อมฤตาลัย ตอนที่ 24

อมฤตาลัย ตอนที่ 24

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

Loading

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกัน ร.ต.ท.ทัดเทพเอ่ยขึ้นว่า

“คนที่ผมแนะนำให้คุณรู้จักเมื่อกี้เป็นแฟนของสถาพรครับ คุณบัวรู้จักไหม สถาพร ไพสิฐกุล หนึ่งในบรรดาคนที่มารุมตอมเจ้านายคุณน่ะ”

สโรชินีขมวดคิ้ว ทำท่านึก “สถาพร เอ…รู้สึกว่าคุ้นๆ หู แต่บัวนึกไม่ออกหรอกค่ะ ว่าเคยได้ยินที่ไหน”

“เขาไม่เคยเข้าบ้านคุณบัวเลยหรือครับ”

“บัวไม่แน่ใจค่ะ รู้สึกว่าเคยได้ยินชื่อ สถาพร ไพสิฐกุล…อ๋อ แต่เอ๊ะ?”

หญิงสาวอุทานเสียงแหลมเมื่อนึกขึ้นได้ ดวงหน้างามที่เหลียวมาทางทัดเทพบอกความแปลกใจเป็นล้นพ้น

“นึกออกแล้วค่ะ คุณทัดเทพ แต่แปลกเหลือเกิน บัวได้ยินชื่อนี้ในฝันน่ะค่ะ”

“ในฝัน” นายตำรวจหนุ่มทวนคำอย่างแปลกใจพอๆ กัน

“ค่ะ บัวจำได้ มีผู้ชายไปบ้านคุณพินทุวดีในคืนหนึ่ง ต่อมาบัวก็ฝันเห็นเขาค่ะ ว่าเขาอยู่ในบ้านนั่นแหละ แต่คราวนี้ท่าทางเดินเหินของเขาผิดปกติไป แล้วในฝันนั้นก็มีเสียงเรียกชื่อสถาพร ร่างนั้นก็เดินตรงเข้าไปหา บัวฝันซ้ำๆ อย่างนี้จนจำได้ค่ะ”

“อืม แปลกมาก คนที่คุณฝันหน้าตาท่าทางเป็นยังไงครับ”

“เป็นคนรูปร่างสูงค่ะ ผิวพรรณซีดมาก ซีดจนเกือบเขียวทีเดียว ท่าทางเหมือนอะไรดีนะ เหมือน…เอ้อ…เหมือนผีดิบน่ะค่ะ บัวเห็นแล้วกลัวจังเลย”

“อืม” นายตำรวจครางอีกเป็นครั้งที่สอง สีหน้าแสดงความสนใจยิ่งยวด ถามต่อไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“คืนที่คุณเห็นเขานั้นเป็นวันที่เท่าไร พอนึกออกไหมครับ”

“อุ๊ย จำไม่ได้หรอกค่ะ รู้สึกว่าจะเป็นเวลาเกือบสองเดือนมาแล้วนี่เอง นึกออกแต่เพียงว่า คืนนั้นบัวเข้านอนแต่หัวค่ำ พอตกดึก เจ้าอุษาไปปลุกว่าคุณผู้หญิงต้องการพบ ซึ่งเป็นกรณีที่แปลกมาก คุณผู้หญิงไม่เคยเรียกใช้บัวเวลากลางคืนเลยตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา บัวนึกว่าเป็นเรื่องสำคัญก็รีบไปที่ห้องท้องพระโรง พบคุณอยู่กับผู้ชายคนนั้นพอดี คุณผู้หญิงทำท่าโกรธใหญ่ที่เห็นบัวเข้าไปขัดจังหวะและบอกว่าเจ้าอุษาหลอกบัว”

“เค้าหน้าเขาเป็นยังไงครับ ผู้ชายคนนั้นน่ะ หน้ากลม ยาว หรือรูปไข่ คุณบัวพอจะบอกลักษณะกว้างๆ ได้ไหมครับ”

