายตาทุกคน ฉายชัดอยู่บนใบหน้าและแววตา สถาพร ไพสิฐกุล นั่นเอง เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นอีกเมื่อร่างงามขยับเยื้องกรายอย่างเป็นสง่า ทักทายคนรู้จักรอบข้าง

“นี่ไง เจ้าพินทุวดีที่เขาว่าเป็นเจ้าหญิงลี้ภัยมาจากเขมร”

สุภาพสตรีร่างท้วมผู้หนึ่งที่ยืนใกล้ทัดเทพเอาพัดสเปนราคาแพงป้องปากกระซิบกับสหายรูปทรงเหมือนตุ่มสามโคกประดับเครื่องเพชรพราวเต็มตัวที่ยืนชะเง้ออยู่ข้างๆ

“อ๋อ ที่ว่ามีมรดกมหาศาลนั่นน่ะหรือ แหม ทำผมประหลาดจัง”

“คนนี้แหละจ้ะ เวลาไปงานชอบแต่งตัวประหลาดๆ เขาเด่นยังงี้เสมอแหละ เขาว่าเป็นแม่ม่ายด้วยนะ สมบัติทั้งของตัวของผัวรวมกันกินทั้งชาติก็ไม่หมด”

“ยังงี้ใครได้ไปก็เป็นบุญซีนะ”

“ฮื้อ แม่เค็มยังกะอะไร ผู้ชายตามไม่ทันหรอก เห็นท่าทางปึ่งอย่างงั้นก็เถอะ ลื่นยังกะแม่ปลาไหลเชียว”

เสียงกระซิบในทำนองนั้นดังอยู่ตลอดเวลาเต็มสองหูทัดเทพ จนเกิดความรำคาญถึงต้องถอยออกไปห่างๆ จนกระทั่งเจ้าของร่างที่ตกเป็นเป้าแห่งการซุบซิบมาเยื้องกรายอย่างสง่างามอยู่ตรงหน้า สตรีร่างท้วมนั้นจึงยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงบอกความชื่นชมยินดียิ่ง

“อุ๊ย คุณพินทุวดีก็มา แหมวันนี้สวยสุดใจเชียวค่ะ โต๊ะอยู่ทางไหนคะ ขาดเหลืออะไรก็บอกนะค้า อิฉันเป็นกรรมการฝ่ายสถานที่ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

เสียงหวานกังวานกล่าวตอบเบาพลิ้ว นัยน์ตาดำงามจับที่หน้าผู้พูดเป็นประกายระยับคล้ายขบขันในใจ

“ถึงดิฉันไม่เห็นโบก็ทราบว่าคุณหญิงต้องเป็นกรรมการแน่ งานกุศลอย่างนี้คุณหญิงไม่เคยขาดไม่ใช่หรือคะ ใจบุญน่าสรรเสริญจริงๆ”

ผู้ถูกชมชะงักอย่างไม่แน่ใจว่า คำกล่าวนั้นเป็นคำชมหรือแดกดันกันแน่ หากแต่รอยยิ้มและกระแสเสียงอันไพเราะพริ้งเพรานั้นดูอ่อนหวานนัก จนคุณหญิงต้องปัดความระแวงออกไปโดยเร็ว

“วู้ย ค้า ถ้าไม่ใช่การกุศลก็ไม่ทำหรอกค้าเหนื่อยออกจะตาย เอ้อ วันนี้คุณพินทุวดีสวยเป็นพิเศษจริงๆ นะคะ สวยเหมือนรูปนางอัปสรที่นครวัดยังไงยังงั้น”

ประโยคนั้นคุณหญิงตั้งใจจะใช้เป็นคำชมเชยแต่เพียงอย่างเดียวเพราะเชื่อว่าตนรู้ถึงเชื้อชาติและที่มาของหญิงสาว หากดวงตาของผู้รับฟังเป็นประกายวาววับขึ้นทันที แววขบขันหายไปจนหมด น้ำเสียงที่กล่าวตอบเรียบและเยือกเย็นเน้นเล็กน้อยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ถ้าคุณหญิงหมายถึงทรงผมของดิฉันละก็ ไม่เหมือนนางอัปสรดอกค่ะ แต่ถ้าเป็นเครื่องประดับละก็ใช่ คุณหญิงนับว่าโชคดีนะคะที่ได้เห็นนางอัปสร ‘เกือบจะ’ ตัวจริง…ดิฉันหมายความว่าเครื่องประดับนี้น่ะค่ะ เป็นของเจ้าหญิงในราชวงศ์ขอมโบราณซึ่งเชื่อกันว่า สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าโดยตรงทีเดียว”

“อุ๊ย ถ้างั้นคุณก็เป็นเชื้อสายเจ้าทางเขมรจริงน่ะซีคะ”

สตรีเจ้าของร่างตุ่มสามโคกชะโงกหน้าเข้ามาถามเสียงแหลมอย่างลืมตัว

อาการก้มศีรษะเป็นเชิงรับคำนั้นดูสง่างามนัก หากรอยยิ้มน้อยๆ ที่แผ่ซ่านบนริมฝีปากงามละไม ดูจะมีแววประหลาดที่ทุกคนมองข้ามไปเสียเพราะมัวสนใจความจริงที่ได้รับทราบอยู่ขณะนั้น