สโรชินีนิ่งอึ้งไปอย่างครุ่นคิดสักครู่ก็สั่นศีรษะ

“บัวไม่ได้สังเกตละเอียดนักหรอกค่ะ ส่วนในฝันก็เห็นห่างๆ ไม่เห็นหน้าชัดเจน รู้แต่ว่าหน้าตาดี คิ้วดกๆ แต่สีหน้าซีดเหลือเกินเหมือนแผ่นกระดาษไม่มีผิด ยังกะหน้าคนตายงั้นแหละค่ะ อ้อ ตรงคอมีรอยปาดด้วย ตอนนี้แหละค่ะที่ทำให้บัวกลัวจนต้องวิ่งหนี”

“คุณบัวฝันเห็นเขาบ่อยไหมครับ”

“ก็สองสามหนค่ะ บัวฝันว่าเดินตามเจ้าอุษาสวรรค์ไปที่ไหนสักแห่ง ลักษณะเหมือนวิหารใหญ่ เห็นผู้ชายคนนี้ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ แล้วมีเสียงเรียกมาจากเงามืด ผู้ชายคนนี้ก็เดินเข้าไปหา…อีกหนหนึ่งเห็นที่สนามหน้าบ้านค่ะ เขากำลังรดน้ำทำสวน แล้วมีเสียงคุณผู้หญิงเรียก เขาก็เดินเข้าไปหาตัวแข็งๆ…ก็เท่านั้นเองที่ฝัน นอกนั้นไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บัวจำไม่ได้ค่ะ”

ร.ต.ท.ทัดเทพนิ่งฟังเสียงใสๆ นั้นอย่างครุ่นคิด จนกระทั่งมาถึงประตูหน้าบ้านของพินทุวดี

“ส่งบัวตรงหน้าประตูนี่แหละค่ะ บัวเข้าไปได้”

“คุณบัวต้องเดินไกลนะครับ ผมเอารถเข้าไปส่งข้างในดีกว่า”

หญิงสาวหันมายิ้มอายๆ “บัวมีทางเข้าลับเฉพาะค่ะ อยู่ตรงด้านโน้น มุดเข้าไปแล้วรับรองไม่มีใครเห็น ไปทะลุเรือนครัวด้านหลังได้เลย”

“ไหนครับ ทางลับเฉพาะของคุณบัว ผมขอไปส่งที่นั่นก็แล้วกัน” นายตำรวจพูดอย่างนึกสนุกไปด้วย

สโรชินีหัวเราะ ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังเล่นซ่อนหาสนุกสนาน หล่อนพาเขาเดินลัดเลาะไปทางด้านหลังของกำแพงใหญ่ ซึ่งอยู่ติดกับสวนรกร้างซึ่งเจ้าของทิ้งว่างไว้เฉยๆ บริเวณนั้นมีเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่งขึ้นพันกำแพงรกทึบจนไม่มีทางเข้าถึงกำแพงได้ สโรชินีเดินอ้อมไปทางด้านซึ่งรกน้อยกว่าเพื่อน ยื่นมือออกไปแหวกเถาวัลย์รูปร่างประหลาดที่ปกคลุมกำแพงนั้นออก มันก็พะเยิบขึ้นอย่างง่ายดาย มองเห็นรอยทะลุกำแพงนั้นเป็นช่องพอที่ตัวคนจะก้มลอดเข้าไปได้

“โธ่ คุณบัวเล่นเป็นเด็กไปได้ ลอดเข้าลอดออกลำบากจะตาย ทำไมไม่เข้าประตูใหญ่ล่ะครับ”

“คุณทัดเทพยังไม่รู้อะไร ช่องนี้แหละค่ะ บัวเคยลอดออกไปซื้อขนมบ่อยๆ ข้ามสวนนี้ไปเป็นท้องร่องแล้วก็ออกถนนใหญ่ เวลาที่บัวเบื่อมากๆ เข้าก็แอบมุดรั้วไปซื้อขนมที่ร้านมุมถนนโน้นค่ะ”

“ต้องลุยข้ามท้องร่องด้วยหรือครับ” ชายหนุ่มถาม มองไปรอบๆ อย่างดูลาดเลา

“อุ๊ย ทำยังงั้นก็เปียกแย่ มีต้นไม้ทอดข้ามท้องร่องค่ะ บัวแอบหนีออกไปสนุกจะตาย แต่บ่อยนักไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณผู้หญิงรู้เข้าคงเล่นงานตาย”

“คุณพินทุวดีไม่รู้หรือครับว่าบ้านเธอมีรูโหว่ ถ้าขโมยมันรู้เบาะแสเข้าละก็เปรมไปเลย”

“โธ่ ขโมยที่ไหนจะรู้คะ แนบเนียนออกอย่างนี้ ถึงตาของตำรวจอย่างคุณทัดเทพก็เถอะ ถ้าบัวไม่เลิกซุ้มเถาวัลย์นี้ขึ้น จ้างให้คุณก็ไม่ทราบว่ามีโพรงอยู่ในกำแพง”

“คุณบัวจะเข้าไปได้ยังไง”

“ก้อลอดเข้าไปซิคะ เดิมโพรงมันไม่ใหญ่อย่างนี้หรอกค่ะ โตแค่ครึ่งหนึ่งของที่เห็นอยู่นี่เท่านั้น หมามันลอดเข้าออกบ่อยๆ จนบัวสังเกตเห็นก็เลย ง่า…เลยแอบขยายให้โตขึ้นพอดีตัว แล้วเอาซุ้มไม้มาพรางไว้อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”

“ถ้าฝนตก หรือเกิดมีอะไรมาทำให้เถาวัลย์ตรงนี้หลุดออกไปล่ะครับ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณก็เห็นว่าเถาวัลย์มันปกคลุมหนาทึบไปหมด แต่บัวมีวิธีแหวกมันเข้าไปได้ง่ายๆ คุณคงไม่เคยเห็นเถาวัลย์แบบนี้มาก่อนเป็นแน่ ที่อยู่เดิมของมันอยู่ในเขมรค่ะ เมืองไทยไม่มีหรอกพ่อเอาพันธุ์มาจากเขมร บัวเลยแอบเอามาปลูกตรงนี้ด้วย คุณสมบัติของมันก็คือยืดหยุ่นได้ค่ะ ถ้าเอามือแหวกออกมันจะเปิดออกได้ง่าย พอหยุดแหวกมันจะปิดเข้าหากันเองดังเดิม คล้ายเถาไมยราบนั่นแหละค่ะ ส่วนมากมักใช้ปลูกเพื่ออำพรางสิ่งที่ต้องการซ่อนไว้ข้างใต้”

“โอ้โฮ คุณบัวนี่มีของเล่นแปลกๆ ดีจริง”

“อะไรกันคะ บัวไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตัวเองสักอย่าง ทุกอย่างเป็นของบ้านนี้ และเป็นของคุณผู้หญิงทั้งนั้น บัวมีแต่ตัวเท่านั้น เอ้อ บัวลาละนะคะ ขืนชักช้าถ้าคุณผู้หญิงมีธุระจะใช้ก็แย่เลย”

“เดี๋ยวครับ ถ้าคุณบัวตัดสินใจยังไงเรื่องรักษาตัวละก็ โทรบอกผมด้วยนะครับ เก็บนามบัตรของผมนี่ไว้ แล้วถ้ามีอะไรก็เรียกได้ทุกเวลา”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวพนมมือไหว้เขาอย่างแช่มช้อย ทัดเทพอยากจะรวบมือนั้นมากำไว้ให้สมใจอยาก แต่อย่างมากที่ทำได้ก็คือรับไหว้หล่อน พร้อมกับส่งสายตาดื่มด่ำปานจะกลืน สโรชินีเดาความหมายของสายตาคู่นั้นออก สีหน้าหล่อนแดงระเรื่อขึ้นทันที หันหลังกลับแหวกซุ้มเถาวัลย์ออกก้มมุดเข้าไปในช่องกำแพง แล้วเถาวัลย์หนาทึบนั้นก็ขยับตัวเองปิดลงดังเดิม ราวกับไม่เคยมีอะไรมาแผ้วพานมันเลย…