สุภาพบุรุษร่างอ้วนที่มากับคุณหญิงร่างท้วม กรรมการฝ่ายจัดสถานที่ก้าวเข้ามาสมทบด้วยอย่างสนใจ

“ผมเคยทำงานสถานทูตที่พนมเปญอยู่หลายปี เชื่อว่าคงได้รับเกียรติรู้จักกับราชวงศ์ของคุณพินทุวดีบ้าง เอ้อ แต่ว่า ผมควรใช้สรรพนามอย่างไรกับเชื้อพระวงศ์อย่างคุณจึงจะเหมาะสมครับ”

เสียงหัวเราะหวานใสเหมือนระฆังเงินดังขึ้นเบาๆ ก่อนตอบอย่างนิ่มนวล

“ไม่ต้องลำบากถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ เดี๋ยวนี้ดิฉันเป็นเพียงคนสามัญคนหนึ่งเท่านั้น เชื้อสายราชวงศ์ของดิฉันสิ้นสุดไปนานแล้วค่ะ เท่ากับว่าดิฉันเป็นคนสุดท้ายคนเดียวของราชวงศ์ เอ้อ ดิฉันหมายถึงวงศ์ตระกูลน่ะค่ะ คนสุดท้ายจริงๆ ของวงศ์ยโสธร”

“นั่นซีคะ” คุณหญิงร่างตุ่มสามโคกเอ่ยขึ้นทันที ราวกับกลัวใครแย่งพูด

“ตอนแรกอิฉันคิดว่าคุณเป็นคนทางอีสานเสียอีก เห็นนามสกุลชวนให้คิดอย่างนั้นค่ะ”

อาการยิ้มเยือกเย็นอย่างประหลาดที่ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าทำให้ผู้ที่ลอบสังเกตอยู่ห่างๆ รู้สึกแปลกใจ

“ที่จริงก็ถูกค่ะ ที่นั่นเป็นถิ่นเดิมของดิฉัน เคยอยู่แถวๆ นั้นนานมาแล้ว นานมาก”

เสียงหวานใสขาดหายไปพร้อมกับเจ้าของเสียงมีอาการชะงักเล็กน้อยเมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงสง่าที่ก้าวออกมาจากแถวหลัง ร่างงามนั้นผงะไปข้างหลังนิดหนึ่ง ประกายบางอย่างจุดวาบขึ้นในดวงตาอันเคยลึกซึ้งนิ่งสนิทนั้นจนเห็นได้ชัด มันมีแววกึ่งตกใจประหลาดใจและตื่นเต้นยินดีปลื้มปราโมทย์อย่างประมาณไม่ได้ ดวงหน้าแดงระเรื่อขึ้นในทันทีริมฝีปากงามละไมสั่นระริกเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมาแล้วกลับอ้ำอึ้งนิ่งงันอยู่

ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี ก้าวออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอันคมสัน บุรุษหนุ่มที่ยืนเคียงข้างพินทุวดี วงศ์ยโสธร อย่างภาคภูมิใจจึงเบิกตากว้าง อุทานออกมาเบาๆ พลางขยับเข้ามาหา

“ไอ้เทพ มากะเขาด้วยเรอะ อ้าว นั่นไอ้ฑูรย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

ไวฑูรย์ยักคิ้วให้ “มาเมื่อเอ็งเห็นนี่แหละ! สวัสดีครับคุณพินทุวดี วันนี้ผมนึกว่าได้เห็นเทพธิดาตัวจริงเสียอีก”

หญิงสาวละสายตาจากทัดเทพมายังนักโบราณคดีหนุ่ม ด้วยสีหน้ายังไม่คลายจากอาการงงงัน

“หรือคะ”

น้ำเสียงที่ถามเลื่อนลอย พร้อมกันนั้นดวงตาใหญ่งามมีแววประหลาดวูบวับเหมือนดาวเหนือก็ตวัดไปยังร้อยตำรวจโทหนุ่มอีก

“เทพ นี่คุณพินทุวดี วงศ์ยโสธร ที่คนหูหนวกก็รู้จักชื่อเสียง เจ้าเทพเพื่อนผมคนนี้มันเป็นโปลิศครับ คุณพินทุวดี ตอนนี้เป็นร้อยตำรวจโททัดเทพ พิษณุเศรณี ไปพลางๆ ก่อน แต่มีหวังจะได้เป็นอธิบดีตำรวจในอีกราวสี่สิบปีข้างหน้าถ้ายังไม่แก่ตายเสียก่อน”

ไวฑูรย์แนะนำอย่างมีอารมณ์ครึกครื้น

หญิงสาวก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยท่าทีงดงาม นัยน์ตาดำขลับจับอยู่ที่ดวงหน้าชายหนุ่มแทบไม่กะพริบในขณะที่เอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงต่ำลึก

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งค่ะ”