ทัดเทพขับรถกลับบ้านด้วยความสุขสดชื่นเป็นพิเศษ เขาผิวปากอย่างครึกครื้นตั้งแต่รถแล่นเข้าไปจอดอยู่หน้าตึก แต่แล้วเสียงผิวปากก็หยุดลงทันที เมื่อเห็นร่างใครคนหนึ่งโผล่ออกจากตึกอย่างร้อนรนด้วยอาการแทบจะถลาลงบันไดมา

“อ้าว ไอ้ฑูรย์ มาแต่วันเชียววะ”

ผู้หมวดร้องทัก พร้อมกับพาตัวกระโดดลงจากรถอย่างว่องไว สีหน้าของชายหนุ่มนักโบราณคดีบอกให้รู้ว่า เขากำลังมีเรื่องร้อนใจอย่างหนัก

“เอ็งไปไหนมาวะ เทพ”

“ไปเที่ยวซีเว้ย เอ็งล่ะมีอะไรหรือ หน้าตาเหมือนเป็นบานทะโรค”

ว่าพลางเขาก็เอาแขนคล้องคอเพื่อนเกลอ เดินตรงไปยังเทอเรซหน้าตึกทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หวายสีสวย พร้อมกับก้มลงถอดรองเท้า

“เกิดเรื่องอีกแล้วว่ะเทพ คราวนี้เรื่องใหญ่ซะด้วย” ไวฑูรย์พูดเสียงสั่นอย่างร้อนรน

“อะไรอีกล่ะ”

ผู้หมวดหนุ่มเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้ว สาวใช้คนหนึ่งเมียงเข้ามาพร้อมด้วยรองเท้าแตะในมือ ทัดเทพหันไปสั่ง

“หาอะไรเย็นๆ มากินหน่อยนะนวล แล้วตั้งโต๊ะกลางวันเผื่อคุณไวฑูรย์ด้วย”

สาวใช้เดินจากไปแล้ว ทัดเทพก็หันมาทางเพื่อนเกลอ

“เอ็งว่าอะไรนะ ฑูรย์”

ไวฑูรย์ถอนใจดังเฮือกใหญ่ เหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลก

“เกิดเรื่องประหลาดอีกแล้วว่ะ เศียรเกียรติมุขที่คุณพินทุวดีให้ข้าดู มันหายไปเสียแล้ว”

“ฮ้า!”

“เออ…แถมรูปสลักหน้าสตรีที่ข้ายืมมาจากพี่สันก็หายไปด้วย ทั้งบ้านไม่มีร่องรอยงัดแงะโจรกรรม ไม่รู้มันหายไปได้ยังไง”

ทัดเทพอ้าปากค้าง จ้องมองดูเพื่อนเกลออย่างไม่เชื่อหู แล้วถามด้วยเสียงแหบๆ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อคืน ตอนก่อนเข้านอนข้ายังดูมันอยู่เลย เช้าตื่นขึ้นมาไม่เห็นเสียแล้ว”

ร.ต.ท.หนุ่มยกมือขึ้นลูบคาง สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิดพิศวง “เอ…แล้วมันหายไปได้ยังไงวะ”

“นั่นซี ข้างงไปหมดแล้ว ลงทุนค้นจนทั่วบ้านก็ไม่เจอร่องรอยเลย ประตูหน้าต่างบ้านปิดหมด”

“เอ็งนอนเปิดหน้าต่างหรือเปล่าวะ”

“เปิด แต่หน้าต่างมุ้งลวดปิดอยู่”

“ที่มุ้งลวดมีร่องรอยอะไรหรือเปล่า”

ไวฑูรย์สั่นศีรษะอย่างแข็งขัน

“ไม่มี บอกแล้วว่าทั้งบ้านไม่มีร่องรอยอะไรเลย อ้อ แต่ขอยึดมุ้งลวดของข้ามันชำรุดนิดหน่อยเปิดออกได้ง่าย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครเปิดเข้ามาเลย”

“ก็ถ้ามันเข้ามาแล้ว กลับออกไปโดยดึงมุ้งลวดปิดไว้อย่างเดิมล่ะ”

“เอ็งอย่าลืมว่ารูปเกียรติมุขหนักไม่ใช่เล่น คนที่แบกเอาไป จะเข้าออกทางหน้าต่างไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีเสียงให้ได้ยินบ้าง เอ็งก็รู้ว่าข้านอนไว หน้าต่างอยู่ห่างเตียงข้าไม่ถึงเมตร ถ้ามีคนเข้าออกจริงข้าต้องรู้ซีวะ”

“เอ็งไม่รู้สึกผิดปกติหรือได้กลิ่นอะไรมั่งหรือ”

“เอ็งคิดว่าข้าถูกรมยาสลบละซี ไม่ใช่หรอกโว้ย รู้สึกตัวเป็นปกติทุกอย่าง อ้อ แต่…”

สีหน้าของนักโบราณคดีเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ก่อนนอน ข้าตาฝาดไปนิดนึงว่ะ แต่รับรองได้ว่าไม่ใช่เพราะเมา ข้าเห็นหน้าเกียรติมุขกลอกตาได้…”

“มากไปละ ไอ้ฑูรย์” ผู้หมวดหนุ่มร้องลั่น

“ไปให้ไอ้หมอตรวจเสียก่อนไป๊ ถ้าไม่เมาเอ็งก็บวมส์แน่ มีอย่างที่ไหนวะเห็นรูปหินกลอกตาได้ บ้าจริงๆ เอ็งนี่”

ไวฑูรย์มีสีหน้าเคร่งขรึมลงถนัด นัยน์ตาที่มองสหายมีแววอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ทัดเทพรู้สึกเสียใจที่พูดประโยคนั้นออกไป

“เอ็งไม่เชื่อก็แล้วไปเถอะเทพ แต่เอาข้าไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหนก็รับรองได้แน่ว่า เห็นอย่างนั้นจริงๆ

“เอ็งก็รับแล้วว่าตาฝาด”

“ก็เพราะข้าไม่รู้จะโทษอะไรน่ะซี”

ทัดเทพได้ฟังก็นิ่งงันไป ไวฑูรย์เองก็เงียบ ครั้นแล้วนายตำรวจหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เอ็งคิดยังไงวะ”

ไวฑูรย์ยักไหล่ “จนด้วยเกล้าว่ะ หาคำตอบไม่ได้เลย ไม่รู้จะบอกพินทุวดีว่ายังไงดี พี่สันด้วย คงด่าข้าจม”

“ก็บอกไปตามตรงน่ะสิว่าหาย”

ไวฑูรย์แยกเขี้ยว “คุณพินทุวดีเธอจะได้หาว่าข้าอมปะไร ของเก่ายังงั้นขายได้ราคาดีเสียด้วย เท่าที่ดูด้วยตาคะเนว่าเป็นของเก่าสมัยนครวัดขึ้นไปเสียอีก”

“เอ็งแจ้งความหรือยัง”

“ยัง คิดว่าไม่แจ้งหรอกโว้ย แจ้งหรือไม่แจ้งก็มีค่าเท่ากัน ตำรวจไม่เคยจับผู้ร้ายได้สักที ข้าหมดศรัทธาตั้งนานแล้วว่ะ”

“เออ ให้มันได้ยังงี้ซี่ อย่าลืมว่าข้าก็เป็นตำรวจคนหนึ่งนะโว้ย เอ็งอย่าด่ากราดให้มากนัก…ขืนไม่แจ้งความ เขาจะยิ่งหาว่าเอ็งอม”

ไวฑูรย์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยอย่างตรึกตรอง

“บอกจริงๆ นะเทพ ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันมีเงื่อนงำบางอย่าง ไม่อยากกระโตกกระตากให้นกตื่น ข้าอยากอุบเอาไว้แล้วคลำทางเอาเอง เพราะคนที่ข้าสงสัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง”

ทัดเทพมองหน้าเพื่อนแล้วสั่นหัวอย่างอ่อนใจ

“เอ็งพยายามลากให้เป็นเรื่องลึกลับอยู่เรื่อยเชียวนะ ยังงี้น่าเป็นนักสืบมากกว่านักโบราณคดี…อ้อ แล้วรูปสลักที่หายไปด้วยกันน่ะ เป็นรูปที่หน้าเหมือนพินทุวดีใช่ไหมวะ”