ดวงตาของนายตำรวจหนุ่มมีแววฉงนเล็กน้อยต่อคำทักทายนั้น แต่ก็กล่าวอย่างปกติว่า

“ผมรู้จักคุณพินทุวดีมานานแล้ว แต่เป็นการแอบรู้จักชื่อข้างเดียวนะครับ วันนี้โชคดีที่ไม่ต้องแอบอีกต่อไป”

หญิงสาวยิ้มพราย ยังไม่ทันตอบว่ากระไร สถาพรซึ่งยืนฟังอยู่อย่างอึดอัดก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ผมว่าเราไปนั่งที่โต๊ะกันก่อนดีไหมครับ คุณพินทุวดียืนมานานแล้ว จะเมื่อยเสียก่อนเปิดฟลอร์…โต๊ะเอ็งอยู่ทางไหนวะ เทพ”

“ไม่มีโต๊ะนั่งหรอก ข้าซื้อบัตรเฉพาะสองคนนี่เท่านั้น”

สถาพรมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย “นึกไงถึงได้มาเที่ยววะ เมื่อก่อนเห็นเอ็งแอนตี้งานพวกนี้จะตายไม่ใช่เรอะ”

ไวฑูรย์ชิงตอบเสียก่อนอย่างว่องไว ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ไอ้เทพมันไม่อยากมาร้อก ข้าชวนมาเอง ไปกินนอนอยู่ในป่าร่วมสองเดือน กลัวขาจะฝืด เดี๋ยวเต้นรำไม่คล่อง”

พินทุวดีเหลือบมองชายหนุ่มคู่ควงนิดหนึ่งแล้วหันมาทางนักโบราณคดี

“คุณทัดเทพกับคุณฑูรย์ไม่มีโต๊ะนั่งก็จะเป็นไรไปคะ มานั่งกับเราก็ได้นะคะ สถาพร ฉันจองโต๊ะริมฟลอร์ไว้ทั้งโต๊ะ มีคนนั่งด้วยสามสี่คนเท่านั้น เชิญซีคะ”

ร.ต.ท.ทัดเทพสบตากับไวฑูรย์ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ

“ผมว่าจะเป็นการรบกวนกระมังครับ ประเดี๋ยวจะมีคนมาร่วมวงด้วยอีก”

“ก็จะเป็นไรไปคะ”

“เอ็งชวนใครมาด้วยวะ” สถาพรถาม สีหน้าชักจะเคร่งขึ้น

“ไอ้สิทธิ์ไงเล่า มันว่าจะมาดึกหน่อย อ้อ เฮ้ย มันมาโน่นพอดี”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวคล้ำในชุดสากลสีเข้มคนนั้น มองซ้ายมองขวาเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าจุดสนใจของงานอยู่ที่ใด ร่างระหงได้ส่วนสัดในชุดสีเขียวปีกแมลงทับยกดอกสีทับทิม และทรงผมเกล้าเป็นช่อชั้นสะดุดตาของพินทุวดีย่อมเป็นเป้าที่ดึงดูดสายตาได้ดีเหมือนแม่เหล็กแท่งมหึมา ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ ปราดเข้ามาในทันที

“สวัสดีครับ คุณพินทุวดี คืนนี้สวยจนผมแทบลืมหายใจแน่ะครับ…ว่าไงเว้ยไอ้เสือ มากันครบทีมเชียวนะ”

ประโยคหลังเขาหันมาทักเพื่อนเกลอทั้งสามอย่างร่าเริง ไวฑูรย์เอ่ยขึ้นทันที

“คุณพินทุวดีกำลังชวนพวกเราไปนั่นโต๊ะเธออยู่พอดีว่ะ”

ศุภสิทธิ์เลิกคิ้ว หันไปมองหญิงสาวตรงๆ อย่างสงสัย

“โอ๊ะโอ๋ พวกผมได้รับเกียรติถึงเพียงนี้เชียวหรือครับ ยังกะฝันไป ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ โต๊ะคุณอยู่ทางไหนครับ”

“ติดฟลอร์ค่ะ มาซิคะ…คุณทัดเทพ”

กระแสเสียงที่ออกนามชายหนุ่มผู้นั้นอ่อนหวานนัก เน้นเล็กน้อยอย่างจงใจมิให้ปฏิเสธ ดวงตาวาววับที่มองจับอยู่ที่เขามีทั้งแววชื่นชมยินดี ยกย่องและตัดพ้อต่อว่าระคนกัน ไวฑูรย์ชำเลืองดูหน้านายตำรวจหนุ่มในขณะที่สถาพรหน้าเคร่งขึ้นทุกที ทัดเทพก้มศีรษะรับคำเชิญอย่างสุภาพ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อแววหวานในดวงตาหญิงสาวและแววขมึงทึงของเพื่อนเกลอ ผู้เป็นคู่ควงของหล่อน…หญิงสาวผู้เลอโฉมถอนใจน้อยๆ พร้อมกับยิ้มพรายบนริมฝีปากที่ไม่มีใครอ่านออก ก่อนที่จะออกก้าวเดินนำหน้าตรงไปยังโต๊ะติดฟลอร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้น 

 



Don`t copy text!