“เออ อันนั้นแหละ”

ทัดเทพมีสีหน้าขรึมลงพอๆ กับเพื่อนเกลอ

“รูปที่เหมือนพินทุวดี กับของที่พินทุวดีเอามาให้เกิดหายไปพร้อมๆ กัน…ฟังดูก็ประหลาดเหมือนกันนี่หว่า”

“ทำไม” ไวฑูรย์ชะโงกหน้าเข้ามาจนชิด ด้วยความสนใจเต็มที่

“เอ็งพอจะคลำเจอปมแล้วหรือ”

“ไม่ใช่ ยังไม่เจออะไรทั้งนั้น เพียงแต่นึกสะกิดใจ ไอ้ขโมยมันคงมีหัวศิลปะพอใช้…รูปสลักหน้าผู้หญิงนั่น เอ็งว่าเป็นของสมัยเมืองอมฤตาลัยด้วยใช่ไหมวะ”

“คงเป็นสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ทั้งสองอย่างแหละ”

“พระเจ้ายโสวรมันที่ว่าเป็นพ่อของพระนางพันธุมเทวีน่ะ อยู่ในสมัยไหนล่ะ”

“ก็ราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๕ เหมือนกัน ของสองอย่างนี้อยู่ร่วมสมัยกันแน่ เอ็งถามทำไมวะ ชักจะมองเห็นอะไรอย่างที่ข้าคิดแล้วใช่ไหมล่ะ…ถ้านางพญาพันธุมเทวีเป็นธิดาของพระเจ้ายโสวรมันจริงๆ เมืองอมฤตาลัยก็อยู่ในสมัยศตวรรษที่ ๑๕ นี่แหละ ศิลปะทั้งสองชิ้นนี้อาจมาจากที่เดียวกันคือเมืองอมฤตาลัยก็ได้ คนที่ขโมยมันไปจะต้องมีความมุ่งหมายอะไรสักอย่างเป็นแน่ อาจเป็นคนที่ชอบสะสมศิลปะของอมฤตาลัยอย่างที่เอ็งว่าก็ได้”

“คนที่รู้จักศิลปะอมฤตาลัยเท่าที่รู้มีอยู่คนเดียวไม่ใช่เรอะ และเธอก็เป็นคนที่เอาเกียรติมุขมาให้เอ็งพิจารณา เธอจะขโมยของของตัวเองทำไมวะ”

“ก็ถ้าเธอส่งเกียรติมุขมาให้ข้าด้วยความมุ่งหมายบางอย่างล่ะ อย่าลืมว่าเอ็งกับไอ้หมอเคยเป็นห่วงข้าในเรื่องนี้ด้วยนะ ใครๆ ก็รู้ว่าพินทุวดีไม่ค่อยชอบหน้าข้าเลย”

“ความมุ่งหมายที่ว่าน่ะ อะไร”

ไวฑูรย์ยกมือขึ้นสูง แล้วทิ้งลงข้างกายอย่างแรง “ถ้าข้ารู้ จะปวดกบาลอยู่ยังงี้หรือโว้ย”

ทัดเทพถอนใจ “ถ้าจะให้ข้าเดา ก็อยากจะลองคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพินทุวดีที่จะทำให้เอ็งเข้าปิ้งด้วยการกล่าวหาว่าอมของของเธอไป นี่เป็นเรื่องสมมตินะโว้ย ไม่มีเหตุผลอะไรสนับสนุนทั้งสิ้น ตอนที่เธอเอาเกียรติมุขให้เอ็งไป ข้าเป็นพยานอยู่ทั้งคน แต่เวลาของหายไม่มีใครเป็นพยานให้เอ็งเลยนี่หว่า…เอางี้ ก่อนอื่นเอ็งต้องไปบอกเธอเสียว่าของหายไปแล้ว ข้าจะพยายามสืบให้ ได้ผลหรือไม่ ไม่รับรองนะ”

ไวฑูรย์เกาศีรษะแกรกๆ “ตกลงเอ็งเชื่อแน่หรือว่าของถูกขโมยไป”

“อ้าว งั้นมันจะหายไปได้ยังไงเล่า”

“เอ็งไม่เชื่ออะไรที่เรียกว่ามนตร์ดำ หรือแบล็กเมจิกมั่งหรือวะเทพ”

ร.ต.ท.ทัดเทพหัวเราะก๊ากมองดูเพื่อน แล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“โธ่ถังเอ๊ย ไอ้ฑูรย์ เอ็งเกิดศตวรรษที่ ๒๕ หรือศตวรรษที่ ๑๕ กันแน่วะ”

ไวฑูรย์มองเพื่อนเกลออย่างกระอักกระอ่วน

“ก็ข้าเจอมากับตัวนี่หว่า ว่านครุฑพลนั่นไง ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำไมถึงช่วยข้าไว้ได้”

“เรื่องบังเอิญน่ะ ถ้าว่านศักดิ์สิทธิ์ทำไมไม่ช่วยจับขโมยเมื่อคืนนี้ให้เอ็งล่ะวะ กลับทำให้หลับอุตุจนของหายไม่รู้ตัว”

“ว่าไม่ได้นะโว้ยเทพ ถ้าไม่มีว่าน ข้าอาจเป็นอะไรไปแล้วก็ได้”

“อะไรของเอ็งน่ะ อะไรวะ”

“ข้าหมายความว่า หากเกียรติมุขถูกส่งมาด้วยความมุ่งร้ายบางอย่าง โอกาสที่มันจะลงมือทำร้ายข้าก็มีเมื่อคืนนี้เอง เพราะคืนก่อนๆ ข้าไม่ได้นอนบ้าน แล้วเอ็งลืมเรื่องอลิศราตกใจจนคลั่งแล้วหรือวะ ที่ว่าเธอเห็นรูปหินพญานาคเคลื่อนไหวได้นั่นน่ะ ไอ้หมอมันวินิจฉัยอาการว่าน่าจะถูกสะกดจิตให้มองเห็นไปได้ต่างๆ แต่ถ้าคิดในทางตรงกันข้ามบ้างล่ะ คือถ้าเกียรติมุขถูกสะกดสั่งมาด้วยอำนาจจิตอันสูงส่งของใครสักคนให้เคลื่อนไหวได้ชั่วขณะเพื่อทำร้ายศัตรู เอ็งไม่คิดหรือว่ามันมีทางเป็นไปได้เหมือนกัน”

ทัดเทพส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เป็นคนละเรื่องคนละเคสกันเลยว่ะ ฑูรย์ คนสะกดจิตคนด้วยกันไม่เป็นเรื่องแปลกอะไร แต่สะกดสิ่งไม่มีชีวิตให้เคลื่อนไหวได้นั่นมันมากไป สงบอกสงบใจมั่งเถอะวะ อย่าคิดอะไรที่มันฟุ้งซ่านนักเลย ข้าเรียกไอ้หมอมาดีไหม”

“เอ็งคิดว่าข้าบ้าหรือวะ เทพ คอยดูไปก็แล้วกัน ข้าจะเปิดโปงเรื่องลึกลับนี้ให้ได้ในเร็วๆ นี้แหละ ดูซิว่า เอ็งจะหาว่าข้าบ้าอีกไหม”

“ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อยฑูรย์ ที่จะชวนไอ้หมอให้มาที่นี่ก็เพราะอยากปรึกษาอะไรให้ครบทีมเท่านั้น ข้าไปได้เค้าอะไรมาอย่างหนึ่ง อยากปรึกษาให้พร้อมหน้ากันหน่อย โอเคนะ ข้าจะชวนไอ้หมอมากินข้าวกลางวันด้วย”

“ตามใจเอ็งซี”

ร.ต.ท.ทัดเทพลุกขึ้นเดินไปที่โทรศัพท์ หมุนหมายเลขต่อไปยังบ้านของนายแพทย์ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา ทันที

 



Don`t copy text!